ตอนที่ 491 ตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีลักลอบนำเข้า
หลินม่ายหยิบเครื่องบันทึกเทปมือสองติดมือมาด้วย จากนั้นก็ปั่นจักรยานไปที่สถาบันออกแบบจงหนาน แล้วพาคุณอวี๋ไปที่โรงงานตัดเสื้อผ้าเพื่อเข้าร่วมการประชุมด้วยตัวเอง
เฉินเฟิงและคนอื่น ๆ มาถึงแล้ว ทุกคนต่างนั่งอยู่ในห้องประชุมเพื่อรอหลินม่าย
คุณอวี๋เดินตามหลินม่ายเข้าไปในห้องประชุม กวาดสายตาเพียงปราดเดียวก็เห็นคุณเจิ้งแล้ว
เขาคลี่ยิ้มกว้าง “ผู้เฒ่าเจิ้ง เราสองคนกลายเป็นเพื่อนร่วมงานกันอีกครั้งแล้ว ฮ่าฮ่า!”
คุณเจิ้งตอบกลับด้วยความยินดี “คุณก็ได้รับการว่าจ้างจากประธานหลินด้วยหรือ?”
คุณอวี๋พยักหน้า
คุณเจิ้งหันไปพูดกับหลินม่ายทันที “คุณหลิน อาคารสำนักงานใหญ่ อาคารโรงงาน รวมถึงอาคารชุดที่ผมออกแบบก่อนหน้านี้ ผู้เฒ่าอวี๋มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน เขาเป็นสถาปนิกฝีมือดี”
หลินม่ายยิ้มพร้อมตอบกลับ “ฉันรู้แล้วค่ะ”
หลังจากพูดคุยทักทายและหยอกล้อกันพอประมาณแล้ว การประชุมก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หลินม่ายติดตามความคืบหน้าของคดีขโมยวัสดุก่อสร้างในไซต์งานก่อนเป็นอันดับแรก
เฉินเฟิงพูดแค่ประโยคเดียว “ไม่มีความคืบหน้าอะไรจากทางตำรวจเลย”
ได้ยินแค่นั้นหลินม่ายก็ไม่ถามอะไรอีก
ไว้เธอค่อยสอบถามเกี่ยวกับความคืบหน้าในการสอบสวนจากเฉินเฟิงเป็นการส่วนตัว
ถึงเธอจะเชื่อใจเถาจืออวิ๋นกับคนอื่น ๆ แต่ภายในห้องประชุมไม่ได้มีแค่พวกเขา ยังมีหัวหน้าแผนกการเงินและบัญชี รวมถึงหัวหน้าฝ่ายบุคคลอยู่ด้วย
มากคนก็ยิ่งมากความ ใครจะรับประกันได้ว่าเนื้อหาการสนทนาระหว่างเธอกับเฉินเฟิงจะไม่รั่วไหลออกไป?
อาจจะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียอีก พอพรรคพวกของแก๊งหัวขโมยระมัดระวังตัวมากขึ้น การตามสืบเบาะแสของทางเฉินเฟิงก็จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่
หลินม่ายเปลี่ยนเรื่องไปสอบถามยอดขายของร้านUniqueและร้านไป๋เหอในช่วงเทศกาลที่ผ่านมาจากเหรินเป่าจู
เหรินเป่าจูยิ้มแย้มแจ่มใสขณะรายงานว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีค่ะ เนื่องจากเรามีกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งสองแบบ ไม่ว่าจะเป็นขนมไหว้พระจันทร์หรือบัตรกำนัลก็ตาม รวมถึงการเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ ทั้งร้านค้าในห้าง ร้านค้าในเครือ หรือแม้แต่ร้านค้าส่ง ยอดขายต่างก็พุ่งกระฉูด แค่ร้านเดียวยอดขายก็ทบเป็นสองเท่าของช่วงปกติแล้วค่ะ”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
แต่เหรินเป่าจูยังพูดต่อไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าซีม่านไม่ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ของเรา สองวันในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ยอดขายUniqueคงทะลุทะลวงกว่านี้อีก”
โฮ่วซินอี้พูดด้วยความประหลาดใจ “ซีม่านเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? Uniqueเพิ่งจะเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่เมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมานี้เอง ซีม่านก็ดอดมาก๊อปปี้แบบเสื้อซะแล้ว?”
เถาจืออวิ๋นบอกว่า “การลอกแบบเสื้อผ้าไม่ใช่เรื่องยากอะไรขนาดนั้น ก็เหมือนกับเด็กที่ลอกการบ้านคนอื่นนั่นแหละ ยิ่งพอเป็นดีไซน์เนอร์ แค่ชำเลืองมองแวบเดียว ก็สร้างแพทเทิร์นเสื้อผ้าออกมาได้เหมือนกับของจริงแล้ว”
โฮ่วซินอี้แค่นเสียงด้วยความขุ่นเคือง “ซีม่านนี่ชักจะไร้ยางอายขึ้นทุกวัน พวกเขาไม่ยอมออกแบบอะไรใหม่ ๆ ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เอาแต่ลอกเลียนแบบสินค้าของเรา”
หลินม่ายพูดอย่างจนปัญญา “พอไม่มีกฎหมายคุ้มครองด้านทรัพย์สินทางปัญญา คนก็กล้าก๊อปปี้สินค้ากันอย่างไร้ยางอาย นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จากการลอกเลียนแบบยังคุ้มค่ามาก แทบไม่มีความเสี่ยง เสื้อผ้าสไตล์ไหนของเราขายดี ซีม่านก็จัดการลอกแบบซะเลย ลองเป็นสไตล์ที่ขายไม่ออกดูสิ ซีม่านจะยังก๊อปเราอยู่ไหม ถ้าพวกเขาออกแบบเสื้อผ้าตามสไตล์ของตัวเอง แล้วเกิดมันขายไม่ดีขึ้นมาล่ะ ก็เท่ากับเสื้อผ้าที่โรงงานผลิตออกมาสูญเปล่าไม่ใช่เหรอ?”
เหรินเป่าจูเริ่มรู้สึกหดหู่ “งั้นเราจะปล่อยให้ซีม่านเลียนแบบเราไปตลอดเหรอคะ?”
หลินม่ายฝืนยิ้มขมขื่น “ถ้ายังไม่มีการคุ้มครองทางกฎหมาย คุณคิดว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างล่ะ?”
ถึงเหรินเป่าจูจะรู้สึกท้อแท้มากแค่ไหน เธอก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป “ยอดขายเครื่องประดับศีรษะไป๋เหอก็ดีไม่แพ้กันค่ะ เฉพาะช่วงสองวันที่ผ่านมาฟันกำไรไปหลายพันเชียว”
หลินม่ายพอใจมาก ถือเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายมาก เมื่อรู้ว่ากิจการเล็ก ๆ อย่างร้านไป๋เหอสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลภายในสองวัน
หลังจากนั้น เจิ้งซวี่ตงและวังเสี่ยวลี่ต่างก็รายงานข่าวดีเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นร้านสาขาแรกหรือร้านสาขาใหม่ ทุกที่กิจการไปได้สวย
เจิ้งซวี่ตงยิ้มกว้างก่อนจะรายงานว่า “โชคดีที่คุณหลินให้คำแนะนำกับเราตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกค้าซึ่งรอคิวนานเริ่มหมดความอดทน พวกเราก็จะมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เป็นการปลอบใจ เคล็ดลับนี้มีประโยชน์มากจริง ๆ ครับ หลังจากลูกค้าได้รับของขวัญแล้ว นอกจากอารมณ์จะสงบลง พวกเขายังชมเชยทัศนคติในการบริการที่ดีของเราอีกด้วย”
การมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับลูกค้าที่รอคิวนานไม่ได้เป็นไอเดียที่หลินม่ายคิดขึ้นเองซะทีเดียว แต่เธอจำมาจากร้านไหตี่เลา*เมื่อชาติที่แล้ว
*แฟรนไชส์หม้อไฟจากประเทศจีน ขึ้นชื่อเรื่องบริการเสริมฟรีระหว่างนั่งรอคิวรับประทานอาหาร
ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ งั้นเหรอ?
ไหตี่เลายังมีแผนกให้บริการฟรี เช่น ทำเล็บ ขัดรองเท้า และรับฝากเลี้ยงเด็กอีกด้วย
หลินม่ายวางแผนว่าจะพัฒนาร้านเปาห่าวซือให้มีบริการเสริมแบบนั้นเช่นเดียวกัน
ส่วนกิจการของตลาดสดฝูตัวตัวที่จ้าวเลี่ยงดูแลอยู่ก็อยู่ในจุดที่เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
นอกจากสินค้าอื่น ๆ แล้ว แฮมกระป๋อง ลูกกวาด และบิสกิตถูกขายไปกว่าครึ่งหนึ่งของโกดัง
ส่วนสินค้าที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง คาดเดาว่าน่าจะขายหมดก่อนวันชาติ
นอกจากนี้ ไวน์แดงนำเข้าจากต่างประเทศยังขายออกไปได้ถึงหนึ่งในสาม มีแนวโน้มว่าจะขายหมดหลังจากวันชาติภายในไม่กี่วัน
จ้าวเลี่ยงลองถามหลินม่ายดูว่าเขายังสามารถรับซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารจากกรมศุลกากรมาขายอีกได้หรือไม่
อาหารแปรรูปนำเข้าที่รับซื้อมาจากกรมศุลกากรนั้นทำกำไรได้สูงมาก แถมยังขายดีเกินคาด เขาเลยอยากรับพวกมันมาขายเพิ่ม
ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะตอบกลับ ลูกน้องคนหนึ่งของจ้าวเลี่ยงก็เปิดประตูพรวดเข้ามา หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแตกพลั่ก รายงานหลินม่ายด้วยความตื่นตระหนก
“หัวหน้าหลิน ไม่ดีแล้ว เมื่อกี้นี้มีตำรวจสองนายมาที่ตลาด บอกว่าเราขายสินค้าหนีภาษี เลยสั่งปิดโกดังของเราเป็นการชั่วคราว และจะขอสอบปากคำคุณเดี๋ยวนี้เลย!”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ทุกวันนี้ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง
เถาจืออวิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมตลาดฝูตัวตัวถึงไปเกี่ยวข้องกับสินค้าหนีภาษีได้ล่ะ?”
เฉินเฟิงหันไปจ้องจ้าวเลี่ยงเขม็ง “อย่าบอกนะว่านายเอาสินค้าหนีภาษีมาขายเป็นการส่วนตัว?”
จ้าวเลี่ยงเองก็เคยทำงานอยู่ในแวดวงใต้ดินกับเขามาก่อน แน่นอนว่าเขามีนิสัยบ้าบิ่นมาก ไม่แปลกที่เฉินเฟิงจะสงสัยว่าเขากำลังขายสินค้าหนีภาษี โดยใช้ตลาดสดของหลินม่ายเป็นสถานที่ค้าเอากำไร
จ้าวเลี่ยงกระวนกระวายขึ้นมาทันทีจนเหงื่อออกคิ้ว “ผมเปล่านะ ทำไมผมต้องทำตัวโง่ ๆ แบบนั้นด้วยล่ะ คิดจะขายของหนีภาษี นั่นไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ?”
หลินม่ายขัดจังหวะ “ในเมื่อไม่มีใครทำอะไรแบบนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”
จากนั้นเธอก็หันหน้าไปถามสหายน้องชายที่เข้ามารายงานข่าวว่า “ตอนนี้ตำรวจอยู่ไหน?”
สหายน้องชายตอบว่า “ผมขอให้เสี่ยวเสิ่นช่วยเชิญพวกเขาไปนั่งรออยู่ในห้องทำงานของคุณเรียบร้อยแล้วครับ”
หลินม่ายสั่งพักเบรกการประชุมชั่วคราว จากนั้นก็เดินไปที่ห้องทำงาน ตำรวจในเครื่องแบบทั้งสองนายนั่งอยู่ในห้องทำงานของเธอจริง ๆ
เสิ่นเสี่ยวผิงแนะนำเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองทันที “นี่คือผู้จัดการหลินของพวกเราค่ะ”
ตำรวจคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วยื่นมือไปจับมือกับหลินม่าย “สวัสดีครับสหายหลิน คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าลักลอบนำเข้าสินค้าหนีภาษี หวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือในการสืบสวน”
หลินม่ายพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ตอนนี้ฉันกำลังประชุมอยู่ ขอเวลาให้ฉันสักสิบห้านาที รอจนกว่าฉันจะประชุมเสร็จก่อนได้ไหมคะ?”
นายตำรวจทั้งสองมีเหตุผลพอสมควร พวกเขาหันหน้าไปปรึกษากันสองสามคำ จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
หลินม่ายรีบเดินกลับมาที่ห้องประชุม
เมื่อทุกคนเห็นเธอ ต่างก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าคดีที่ว่าร้ายแรงมากหรือเปล่า
หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ตำรวจยังไม่ได้สอบปากคำฉันหรอก แต่พวกเขาให้เวลาฉันแค่สิบห้านาที เพราะฉะนั้นรีบประชุมให้เสร็จดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าท่าทางของเธอดูสงบมาก ทุกคนจึงระงับความกังวลลง แล้วมุ่งความสนใจไปที่การประชุม
คุณอวี๋ส่งแบบพิมพ์เขียวของย่านค้าส่งเสื้อผ้าที่ตัวเองออกแบบให้เธอลองตรวจดู
หลินม่ายแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาหลังจากได้เห็นมัน จากนั้นก็ส่งมอบงานต่อให้กับเฉินเฟิง ขอให้เขาช่วยพาทีมงานไปที่หมู่บ้านซั่งเฉวียนในบ่ายวันนี้ แล้วเซ็นสัญญาการรื้อถอนกับผู้อยู่อาศัยทีละคน
เนื่องจากเธอต้องการเปลี่ยนพื้นที่นั้นให้กลายเป็นแหล่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการรื้อถอนและย้ายที่อยู่อาศัยได้
เธอแนะนำให้เฉินเฟิงฟังถึงแผนการรื้อถอนคร่าว ๆ
ตอนแรกเธอนัดหมายว่าจะคุยงานนี้ตอนเช้าหลังจากจบการประชุม แต่พอตำรวจเข้ามา จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน
หลินม่ายให้ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายต่าง ๆ รายงานผลประกอบการในส่วนของตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่นานเวลาสิบห้านาทีก็หมดลง
เธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ “พอลองพิจารณาดูแล้ว เราเห็นว่าพนักงานบางคนไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ เกรงว่าในอนาคตพวกเขาอาจไม่สามารถพัฒนาศักยภาพไปตามความก้าวหน้าของธุรกิจได้ ทางบริษัทจึงตัดสินใจว่า ใครก็ตามที่ต้องการพัฒนาความรู้ของตัวเองให้มากขึ้น สามารถติดต่อลงทะเบียนกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้เลย หลังจากนั้นฝ่ายบุคคลจะทำการจัดสรรส่งพวกเขาเข้าเรียนเสริมภาคค่ำต่อไป”
จากนั้นเธอก็มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลติดต่อโรงเรียนที่ดีที่สุดซึ่งยินดีรับพนักงานเข้าเรียนเสริมภาคค่ำ เมื่อสั่งจบการประชุมแล้ว ก็เดินกลับไปที่ห้องทำงานตัวเองอีกรอบ
ถึงแม้เถาจืออวิ๋นและคนอื่น ๆ จะเป็นกังวลเกี่ยวกับหลินม่าย แต่ก็ไม่มีใครรอติดตามอย่างจดจ่อว่าเธอจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ดังนั้นทำงานของตัวเองต่อด้วยความสบายใจดีกว่า
ประโยคแรกที่หลินม่ายถามนายตำรวจทั้งสองคือ “พวกคุณบอกว่าตลาดสดฝูตัวตัวของฉันขายสินค้าหนีภาษี มีหลักฐานประกอบการตั้งข้อกล่าวหาหรือเปล่า?”
“มีสิ” เจ้าหน้าที่ตำรวจตอบ “แฮมกระป๋องกับไวน์จากต่างประเทศที่วางขายอยู่ในตลาดฝูตัวตัวก็เป็นสินค้าลักลอบนำเข้าไม่ใช่เหรอ?”
ตำรวจอีกคนพูดเสริม “คุณไม่ได้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขายสินค้าหนีภาษีแค่อย่างเดียว เรายังสงสัยว่าคุณทำการค้าโดยเก็งกำไรเกินควรอีกด้วย”
ถึงตอนนี้จะเข้าสู่ยุคการปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศแล้ว แต่จีนแผ่นดินใหญ่ก็ยังต้องการปราบปรามการค้าที่เก็งกำไรเกินควร
ตราบใดที่จำนวนเงินซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งแสนหยวน จะต้องถูกตัดสินจำคุกไม่น้อยกว่าห้าปี
สำหรับคดีลักลอบนำเข้า ถ้าจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องสูงกว่าหนึ่งแสนหยวน ก็พ่วงโทษจำคุกไม่น้อยกว่าห้าปีไปอีกหนึ่งกระทง
หลินม่ายแอบคิดในใจว่าพวกเขาต้องการจะทุบเธอให้ตายด้วยไม้หรืออย่างไรกัน ถึงได้ตั้งข้อหาเก็งกำไรและข้อหาลักลอบขายของเถื่อนแบบนี้
เธอใช้ดวงตากลมโตที่ใสกระจ่างราวกับแร่บนภูเขา จ้องตรงไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนาย
แววตามุ่งมั่นตรงไปตรงมา แต่ปราศจากความก้าวร้าวแฝงอยู่ “ฉันไม่ได้ทำการค้าแบบเก็งกำไรเกินควร นับประสาอะไรกับการขายสินค้าหนีภาษี ของทั้งหมดที่พวกคุณพูดถึงฉันก็ซื้อมาจากกรมศุลกากรทั้งนั้น ใบเสร็จรับเงินฉันก็มี หรือพวกคุณจะไปตรวจสอบกับทางกรมศุลกากรในเมืองกว่างโจวก็ได้”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองผ่อนคลายลงมาก “ไว้เราค่อยเดินทางไปตรวจสอบหลังจากได้รับคำสั่ง ถือเป็นเรื่องดีแล้วที่คุณไม่ทำความผิดฐานอาชญากรรม ใบเสร็จรับเงินที่ว่าอยู่ที่นี่หรือเปล่า ถ้าใช่โปรดส่งให้พวกเราด้วย”
หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่ที่นี่ค่ะ”
“งั้นอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวพวกเราไปรับเอกสารด้วยตัวเอง”
“พอดีฉันเก็บไว้ที่บ้านน่ะ”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเดินออกไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองนาย ความกังวลของเหรินเป่าจูคนอื่น ๆ ที่ถูกกดเก็บไว้ในตอนแรกด้วยความยากลำบากก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
แค่ขอหลักฐาน ตำรวจกลับตามไปรับหลักฐานถึงที่ สถานการณ์แบบนี้จริงจังไม่หยอกเลย
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครเป็นคนฟ้องอีกล่ะเนี่ย บ้านสกุลหวังหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)