ตอนที่ 493 ข่าวปฏิรูปกรมศุลกากร
หลินม่ายถามว่า “ข่าวด่วนอะไรเหรอ?”
เคอจื่อฉิงบอกว่า “คืออย่างนี้ กรมศุลกากรจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการจัดการกับสินค้าหนีภาษีใหม่ พวกมันจะไม่ถูกจัดสรรให้กับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องอีกต่อไป หลังจากวันชาติเป็นต้นไป สินค้าหนีภาษีทั้งหลายในโกดังจะเปลี่ยนมาใช้วิธีการประมูลแทน”
หลินม่ายตกตะลึง
ถ้าจัดสรรสินค้าโดยการประมูล นั่นหมายความว่าข่าวสารจะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจใหญ่โตหลายคน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่มีเส้นสายในโกดังด่านศุลกากร ถ้ารู้ว่ากรมศุลกากรมีสินค้าที่พวกเขาต้องการ ทุกคนไม่แห่แหนไปหมดหรือ
เพื่อให้ตัวเองสามารถประมูลสินค้าที่ต้องการมาได้ คนหนึ่งยกป้ายขึ้น อีกคนก็ยกป้ายขึ้นตัดราคา มูลค่าของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
ถ้าเธอไปประมูลสินค้ากับผู้ประกอบการที่ร่ำรวยเหล่านั้น ต่อให้ประมูลสำเร็จ กำไรจากสินค้าที่ประมูลมาได้ก็จะเหลือน้อยอย่างน่าใจหาย
ดูเหมือนว่า แหล่งรายได้ของกรมศุลกากรจะพังทลายลงแล้ว
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็พอจะเข้าใจความยากลำบากในช่วงเริ่มต้นได้เป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ สินค้าลักลอบนำเข้าทั้งหลายจะถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากไม่มีการเผยแพร่ข่าวสารต่อสาธารณชน จึงมีแค่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นกับคนที่มีเส้นสายอยู่ในกรมศุลกากรเท่านั้นที่รู้ว่ากรมศุลกากรมีสินค้าใดอยู่ในมือบ้าง
ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าใด ตัวเลือกก็ยิ่งมากขึ้น ส่งผลให้สินค้าลักลอบนำเข้าจำนวนมากบางอย่างขายออกไม่ง่ายเลย
ถึงแม้จะขายในราคาต่ำก็ไม่คุ้มทุนอยู่ดี
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการดำเนินการกับสินค้าหนีภาษี ยังฉวยโอกาสนี้ในการรับสินบน ทำให้บรรยากาศภายในองค์กรไม่โปร่งใส
การเปลี่ยนวิธีจัดการกับสินค้าหนีภาษีข้างต้น ไม่เพียงสามารถระบายสินค้าหนีภาษีออกจากโกดังได้อย่างง่ายดายโดยที่ได้ราคาสูง แต่ยังเพิ่มรายได้ให้กับเส้นทางการเงินของพวกเขาเองอีกเล็กน้อย แถมยังสามารถกำจัดรายได้สีเทาของเจ้าหน้าที่ภายในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หยุดแนวโน้มการคอร์รัปชัน เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ฉะนั้นยังมีเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนจะถึงวันชาติ เธอคิดว่าควรใช้ประโยชน์จากระยะเวลาครึ่งเดือนที่ว่า พยายามรับซื้อสินค้ามาให้ได้มากที่สุด
หลินม่ายตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ซื้อเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพิ่ม อย่างเช่นน้ำหอมหรือแป้งรองพื้นอัดแข็ง
ทั้งยังขอแชมพูสระผมด้วยอีกหนึ่งหมื่นขวด
ถึงเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์เบ็ดเตล็ดที่หลินม่ายไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยเมื่อชาติที่แล้ว แต่แบรนด์ใหญ่ ๆ ก็ยังมีไม่มากนัก
สำหรับยุคสมัยนี้ ตราบใดที่พวกมันเป็นสินค้านำเข้า ไม่ว่าจะรับซื้อมาขายหรือแจกเป็นของขวัญก็ตาม ชาวจีนก็ให้ความนิยมกับพวกมันสูงมาก
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเหมาเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวไปเป็นจำนวนมาก เคอจื่อฉิงก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้าย
จึงพูดเสริมไปอีกว่าหัวหน้าสือมีนาฬิกานำเข้าจากฮ่องกงอยู่หลายเรือน คุณภาพดี สไตล์มีระดับมาก
ราคาดำเนินการผ่านกรมศุลกากรตกอยู่ที่ชิ้นละยี่สิบหยวน มีทั้งหมดจำนวนหนึ่งแสนเรือน จากนั้นก็ถามว่าสนใจหรือเปล่า ถ้าสนใจ หล่อนจะไปขอให้หัวหน้าสือเก็บไว้ให้
สินค้าอะไรก็ตามที่นำเข้าจากฮ่องกง แน่นอนว่าหลินม่ายสนใจอยู่แล้ว
เธอจะให้เฉินเฟิงเอานาฬิกาไปขายให้กับพ่อค้าหน้าเลือดทั้งหลาย ถึงราคาขายส่งของมันจะอยู่ที่ห้าสิบหยวน แต่อย่างน้อยเขาก็ทำกำไรสุทธิได้สามล้านหยวนแน่ ๆ
นาฬิกาแค่หนึ่งแสนเรือน เฉพาะต้นทุนแค่อย่างเดียวก็สองล้านแล้ว
ปัญหาก็คือเธอไม่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้นเพื่อซื้อนาฬิกาเพียงอย่างเดียวได้ เพราะเธอยังต้องเอาเงินไปลงทุนกับเครื่องสำอางและสินค้าอื่น ๆ
แม้ว่าราคาต่อหน่วยของเครื่องสำอางและสินค้าประเภทเดียวกันจะต่ำ แต่เธอก็ควักเงินมาจ่ายเพิ่มไม่ได้แล้ว มูลค่ารวมตั้ง 1.8 ล้านเชียวนะ
เธอยังมีโครงการอีกสองสามโครงการในมือ ซึ่งทุกโครงการก็ต้องใช้เงินบริหารทั้งนั้น
ดังนั้นเธอเลยวางแผนว่าจะขอให้เฉินเฟิงช่วยออกต้นทุนให้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นจะได้แบ่งรายได้จากการขายนาฬิกาแบบเท่า ๆ กัน เผื่อจะบรรเทาแรงกดดันทางการเงินของเธอลงได้บ้าง ส่วนเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และสินค้าประเภทเดียวกันอื่น ๆ เขาไม่จำเป็นต้องจ่ายต้นทุนให้ เพราะเธอตั้งใจจะเก็บไว้จัดการเอง ไม่ต้องแบ่งเงินปันผลเป็นสองส่วน
หลินม่ายตั้งใจว่าจะรอคุยจนถึงช่วงบ่ายเมื่อเธอกับเฉินเฟิงเดินทางไปที่หมู่บ้านซั่งเฉวียนด้วยกัน เพื่อเซ็นสัญญาการรื้อถอนกับผู้อยู่อาศัย
ครั้งนี้เธอเหมาสินค้าไปมากมายหลายอย่าง หลินม่ายจึงฝากเคอจื่อฉิงมอบอั่งเปาซองใหญ่มูลค่าสามพันหยวนให้กับหัวหน้าสือ ไม่อนุญาตให้จ่ายน้อยกว่านี้เด็ดขาด
ครั้งล่าสุดเธอก็ฝากเคอจื่อฉิงมอบอั่งเปาซองใหญ่มูลค่าสามพันหยวนให้หัวหน้าสือเช่นเดียวกัน
แต่ผู้หญิงคนนี้กลับใส่เงินไว้ในซองอั่งเปาของหัวหน้าสือแค่หนึ่งพันหยวน
หลังจากนั้นยังมีการโทรหาเธอด้วยความภาคภูมิใจเพื่อแสดงเครดิตของตัวเองอีก บอกว่าตัวเองช่วยให้เธอประหยัดเงินไปได้ตั้งสองพันหยวน
ตอนนั้นหลินม่ายถึงกับพูดไม่ออก ดังนั้นในครั้งนี้เธอจึงกำชับอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังวางสายจากเคอจื่อฉิงเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ปลีกตัวไปอ่านหนังสือเรียน
ในขณะที่อ่านไปสักพัก เสิ่นเสี่ยวผิงก็โทรมาแจ้งว่ามีนักข่าวหลายคนต้องการขอสัมภาษณ์เธอ จึงเชิญเธอมาที่โรงงานเพื่อให้สัมภาษณ์กับพวกเขา
รอบนี้เสิ่นเสี่ยวผิงรอบคอบกว่าครั้งก่อน ถามข้อมูลมาเรียบร้อยว่านักข่าวขอสัมภาษณ์หลินม่ายเนื่องจากเหตุผลอะไร แล้วส่งต่อข้อมูลให้หลินม่ายอย่างครบถ้วน
หลินม่ายวางหูโทรศัพท์ จากนั้นก็รีบที่โรงงานตัดเสื้อ Unique
นักข่าวที่ต้องการขอสัมภาษณ์หลินม่ายมีมากกว่าหนึ่งคน พวกเขาต่างก็เป็นนักข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายสำนักที่มียอดขายในเจียงเฉิงทะลุทะลวง จนหนิวลี่ลี่ดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ
แต่ตราบใดที่ต้องสัมภาษณ์Unique หัวหน้าจะส่งเธอไปเป็นตัวแทนของสำนักพิมพ์เสมอ
หนิวลี่ลี่ขอสัมภาษณ์หลินม่ายมาหลายครั้ง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงสนิทสนมกันมาก
หัวหน้าของหนิวลี่ลี่เชื่อว่าถ้าส่งหล่อนไปสัมภาษณ์หลินม่าย หลินม่ายจะต้องให้ข้อมูลกับสำนักพิมพ์ของเขามากกว่าเจ้าอื่น ๆ อย่างแน่นอน
ถ้าฉู่เป้าสามารถล้วงลึกข้อมูลวงในเป็นพิเศษได้ ยอดขายหนังสือพิมพ์ก็จะยิ่งถล่มทลายมากขึ้น
นักข่าวทั้งหมดมาที่นี่เพื่อขอสัมภาษณ์เรื่องที่ Unique บริจาคอาหารและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
นักข่าว A “สวัสดีค่ะคุณหลิน เพราะอะไรคุณถึงริเริ่มความคิดที่จะบริจาคของพวกนั้นให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคะ?”
อืม เป็นคำถามที่ธรรมดาเกินไปหรือเปล่านะ
ถึงหลินม่ายจะคิดแบบนั้นอยู่ในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอกลับอบอุ่นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิในเดือนมีนาคม
“คำโบราณว่าไว้ ยามยากเฝ้ารักษาคุณความดีเฉพาะตน เมื่อบรรลุผลอย่าหลงลืมส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดิน นี่คือหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันของฉัน ตราบใดที่มีความสามารถและกำลังมากพอ ก็ควรตอบแทนสังคมบ้าง โลกของเราจะน่าอยู่มากขึ้นหากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันคนละเล็กละน้อย”
นักข่าวทุกคนต่างปรบมือพร้อมกัน
ใช่ว่าสุนทรพจน์ของหลินม่ายดีอะไรขนาดนั้น เป็นแค่คำคมน่าประทับใจเท่านั้นเอง
แต่ในบริบทของสังคมปัจจุบันที่แทบไม่มีบริษัทไหนแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับสังคมเลย สิ่งที่เธอคิดและทำลงไปจึงเป็นอะไรที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง
นักข่าว B “ทำไมคุณถึงไม่บริจาคเป็นเงินสด แต่เลือกที่จะบริจาคเป็นสิ่งของแทนล่ะครับ?”
หลินม่ายไม่ใช่คนโง่ที่จะตอบไปตามตรงว่าเธอกังวลว่าเงินสดที่บริจาคไป อาจเสี่ยงต่อการถูกผู้ไม่ประสงค์ดียักยอก
เธอตอบแค่ว่าการบริจาคเงินสดหรือสิ่งของก็เหมือน ๆ กัน ตราบใดที่สามารถช่วยเหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้จริง
นักข่าว C “คุณหลิน ผมได้ยินมาว่าคุณกวนจากโรงงานตัดเสื้อซีม่านจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับทาง Unique เป็นจำนวนหนึ่งหมื่นหยวน แต่ยูนีคบริจาคสิ่งของให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นมูลค่าแค่ห้าพันหยวนเท่านั้น คุณหลินมีแผนจะทำอะไรกับเงินห้าพันหยวนที่เหลือครับ?”
หลินม่ายแอบขมวดคิ้ว ผู้ชายคนนี้หวังจะให้เธอบริจาคเงินทั้งหมดเลยหรือไง!
แต่เธอก็ยังยิ้ม “ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะนำเงินส่วนนั้นมาลงทุนกับธุรกิจเสื้อผ้าUnique เพราะที่ผ่านมาคำพูดในเชิงใส่ร้ายของคุณกวนทำให้แบรนด์Uniqueของเราได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่หลังจากลองคิดดูแล้ว ในขณะที่ฉันสามารถเอาชนะอุปสรรคและความยากลำบากในการทำธุรกิจมาได้ ผู้ด้อยโอกาสบางกลุ่มอาจกำลังรอความช่วยเหลือจากเราอยู่ ดังนั้นฉันจึงวางแผนว่าจะบริจาคเงินห้าพันหยวนที่เหลือให้กับครอบครัวยากจนจำนวนห้าสิบครัวเรือนค่ะ”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็แสร้งถามนักข่าวด้วยความถ่อมตัวว่า “คุณพึงพอใจกับการวางแผนของฉันหรือเปล่าคะ?”
นักข่าวคนนี้มีไหวพริบต่ำ เขาพยักหน้าซ้ำ ๆ “พอใจครับ พอใจมาก!”
ตอนท้ายเขายังยกนิ้วโป้งให้หลินม่ายอีกด้วย
หนิวลี่ลี่เหลือบมองนักข่าวคนนั้นด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ผู้ชายคนนี้ไหวพริบต่ำเกินไป ที่เขาได้ทำอาชีพนักข่าวคงไม่พ้นอาศัยเส้นสายภายในแน่
หลินม่ายกวาดสายตามองไปรอบ ๆ นักข่าวทั้งหมด จากนั้นสายตาของเธอก็จับจ้องไปที่หนิวลี่ลี่
“สำหรับการนำเงินห้าพันหยวนที่เหลือออกมาบริจาค ฉันต้องการให้สำนักหนังสือพิมพ์ของคุณช่วยฉันอีกแรงหนึ่ง”
หนิวลี่ลี่คลี่ยิ้มกว้างพลางพูดว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ คุณอยากให้สำนักหนังสือพิมพ์ของเราทำอะไรคะ?”
“ฉันอยากให้สำนักหนังสือพิมพ์ของคุณร่วมมือกับทางUnique ในการจัดกิจกรรมการกุศลส่งมอบความรักให้กับผู้ด้อยโอกาส เราเป็นผู้บริจาคเงิน ส่วนสำนักหนังสือพิมพ์ของคุณลงประกาศหาครอบครัวยากจนห้าสิบครัวเรือนที่ต้องการความช่วยเหลือผ่านทางหนังสือพิมพ์ และช่วยทำหน้าที่ในการรับลงทะเบียนด้วย”
นักข่าวจากสำนักหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ต่างพากันอิจฉาหนิวลี่ลี่
พวกเขาเองก็อยากกลายเป็นผู้โชคดีแบบหล่อนเหมือนกัน อยากได้รับการเสนอชื่อจากผู้จัดการหลินให้สำนักหนังสือพิมพ์ของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมการกุศลครั้งนี้บ้าง
นอกจากจะทำให้สำนักหนังสือพิมพ์ของตัวเองมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้ด้วย หัวหน้าจะได้ปฏิบัติกับพวกเขาต่างออกไป
น่าเสียดายที่พายจากฟากฟ้าตกลงมาใส่หัวคนแค่คนเดียว…
หนิวลี่ลี่ทำท่า OK ตอบรับคำขอของหลินม่ายอย่างมีความสุข
นับเป็นครั้งแรกในเจียงเฉิงที่สำนักหนังสือพิมพ์ร่วมมือกับองค์กรเอกชนเพื่อทำกิจกรรมการกุศล สิ่งนี้ต้องดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานระดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
จากความสำเร็จที่เกิดขึ้น คาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าฉู่เป้าจะกลายเป็นอันดับหนึ่งของการประเมินหนังสือพิมพ์ยอดเยี่ยมประจำปีนี้
ส่วนปีที่แล้วพวกเขาแพ้ให้กับฮั่นเป้าไปอันดับเดียว
กว่าจะเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ก็กินเวลามาเกือบเที่ยง หลินม่ายขอให้ติงไห่เฟิงช่วยพานักข่าวทั้งหมดไปที่โรงแรมเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
อย่ามองว่าติงไห่เฟิงเป็นแค่หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยเล็ก ๆ ของโรงงาน เมื่อก่อนเขาเคยติดตามเฉินเฟิง แน่นอนว่าเขาเข้าสังคมเก่งมาก ทั้งยังเป็นคอแอลกอฮอล์ตัวยง
หลินม่ายเห็นว่าเป็นการเหมาะสมที่สุดที่จะส่งเขาไปมอบความบันเทิงให้กับนักข่าว
นักข่าวในยุคสมัยนี้ไม่ควรทำให้ขัดใจแม้แต่นิดเดียว เพราะพวกเขาสามารถเขียนข่าวสร้างความเสื่อมเสียได้ด้วยปากกาด้ามเดียวเท่านั้น
ขอแค่ปฏิบัติกับพวกเขาให้ดีหน่อย ปากกาวิเศษก็จะเขียนแต่ข่าวที่น่าชื่นชมยินดี ทำให้เธอสมบูรณ์แบบราวกับนางฟ้า
ในขณะที่ส่งบรรดานักข่าวออกไปรับประทานอาหาร หลินม่ายก็แอบกระซิบกับหนิวลี่ลี่ “ขอบคุณมากนะที่เขียนบทความชมเชยขนมไหว้พระจันทร์ร้านเปาห่าวซือของฉัน”
หนิวลี่ลี่พูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันแค่พูดความจริงล้วน ๆ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ต่อไปจะลงทุนไปกับอะไรดีนะ ในเมื่อเอาของจากด่านศุลกากรมาขายไม่ได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)