สืออีเหนียงหลบไปไหนไม่ได้ นางจึงต้องนั่งข้างๆ สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋มองดูเหวินอี๋เหนียงที่กำลังร้องไห้ เขาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากเจ้าไม่พูด ข้าก็รู้ว่าทำไมเจ้ามาหาฮูหยิน แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเจ้าคนเดียว มันเกี่ยวข้องกับสกุลสวี เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ ร้านนี้ต้องปิดเท่านั้น แล้วต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อนวันที่สองเดือนสอง!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเด็ดขาด จากนั้นก็พูดอีกว่า “สองสามปีนี้เจ้าก็มีเงินเก็บไม่น้อย รู้จักพอเสียบ้าง มนุษย์มักจะเสียคนเพราะคำว่าโลภมากเสมอ”
เหวินอี๋เหนียงหน้าแดง นางเหลือบมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
เหมือนกับที่สืออีเหนียงคาดเดา ในเมื่อสวีลิ่งอี๋ยอมให้เหวินอี๋เหนียงยักยอกเงินสองแสนตำลึงนั้น แล้วทำไมเขาจะยอมเรื่องร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งไม่ได้ เพราะว่ากิจการของเหวินอี๋เหนียงอาจจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสกุลสวี สวีลิ่งอี๋จึงยืนกรานให้เหวินอี๋เหนียงปิดร้านนั้น แต่แค่ไม่รู้ว่าร้านของเหวินอี๋เหนียงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องมากขนาดไหน… เหวินอี๋เหนียงมีความลำบากใจของตัวเอง แต่บางทีสวีลิ่งอี๋อาจจะประสบปัญหามากกว่านางอีกก็ได้!
คิดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็เกลี้ยกล่อมเหวินอี๋เหนียงอย่างอ่อนโยน “เชิญท่านโหวมา ก็เพื่ออยากพูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน ตอนนี้ความหมายของท่านโหวก็ชัดเจนอยู่แล้ว เหวินอี๋เหนียงมีอะไรก็พูดออกมาเถิด”
เหวินอี๋เหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋ตัดสินใจไปแล้ว ตัวเองยังพูดอะไรได้อยู่หรือ
แต่สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางเบาๆ ด้วยท่าทีสนับสนุนนาง นางพลันนึกถึงความรักและความเอ็นดูที่สวีลิ่งอี๋มีต่อสืออีเหนียง นึกถึงน้ำตาที่เสียไปตอนที่นางถูกส่งมาที่เยี่ยนจิง แล้วก็นึกถึงแม่นมที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งเจ็ดแปดปี…นางรวบรวมความกล้า “ท่าน ท่านโหวเจ้าคะ ข้าไม่ได้ต้องการอะไร เรื่องของร้าน ข้าจะทำตามที่ท่านโหวบอกเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันที่สองเดือนสอง” ตัดสินใจแล้วจะกลับคำพูดไม่ได้ พูดออกมาแล้วยังจะง่ายกว่า เหวินอี๋เหนียงพูดจาฉะฉานขึ้นเรื่อยๆ “ตอนนี้ข้าเป็นห่วงแค่ท่านแม่ที่อยู่มณฑลหยางโจวเจ้าค่ะ ท่านคลอดข้า เลี้ยงดูข้า ข้าจะ…” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงัก น้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดว่า “ท่านโหวเป็นคนมีความสามารถ แล้วยังเป็นคนที่เห็นอะไรมากมากมาย ไม่เหมือนสตรีที่เอาแต่อยู่ในเรือนอย่างข้า ข้าขอร้องท่านคิดหาวิธี ช่วยท่านแม่ของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ” พูดจบ นางก็คุกเข่าลงเบื้องหน้าสวีลิ่งอี๋ช้าๆ “ท่านโหวเจ้าคะ ช่วยชีวิตเท่ากับการทำบุญ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มีแค่ท่านที่ช่วยท่านแม่ของข้าได้เจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว บอกให้สืออีเหนียงประคองเหวินอี๋เหนียงขึ้นมา
“เรื่องราวไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิด” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “แต่ว่า เจ้าไปรายงานไท่ฮูหยินสกุลเหวินก็ดีเหมือนกัน สองปีมานี้คุณชายสามสกุลเหวินสร้างปัญหาไว้ไม่น้อยจริงๆ ให้ไท่ฮูหยินสกุลเหวินเกลี้ยกล่อมเขา บางทีเขาอาจจะยอมฟังก็ได้ ต่อไปควรจะทำเช่นไร เขาก็ต้องรู้อยู่แก่ใจ!”
เหวินอี๋เหนียงซาบซึ้ง “ขอบพระคุณเจ้าค่ะท่านโหว!” พูดจบนางก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดทันทีว่า “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ข้าจะส่งคนไปบอกที่มณฑลหยางโจวประเดี๋ยวนี้ สำหรับร้านที่เขตจี่หนาน...” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลง “ข้าจะหาวิธีขายทิ้งเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วยกชาขึ้นมาจิบ
เหวินอี๋เหนียงเหลือบมองสืออีเหนียงด้วยสายที่ซาบซึ้ง จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
แต่สืออีเหนียงกลับเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋
นางชงชาให้สวีลิ่งอี๋ใหม่แล้วพูดเบาๆ “วันที่หนึ่งที่ท่านไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้บอกท่าน? หรือว่าท่านดูออกเองเจ้าคะ?”
“ฮ่องเต้บอกข้า” สวีลิ่งอี๋หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง “ไม่เช่นนั้น ข้าก็คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ฮ่องเต้จะทำการคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็มีความกังวล “ปกครองประเทศราวกับต้มปลา ครั้งนี้ฮ่องเต้ก้าวขากว้างเกินไป… ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้นเขาจะควบคุมไม่ได้!”
ถึงแม้ว่าจะควบคุมไม่ได้ และอาจจะถูกผู้คนมองว่าเป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลา แต่ไม่มีทางเป็นฮ่องเต้ที่ทำให้แว่นแคว้นล่มสลาย
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หากฮ่องเต้อยากจัดการสกุลเหวินจริงๆ แล้วเหตุใดเขาถึงบอกสวีลิ่งอี๋ และในเมื่อสวีลิ่งอี๋บอกให้สกุลเหวินระมัดระวัง ก็หมายความว่าฮ่องเต้ไม่สนใจสกุลเหวินแล้ว ตอนนี้สกุลที่ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานคือสกุลหยาง แต่หากสกุลเหวินยังไม่รู้อะไรเช่นนี้ต่อไป เมื่อฮ่องเต้จัดการสกุลหยางเรียบร้อยแล้ว ใครก็รับประกันไม่ได้ว่าวันไหนฮ่องเต้จะกลับมานึกถึงสกุลเหวิน ต้องวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าดีที่สุด
“ฮ่องเต้ทรงตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ” นางปลอบใจสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวแค่ทำตามก็พอแล้ว”
สวีลิ่งอี๋พูด “อืม” เบาๆ เขาดึงสติกลับมาแล้วปลอบใจนาง “เรื่องของสกุลเหวิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง หากฮ่องเต้อยากจะจัดการสกุลเหวินจริงๆ เขาคงไม่เตือนข้า ข้าคิดว่า ครั้งนี้สกุลเหวินคงต้องได้รับการสั่งสอน แต่ก็คงไม่เหมือนสกุลหยาง แค่ไม่ระวัง ก็อาจจะถูกกวาดล้างตระกูล…” พูดจบ เขาก็มองมาที่นางด้วยสายตาที่รู้สึกผิด “เดิมทีไม่อยากให้เจ้ากังวลเรื่องพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าเหวินอี๋เหนียงจะไม่ฟังคำสั่งข้า แล้วกล้ามาหาเจ้าเช่นนี้…”
“ท่านโหวทำเพื่อข้า ข้าเข้าใจดี แต่เหวินอี๋เหนียงเองก็ไม่มีทางเลือก” สืออีเหนียงยิ้ม นางถือโอกาสนี้แล้วเลียนแบบท่าทีของคุณนายสี่สกุลถัง ที่มีต่อลูกสะใภ้คนที่สามแซ่หยางของสกุลเหลียงเก๋อเหล่าเป็นตัวอย่าง “…ลานข้างนอกกับลานข้างในสนิทสนมกัน ชื่อเสียงของลานข้างนอกก็มีผลกระทบกับความเป็นความตายของลานข้างใน” พูดจบ นางก็ยกยิ้ม “หากท่านโหวไม่อยากให้ข้ากังวล ไม่สู้เล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้ข้าฟังยังจะดีเสียกว่า พอข้ารู้สาเหตุก็จะได้รับมือได้ ให้ข้าเดาไปเดามาเช่นนี้ ข้ายิ่งไม่สบายใจเจ้าค่ะ “
นี่เป็นครั้งที่สองที่สืออีเหนียงพูดเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิด
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดช้าๆ “เรื่องบางเรื่อง ค่อนข้างสำคัญ… เจ้ารู้แล้ว เกรงว่าจะยิ่งไม่สบายใจ…”
สืออีเหนียงไม่เคยคิดจะเป็นผู้ช่วยของสวีลิ่งอี๋ ยิ่งไปกว่านั้น สวีลิ่งอี๋ก็ไม่มีทางเล่าเรื่องราวในราชสำนักให้นางฟังทุกเรื่อง…นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าแค่อยากให้ท่านโหวเตือนข้าในยามสำคัญ ข้าจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน เช่นเดียวกับเรื่องของเหวินอี๋เหนียง นางมาหาข้า ข้าไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ช่วยนาง ก็กลัวท่านโหวจะลำบากใจ ไม่ช่วยนาง ก็กลัวว่านางจะเอะอะโวยวายทำให้ท่านโหวรำคาญ…”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็จับมือสืออีเหนียง เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว!” ด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน
นึกถึงคำพูดของเหวินอี๋เหนียง นางถามสวีลิ่งอี๋ “คนในร้าน ท่านโหวจะจัดการเช่นไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นสายตาก็เป็นประกาย เขาไม่ตอบนางแต่กลับถามนางกลับ “เหวินอี๋เหนียงพูดกับเจ้าเช่นไร”
“เหวินอี๋เหนียงไม่ได้พูดอะไรกับข้าเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่ข้าคิดว่าท่านโหวทำอะไรรอบคอบมาตลอด เหวินอี๋เหนียงบอกว่าคนพวกนั้นคือคนที่ติดตามนางมาจากสกุลเหวิน ตอนนั้นก็เคยช่วยเหลือสกุลสวี หากไม่สนใจพวกเขา เราอาจจะถูกมองว่าได้รับผลประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่ง มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านโหวเจ้าค่ะ แล้วอีกอย่าง ต่อไปท่านโหวก็ต้องมีลูกน้องที่มีศีลธรรม ชื่อเสียงอ่อนน้อมถ่อมตนเราไม่ต้องการ แต่ต้องมีความดีความชอบ มีต้นมีปลาย จะได้ทำให้คนที่คอยช่วยเหลือท่านโหวสบายใจ ข้าคิดว่าท่านโหวคงจะจัดการคนเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น มองดูนางด้วยสายตาที่จริงจัง ราวกับสืออีเหนียงเป็นจุดศูนย์กลางของแสง
“ข้าก็แค่คาดเดา” นางพูดอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง “หากพูดอะไรผิดไปท่านโหวอย่าได้ถือสาเลย” จากนั้นนางก็จิบชา เห็นว่าชาเย็นชืดตั้งนานแล้ว ก็วางถ้วยชาลง “ชาเย็นไปหน่อย ข้าไปชงมาใหม่ดีกว่าเจ้าค่ะ” นางเตรียมจะลงจากเตียงเตา…แต่กลับถูกสวีลิ่งอี๋ดึงแขนเอาไว้
“เจ้าเดาไม่ผิด” สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียงด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว “คนเหล่านั้นติดตามเหวินอี๋เหนียงมาจากสกุลเหวินจริงๆ แต่คนเหล่านั้นคือคนที่สกุลเหวินไม่ยอมรับเพราะเคยช่วยเหลือสกุลสวี แล้วยังติดตามมาตามคำสั่งของสกุลเหวิน ข้าเข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลเหวินไม่ได้ แล้วก็อธิบายให้พวกเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำเตือนของฮ่องเต้ ผ่านไปสองสามวันข้าก็จะบอกให้เหวินอี๋เหนียงให้ขายร้านนั้นทิ้งอยู่ดี แต่ครั้งนี้มันแค่ถูกจังหวะพอดี ข้าก็แค่ไหลตามน้ำ!” เขาอธิบาย “ข้ารู้ แต่ใช่ว่าคนข้างนอกจะรู้ ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงทำอะไรไม่ได้ ทุกคนในร้าน ข้าจะแบ่งที่ดินให้พวกเขาคนละสิบหมู่ ให้เงินคนละห้าร้อยตำลึง ให้ผู้ดูแลเพิ่มเงินให้พวกเขาอีกตามอายุ ส่งพวกเขาไปทำไร่ทำนาให้ข้า”
นี่ก็เป็นวิธีที่ดี!
เหตุใดเหวินอี๋เหนียงถึงไม่เห็นด้วยเล่า
ดูท่าทีของนางแล้ว นางคงเป็นห่วงคนในร้านจริงๆ!
สืออีเหนียงครุ่นคิด สวีลิ่งอี๋ก็ดึงตัวของนางเข้าไปกอดในอ้อนแขนที่อบอุ่น
“สืออีเหนียง!” สวีลิ่งอี๋ขยับหน้าเข้าไปใกล้หน้าของสืออีเหนียง แต่ไม่พูดอะไรอยู่นาน
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขากระทบลงบนใบหูของนาง ผิวหนังที่ร้อนผ่าวก็แนบอยู่บนในหน้าของนาง ทำเอาร่างกายของนางร้อนผ่าวตามไปด้วย
บรรยากาศในห้องนั้นคลุมเครือ แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองลอดผ่านหน้าต่างกระจก ก็เห็นแม่นมกู้กำลังอุ้มจิ่นเกอนั่งอยู่บนโต๊ะหินที่มีเบาะรองนั่งสีเหลืองใต้ต้นไม้ ฉังอานก็กำลังหัดเดินอยู่ในลานกับสาวใช้ตัวน้อยสองคน
นางพูดตะกุกตะกัก “ทำ ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋ถูหน้าของตัวเองกับใบหน้าของสืออีเหนียง “ข้าแค่อยากกอดเจ้า!”
สืออีเหนียงพึมพำ “เจ้าค่ะ” เสียงเบา ตัวที่อยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ก็โอนอ่อนลง
สวีลิ่งอี๋กอดแน่นยิ่งกว่าเดิม
สืออีเหนียงเริ่มรู้สึกหายใจลำบาก
นางอยากผลักเขาออกไป แต่ไม่รู้ว่าทำไม นางกลับลังเล
มีเสียงของปินจวี๋ดังขึ้นผ่านผ้าม่าน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวรับใช้ลานข้างนอกรายงานว่า บ่าวรับใช้ของคุณชายสามมาแจ้งว่าคุณชายสามและฮูหยินสามเข้าประตูเฉาหยางมาแล้วเจ้าค่ะ”
พึ่งจะเดือนหนึ่ง เหตุใดถึงกลับมาเร็วขนาดนี้!
สืออีเหนียงพยายามลุกขึ้น แต่สวีลิ่งอี๋กลับกอดนางแน่นกว่าเดิม
“รู้แล้ว!” เขาตอบกลับไป ยิ้มแล้วมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นประกาย
สืออีเหนียงรู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา นางหลับตาลง แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองทำเช่นนี้มันดูขี้ขลาดเกินไป จึงเงยหน้าขึ้นมองสวีลิ่งอี๋อย่างใจกล้า แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาหอมแก้มนางทีหนึ่ง ก่อนจะปล่อยนางออกจากอ้อมแขนแล้วเดินออกไป
“เจ้าไปบอกท่านแม่ว่าให้คนจัดงานเลี้ยงต้อนรับเถิด”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” สวีลิ่งอี๋ก็เดินออกไปจากประตูห้องโถงแล้ว