หลังพูดคุยกันจบ เฉินเหลียงก็ตั้งใจว่าจะไปเรียกผู้เป็นบิดาเข้ามา แต่คนของเขากลับบอกเขาว่าเวลานี้ผู้ว่าการยังคงยุ่งอยู่กับปัญหาอื่นภายในเมืองหลวงประจำมณฑลอยู่ และคงไม่สามารถมาได้ในเวลานี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่พูดอะไร เขาเพียงเขียนคำง่ายๆ ไม่กี่คำลงในกระดาษอย่างเงียบๆ แล้วบอกให้เด็กรับใช้นำกระดาษแผ่นนั้นไปมอบให้ผู้ว่าการเฉิน
เด็กรับใช้คนนั้นหรี่ตาเพราะเขาไม่เข้าใจว่าที่ปรึกษาจากเมืองหลวงประจำมณฑลกล้าดีอย่างไรถึงมาสั่งเขาเช่นนี้ได้
“นายน้อยขอรับ เรื่องนี้… นายท่านไม่ใช่คนที่จะยอมรับจดหมายจากใครง่ายๆ” เด็กรับใช้คนนั้นมีเหตุผลที่พูดเช่นนั้น เพราะตั้งแต่ที่ผู้ว่าการเฉินเข้ารับตำแหน่งมา ก็มีขุนนางจำนวนมากพยายามจะเข้ามาตีสนิทกับเขาผ่านการเขียนจดหมาย หากเขารับมาฉบับหนึ่ง ในอนาคตก็ย่อมมีมาอีกฉบับ
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเขา นางก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า ”เจ้าไม่ต้องกังวล นายท่านของเจ้าต้องยอมรับจดหมายจากที่ปรึกษาส่วนตัวของข้าแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดชุดของตน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายออกมา
เฉินเหลียงกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น เขาไม่คิดว่าเด็กรับใช้ของเขาจะพูดออกมาเช่นนั้น เขาตบศีรษะของเด็กรับใช้อย่างแรงพร้อมกับตวาดว่า ”อย่ามัวเสียเวลา! ไปได้แล้ว! ถ้าจดหมายไปถึงช้า เจ้าจะได้รับโทษจากท่านพ่อของข้าแน่!”
เด็กรับใช้คนนั้นถึงกับงุนงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่หลังจากได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย เขาก็เดาขึ้นมาในใจว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะมีอีกฐานะซ่อนอยู่
เขาเป็นใครกัน ฐานะของเขาสูงกว่านายท่านอีกหรือ
เด็กรับใช้คิดไม่ออก แต่เขาก็ยังต้องทำตามคำสั่งของนายน้อย เขารีบออกไปเพื่อนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งทันที
หลังเรื่องทั้งหมดนั้นจบลง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ที่นี่ต่ออีก และกำลังเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน เมืองฟู่ผิงอาจจะอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงประจำมณฑลนัก แต่นางเหลือเวลาอีกไม่นานสำหรับการแก้ปัญหาที่ดินเพาะปลูกอันแห้งแล้งนั้น ยิ่งกว่านั้นงบประมาณที่อดีตฮ่องเต้พูดถึงก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เงินพวกนั้นจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อนางอยู่ในเมืองฟู่ผิงเท่านั้น
ทันทีที่เฉินเหลียงได้ยินว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะกลับ เขาก็รีบขอให้นางพาเขาไปด้วย ”ลูกพี่ ให้ข้าไปกับท่านด้วยนะขอรับ หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านทั้งสองในพื้นที่ของท่านพ่อข้า เขาจะต้องเสียใจที่ไม่ได้มาพบพวกท่านในวันนี้แน่ขอรับ อีกอย่างหนึ่ง ข้าเองก็อยากช่วยคนที่เมืองฟู่ผิงเหมือนกัน!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดจึงเอ่ยว่า ”เจ้าจะตามมาด้วยก็ได้ แต่ต้องระวังอย่าเปิดเผยฐานะของพวกข้าออกไปล่ะ”
“ไม่มีปัญหาขอรับ!” ทันทีที่เฉินเหลียงให้สัญญากับทั้งสองเสร็จ เขาก็หันไปพบกับใบหน้าหล่อเหลาเกินมนุษย์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาเผลอก้าวเท้าหลบไปยืนด้านข้างด้วยสีหน้าเจียมเนื้อเจียมตัว ถ้าใครมาเห็นภาพนี้คงรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ทุกคนในเมืองหลวงประจำมณฑลรู้ว่าต่อให้คุณชายเฉินไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผลเหมือนคนอื่น แต่เขาก็เป็นคนอารมณ์ร้อน แม้แต่ผู้เป็นบิดาก็ยังเอาไม่อยู่ ดังนั้นผู้คนรอบตัวจึงให้ความเคารพต่อเขาเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้…
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ขณะปล่อยให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยช่วยพยุงนางขึ้น พร้อมกันนั้นนางก็ลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า ”แกล้งน้องชายข้าสนุกหรือเปล่า”
“ข้าไปแกล้งเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าของนางออก เผยให้เห็นใบหน้าอันสง่างามนั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเบะปากแล้วบอกว่า ”เวลาที่เขาเห็นท่าน เขาทำตัวเหมือนกับหนูเวลาเห็นแมวไม่มีผิด”
“นั่นเป็นปัญหาของเขา” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย
เฉินเหลียง : …
พวกท่านสองคนจะช่วยแสดงความรักกันให้มันเงียบๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ!
เขาได้ยินหมดแล้ว! รู้หรือเปล่า!
การพาเฉินเหลียงไปด้วยย่อมไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะเมืองฟู่ผิงยังอยู่ใต้เขตปกครองของเมืองหลวงประจำมณฑล ไม่ว่าเลี่ยวจือฝู่จะกล้าหาญเพียงใด แต่เขาก็คงไม่กล้ายื่นมือมาแตะต้องคุณชายรองของท่านผู้ว่าการเป็นแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าถ้าผู้ว่าการเฉินมาไม่ทันเวลา เฉินเหลียงก็อาจจะพอทำประโยชน์ได้บ้าง
ตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่าแผนการที่นางคิดให้เฉินเหลียงฟัง หัวใจของเขาก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้นยินดีที่พวยพุ่งขึ้นมา เพราะลูกพี่ไม่เคยเห็นความสำคัญของเขามาก่อน
บรรดาลูกศิษย์ที่ฝึกฝนพลังปราณในสำนักล้วนแต่เคารพยำเกรงต่อเฮ่อเหลียนเวยเวยกันทั้งนั้น
ไม่ใช่เพียงเพราะว่านางเป็นเจ้าของร้านเวยเจ๋อ แต่เหตุผลสำคัญเป็นเพราะว่าในขณะที่คนอื่นๆ เอาแต่ให้ความสำคัญกับบรรดาคุณหนูคุณชายจากหอชั้นเลิศ และปฏิบัติต่อคนที่เหลือด้วยท่าทีเมินเฉย
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับแตกต่างออกไป นางไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าใครจะมาจากหอไหน และไม่เคยลดคุณค่าของพวกเขาตามฐานะทางตระกูลเลยแม้แต่ครั้งเดียว นางมักจะอธิบายวิธีการใช้วัสดุต่างๆ สำหรับการสร้างอาวุธชนิดเบาให้พวกเขาฟังอยู่บ่อยๆ ด้วยซ้ำ
แม้แต่วันนี้ เฉินเหลียงก็ยังมองลูกพี่ของตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกาย
เขานึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้เป็นขุนนาง อย่างไรเส้นทางการเมืองก็ไม่ใช่เส้นทางอาชีพที่ง่ายดายนัก
เขาเคยเข้ารับการทดสอบหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสอบผ่านเลย
แต่ใครจะคิดเล่าว่าลูกพี่จะได้เป็นนายอำเภอทันทีที่ออกจากสำนักไป นางช่างเป็นคนที่น่าประทับใจจริงๆ!
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนเราบอกว่าเด็กๆ ช่างไร้เดียงสานัก พวกเขาไม่รู้จักใช้ประตูหลังให้เป็นประโยชน์
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางมือลงบนศีรษะของเฉินเหลียง แล้วบอกว่า ”กว่าเจ้าจะโตมาถึงเพียงนี้ได้คงจะลำบากน่าดู”
“คนที่ลำบากน่าจะเป็นผู้ว่าการเฉินมากกว่า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขัดขึ้นราวกับซ้ำเติม
เฉินเหลียง : …
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแกล้งอยู่เลยล่ะ
ในเวลานี้ตะวันกำลังใกล้จะลับฟ้า
ข่าวเรื่องการก่อสร้างถนนในเมืองฟู่ผิงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงประจำมณฑลราวกับไฟลามทุ่ง สายตาของทุกคนล้วนแต่จับจ้องไปที่เลี่ยวจือฝู่ มีขุนนางจากเมืองข้างเคียงหลายคนมาขอเข้าพบเขา แม้พวกเขาจะไม่ได้รางวัลชิ้นใหญ่กลับไป แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเรียกคะแนนจากเขาได้ อย่างไรเมื่อโครงการนี้สิ้นสุดลง เขาก็จะต้องได้รับการเลื่อนขั้นอย่างแน่นอน การเข้ามาประจบเอาใจเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้คงเป็นวิธีที่ฉลาดกว่าการเดินทางเข้าไปพบเขาที่เมืองหลวงในภายหลัง
ในเมื่อนายท่านเยี่ยนเป็นคู่หูที่ทำธุรกิจร่วมกับเลี่ยวจือฝู่มานาน ดังนั้นผลประโยชน์ของเขาจึงเป็นที่รับประกันได้ แม้กระทั่งที่ปรึกษาจางก็ยังได้รับความเคารพจากผู้คนมากมายไม่ว่าเขาจะไปที่ใด
เขาถือกาน้ำชาอยู่ในมือตอนที่เห็นพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามาในศาลาว่าการ เขาเอ่ยเสียงดังว่า ”ใต้เท้าเว่ยของพวกเรากลับมาแล้วหลังจากเดินทางไปที่เมืองหลวงประจำมณฑลเพื่อหาเงินมาให้ชาวบ้าน เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ท่านได้พบใครที่เมืองหลวงประจำมณฑลหรือไม่ขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขา และทำเพียงยิ้มออกมาโดยไม่ตอบแม้แต่คำเดียว
ที่ปรึกษาจางได้คำตอบทันทีที่เห็นว่านางมีคนกลับมาด้วยเพิ่มอีกหนึ่งคน ถ้าใต้เท้าเว่ยได้เข้าพบใครเข้าจริง และได้เงินมาจริงละก็ เขาก็คงไม่กลับมาในสภาพนี้ แต่อย่างน้อยก็คงมีคนขอร่วมทางกลับบ้านมาพร้อมกับเขา
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังไม่ได้รับจดหมายจากเมืองหลวงประจำมณฑลว่าด้วยการนัดหมายใดๆ แม้แต่ฉบับเดียว ดังนั้นใต้เท้าเว่ยย่อมไม่ได้พบหน้าใครเลยแม้แต่คนเดียว
แต่ที่ปรึกษาจางไม่รู้เลยว่าไม่ใช่เพียงแค่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะได้เงินมา แต่นางยังพาลูกชายสุดที่รักของใครคนหนึ่งมาจากเมืองหลวงประจำมณฑลอีกด้วย เขาคิดว่านางคงกลับมามือเปล่าเมื่อเห็นนางเช่นนั้น เขาก็เอ่ยเยาะว่า ”เฮ้อ บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้ล่ะขอรับ ใช่ว่าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ประตูบางบานจะเปิดก็ต่อเมื่อมีเส้นสาย ใต้เท้าเว่ยอย่าได้หมดกำลังใจกับเรื่องนี้เลยนะขอรับ”
ที่ปรึกษาจางรินชาแล้วยกมันขึ้นจิบด้วยท่าทางอวดดีพร้อมกับพูดเช่นนั้น สีหน้าพึงพอใจของเขาช่างทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบเขาอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า ”ข้าดูเหมือนคนหมดสิ้นกำลังใจหรือ”
“นี่สามารถดูออกได้ขอรับ” ที่ปรึกษาจางวางกาน้ำชาในมือลง
ทันทีที่เขาได้ยินดังนั้น เฉินเหลียงก็คิดกับตัวเองว่า ตาแก่นี่เป็นใคร ทำไมเขาถึงได้ทำตัวอวดดีนัก
จากนั้นเขาก็ได้ยินที่ปรึกษาจางอ้าปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง…