คำเรียกขานมหาเทพนี้ ทั้งชีวิตของเฉินชิงจื่อเข้าใจผ่านสองวิถีอันแตกต่างกัน วิถีหนึ่งมาจากบัญชาของสำนักแห่งความมืด คำบัญชาดังกล่าวมีข้อมูลจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีคำเรียกขาน “มหาเทพ” คำนี้อยู่ด้วย โดยเฉพาะหลังจากหลอมรวมเต๋าสวรรค์แล้ว เฉินชิงจื่อก็เข้าใจได้มากขึ้น
มหาเทพที่ว่านี้ คือผู้ปกครองที่แท้จริงของอาณาจักร
เขาได้ยินว่าดวงจิตเทพนี้แบ่งออกเป็นหนึ่งแสนส่วน แตกกระจายไปทั่วทั้งแสนจักรวาล จากนั้นกลายเป็นจักรพิภพเต๋านับแสน ในทุกเขตจักรพิภพเต๋านั้น อาณาจักรไม่รู้สิ้นได้ก่อกำเนิดขึ้นจากดวงจิตเทพที่ล่องลอยพวกนี้
ส่วนร่างก่อนในโลกแห่งศิลาเหล่านั้น…ก็คืออาณาจักรไม่รู้สิ้นที่มีอยู่มาไม่นานเท่าไหร่ พูดได้อีกอย่างว่าอาณาจักรนี้เพิ่งถือก่อกำเนิดขึ้นเท่านั้น อีกทั้งมีเพียงจักรพิภพไม่รู้สิ้นตรงนี้ ความบังเอิญทางโชคชะตากลับทำให้มันมีการเปลี่ยนแปลงและถูกรบกวนมากเกินไป
ในคราแรก การต่อสู้ระหว่างเซียนหลัวและกู่ สุดท้ายแล้วกู่หลบเร้นจนมาถึงที่นี่ ทำให้สถานที่นี้กลายเป็นเหมือนที่ซ่อนตัวของเขา แต่หลังจากนั้นเขายังคงถูกหลัวตามสังหาร จึงใช้แขนแปรสภาพเป็นผนึกก่อร่างตั้งสำนักแห่งความมืด เพื่อสืบทอดบัญชาที่ตนเองมอบหมายเอาไว้
หยุดยั้งไม่ให้เซียนจากไป ต้องถูกผนึกอยู่ที่นี่ไปทุกชาติทุกภพ
หากว่าหลัวมิได้ร่วงหล่น บางทีการเปลี่ยนผันของศิลาก็คงเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่เมื่อหลัวแตกดับ ทำให้บัญชาทั้งหลายกลายเป็นไม้ไร้ราก เมื่อใช้พลังมาจนบัดนี้ก็นับว่าร่วงโรยแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งศิลานั้นได้เปลี่ยนผันเป็น…การถือกำเนิดใหม่ของตระกูลไม่รู้สิ้นอีกทั้งบุตรไม่รู้สิ้นก็ได้เกิดขึ้นมาจากการฟื้นคืนความทรงจำบางส่วน ในนี้นั้นยังมี…ผู้สืบทอดบัญชาของสำนักแห่งความมืด ผู้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนในจิตแห่งเต๋าของตน
ดังนั้นแล้ว อาจารย์ของเฉินชิงจื่อและหวังเป่าเล่อ จึงเกิดความขัดแย้งในก้นบึ้งหัวใจ
เพราะหากว่าไม่มีเฉินชิงจื่อ หรือว่าตัวหวังเป่าเล่อไม่ตื่นรู้ขึ้นมา หรือว่าตื่นรู้แต่ถูกแย่งชิงไป เช่นนั้นชะตาของโลกแห่งศิลานี้ก็คงจะเหมือนกับจักรพิภพเต๋านับแสนอื่นๆ ก็คือสุดท้ายแล้วคือตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นผู้ถือครองความรุ่งโรจน์ ส่วนบุตรไม่รู้สิ้นในแดนเต๋านับแสนล้วนรู้แจ้ง เสมือนหนึ่งได้นิพพานก็ไม่ปาน เสมือนกลืนกินก็ไม่ปาน พวกเขากลืนกินทั้งจักรพิภเต๋า จากนั้นกลายเป็นผลแห่งเต๋าหนึ่งที่แหวกทำลายสภาวะว่างเปล่า จากนั้นย้อนคืนสู่ตัวมหาเทพ
เห็นได้ชัดว่า…อาณาจักรไม่รู้สิ้นแห่งนี้เกิดปัญหา
นี่คือข้อมูลที่เฉินชิงจื่อทราบจากเต๋าสวรรค์แห่งความมืด และสำหรับเขาแล้ววิธีการที่ทำให้ล่วงรู้ได้อีกอย่างหนึ่งนั้น กลับเป็น…การสืบทอดจากตัวเซียนเอง
การสืบทอดแห่งเซียน ไม่ได้มีแค่ส่วนหนึ่งกลับมีสองส่วน
หลังจากที่กู่หนีเข้าโลกแห่งศิลาแล้ว ทราบดีว่าหลัวย่อมหาตัวเองพบเป็นแน่ ดังนั้นแล้วในตอนที่เข้าสู่ตระกูลไม่รู้สิ้นในยามนั้น เขาตัดกระแสจิตเทพของตนเอง จากนั้นตนเองจึงกำหนดการสืบทอดแห่งเซียน แบ่งเป็นหนึ่งสว่าง หนึ่งมืด
ที่ว่าสว่างนั้นก็คือตนเอง กลายเป็นปณิธานอันแข็งกล้า
ที่มืดนั้นคือตนหนีเข้าวัฏสังสาร จากนั้นใช้ความรู้หนึ่งกลายเป็นกระแสเซียน เลือนหายไร้ลักษณ์
หลายขวบปีให้หลัง…การสืบทอดแห่งเซียนอย่างลับๆ นี้ถูกเฉินชิงจื่อล่วงรู้เข้า ดังนั้นแล้วในเวลาเพียงสั้นๆ เขาจึงแก้แค้นทำลายอาณาจักรอสรพิษดำ จนกระทั่งเข้าตาหมิงคุนจื่อ ท่ามกลางความซับซ้อนแห่งจิตเต๋านี้ หมิงคุนจื่อรับตัวเขาเป็นศิษย์
และความทรงจำแห่งการสืบทอดเซียนลับๆ นี้ เฉินชิงจื่อก็ได้ล่วงรู้เข้าท่ามกลางความทรงจำหลายทบ ระหว่างที่เขาระลึกแค้น และท่ามกลางจิตสังหารอันมึนงงภายหลังจากที่สำนักแห่งความมืดสิ้นสลายแล้ว
ในยามนั้น เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองเป็นใคร
ในยามนั้น เขาก็ได้ทราบที่มาของโลกแห่งศิลา
และเป็นในยามนั้นเอง ที่เขาได้กระจ่างว่า…สิ่งที่อาจารย์ต้องการผนึก ไม่ใช่ตนเองแต่กลับเป็น…มหาเทพ
เพราะการตื่นรู้ซึ่งการสืบทอดแห่งเซียนของเขาในที่นี้ แฝงไปด้วยความทรงจำ ในความทรงจำนั้น…หลัวและกู่ เคยไปยังจักรวาลหนึ่ง จักรวาลนั้นเคยมีนามว่า มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด
มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดดังกล่าวใหญ่โตไร้ขอบเขต ในนั้นตั้งแต่โบราณจวบจนบัดนี้ มีผู้เยี่ยมยุทธ์ถือกำเนิดทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดท่าน ทุกท่านล้วนชื่อเสียงสะท้านฟ้า แต่ละคนก่อกำเนิดพิภพของตนเอง และในบรรดาหนึ่งร้อยแปดคนนี้ มีผู้สูงศักดิ์รายหนึ่ง…กวาดล้างมิติต้นกำเนิด สยบทั้งพิภพเต๋า และถูกขนานนามว่า…มหาเทพ!
มหาเทพไร้พ่าย ข้างกายมักจะพานกแก้วไปด้วยตัวหนึ่ง ในยามนั้นได้รวมการปกครองในมิติเต๋าต้นกำเนิด หลังจากนั้นภายใต้เจตนารมณ์แห่งมหาเทพ…ได้เปลี่ยนมิติเต๋าต้นกำเนิดให้มีชื่อใหม่เป็น…จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!
หลัวและกู่ ในยามนี้เนื่องจากโลกาต้นกำเนิดของตนเองมาถึงขีดจำกัด ล้วนค่อยๆ ทยอยกันเสาะหาสถานที่แต่ก็ถูกสยบเอาไว้ในที่นี้ หลังจากนั้นหลายปี มหาเทพวางแผนฝึกตนขั้นสุดท้าย แต่เนื่องจากเคราะห์ร้ายเจอพลังสะท้อนกลับ ตะปูไม้สีดำชิ้นหนึ่งร่วงจากนภาเข้าเจาะทะลุกลางหว่างคิ้ว ทำให้พลังฝึกตนของมหาเทพนั้นยุ่งเหยิงบ้าคลั่ง และในยามนี้เอง มิติเต๋าต้นกำเนิดที่ถูกปกครองมานานนับกาลปาวสาน จึงผ่อนคลายลง
หลัวและกู่ เหตุเพราะเต๋าที่ถือครองนั้นมิใช่อยู่ในมิติเต๋าต้นดำเนิด ดังนั้นในยามที่การปกครองหละหลวม จึงสำแดงพลังฝึกปรือทั้งหมดเพื่อหลบหนีออกจากที่นั้น แต่หลังจากหนีไปแล้ว บางทีผลการกลืนกินสะท้อนกลับของมหาเทพนั้นก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเหตุเพราะความบังเอิญทางโชคชะตา พวกเขาทั้งสองคนได้รับการสืบทอดแห่งเซียน ดังนั้นแล้วจึงได้มีการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินนั้น!
หลังจากนั้น กู่ถูกผนึก และได้รับสืบทอดการสืบทอดแห่งเซียนส่วนใหญ่ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็มากกว่าพลังฝึกตนของหลัว ส่วนที่ว่าเขาไปที่ใดนั้น เฉินชิงจื่อไม่ทราบ
บางทีอาจจะไปเกิดใหม่ในมิติเต๋าต้นกำเนิด หรือบางทีอาจจะกำลังต่อสู้บ้าคลั่งกับมหาเทพ เฉิงชิงจื่อไม่ทราบเช่นกัน
แต่จากการสืบทอดแห่งเซียนนี้ เขาทราบว่า…หลัวที่หลอมรวมกับการสืบทอดแห่งเซียน จะต้องหลอมสกัดสมบัติสูงส่งที่เรียกว่าโลหิตจักรวาลออกมาได้ สมบัติสูงส่งนี้…คือสิ่งจำเป็นสำหรับอีกระดับชั้นหนึ่ง
ของสิ่งนี้…หากว่าผู้อยู่ระดับเดียวกันได้ไป จะกลายเป็นยาศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ
“มหาเทพ…” เฉินชิงจื่อมองไปนอกประตูศิลา เห็นเงาร่างโลหิตลอยผ่านไป ดวงตาของเขาทอประกายคมปลาบสามารถคาดเดาถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ได้รับสืบทอดมาหรือจากปราณบนร่างอีกฝ่ายในยามนี้ ได้อธิบายทุกอย่างชัดแล้ว
และเกือบจะในพริบตาที่เฉินชิงจื่อเอ่ยปาก เงาร่างโลหิตด้านนอกก็เพิ่มความไวขึ้น ในพริบตาถัดมา ลูกตาขนาดมหึมาข้างหนึ่งปรากฏอยู่นอกประตูแทบจะในทันที มันยึดครองพื้นที่ประตูศิลาเกือบทั้งหมด จากนั้นจ้องเฉินชิงจื่อในประตูศิลา
ดวงตานี้เป็นสีดำปนเหลือง แสดงอารมณ์เย็นชาและไร้ความรู้สึก อีกทั้งลูกตาดำยังมีขนาดใหญ่มาก มองจากประตูเพียงโผล่มาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่หากยามนี้มีคนอยู่นอกประตูแล้วมองมายังความว่างเปล่านี้ จะมองเห็นตะขาบตัวขนาดมโหฬารจนน่าตื่นตะลึง ลำตัวสีโลหิตของมันมองไม่เห็นว่ายาวเท่าไหร่กันแน่กำลังม้วนขดไปมาอยู่ในความว่างเปล่านี้อย่างไร้ช่องว่าง
ร่างสีโลหิต ทำให้รู้สึกเหมือนจะแผ่ขยายไปทั่วความว่างเปล่าได้ ปราณที่มันแผ่ออกมานั้นกระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ ในยามนี้ศรีษะของตัวตะขาบโลหิตกำลังประจันหน้ากับประตูศิลา
“เจ้ากล้าออกมาไหม?” กระแสจิตครองฟ้าครองพิภพกระจายไปทั่วทิศ และเข้าสู่ดวงวิญญาณเทพของเฉินชิงจื่อ
“หากร่างต้นของเจ้ามา ข้าอาจจะลังเลอยู่บ้าง แต่เจ้าในยามนี้…เป็นเพียงแค่กระแสจิตหนึ่งเท่านั้น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ทำไมข้าจะกลัวเล่า” เฉินชิงจื่อค่อยๆ เอ่ยปาก
นอกประตูศิลา ตะขาบสีโลหิตมองเฉินชิงจื่อ ครึ่งครู่ใหญ่ถึงค่อยหัวเราะออกมา
“ในเมื่อรู้จักร่างต้นของข้าผู้สูงศักดิ์ แต่ยังเลือกที่จะมา หรือว่าเมล็ดพันธ์ที่ข้าหว่านไว้ตรงนั้น ไม่อาจจะหลอมผลแห่งเต๋าที่นี่ออกมาได้…”
“ต้องพูดสักหน่อย หลัวนั้นคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าผู้สูงศักดิ์เคยพบ…เขาที่ได้รับสืบทอดพลังเซียนส่วนใหญ่ แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ข้า และถูกข้าชิงโลหิตจักรวาลไป แต่ว่า…เขาก็ยังหนีรอดได้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส น่าเสียดาย สุดท้ายเขาก็ร่วงหล่นอยู่ดี”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังทิ้งปัญหาที่ทำให้ข้าผู้สูงศักดิ์รังเกียจอยู่ดี อย่างเช่นเจ้าคนที่อยู่ข้างนอกแต่เข้ามาไม่ได้คนนั้น อย่างเช่นหลายคนที่จับจ้องที่นี่จากสถานที่ห่างไกลนั่น หรืออย่างเช่นในที่นี้…หลังข้ามาแล้วถึงค่อยทราบ ที่แท้เป็นสิ่งที่สร้างมาจากมือขวาของมัน นี่ขจัดความสงสัยของข้า เพราะเหตุใด…กระแสจิตนับแสนที่ข้าปล่อยออกไปนั้น ถึงส่งคืนผลแห่งเต๋ามาแค่เก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าผล สถานที่เดียวนี้…ที่ไม่ได้กลับมา”
“โลกทั้งเก้าแสนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าได้กลายเป็นผลแห่งเต๋าทิ้งสิ้น ส่วนแก่นรากเดิมภายในนั้นถูกทำลายทิ้ง โลกอันเป็นเอกเช่นนี้…ถึงกับทำให้ข้าผู้สูงศักดิ์ต้องส่งกระแสจิตหนึ่งมาสำรวจก่อนล่วงหน้าเป็นการเฉพาะ”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบผู้ฝึกตนเช่นเจ้า ผู้สืบทอดบัญชาแห่งหลัว สืบทอดพลังเซียนส่วนนั้น หากเจ้าเติบโตต่อไป จะไม่กลายเป็นหลัวอีกคนเหรอ?”
“ผู้สูงศักดิ์ทราบอยู่แล้วว่าหลัวแม้ร่วงหล่น แต่ต้นกำเนิดดาวเคราะห์นั้นพิเศษ ทำให้มีหลัวคนใหม่กำเนิดขึ้น ในยามนี้เขาเองก็จับจ้องที่นี่อยู่ เช่นนั้นหากพวกเจ้าทั้งสองพบหน้า…จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ” ตะขาบพูดเข้าพูดเข้าก็พลันเผยรอยยิ้มกว้าง