ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ นางก็บอกให้อวี้ป่านนำชามและตะเกียบเข้ามาใหม่
ฮูหยินสามถึงตระหนักขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงและไท่ฮูหยินทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว
นางเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ
ในช่วงสองสามปีที่อยู่ที่มณฑลซานหยาง นางเป็นคนดูแลเรื่องทุกอย่างในครอบครัว แม้แต่ไปเป็นแขกที่สกุลอื่น คนอื่นก็ยกย่องว่านางเป็นฮูหยินของนายอำเภอ มักประจบสอพลอตามใจนาง ตอนนี้กลับมาที่จวน กลับมาใช้ชีวิตที่ต้องยอมคนอื่น จู่ๆ นางก็รู้สึกไม่ชิน และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้นางตัดสินใจที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่คำพูดที่ว่านางยังไม่ได้ทานข้าวพูดออกไปแล้ว เปลี่ยนคำพูดไม่ทันแล้ว นางจึงต้องกัดฟันรับชามมา “ข้ามาสายเองเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินคิดว่าฮูหยินสามไม่รู้ความมาตลอด คิดเล็กคิดน้อยกับนางก็แค่หาความลำบากให้ตัวเอง ในสายตาคนอื่น นางจึงดูใจกว้างกับฮูหยินสามมากเป็นพิเศษ
“เจ้าไม่ได้มาสาย เป็นพวกข้าต่างหากที่ทานเช้าเกินไป!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “เจ้าค่อยๆ ทานเถิด ไม่ต้องรีบร้อน ยังเช้าอยู่”
ฮูหยินสามจะกล้าค่อยๆ ทานได้อย่างไร นางไม่สนใจว่าตัวเองจะทานอิ่มหรือไม่ บอกให้สาวใช้ตักข้าวต้มมาครึ่งชาม จากนั้นก็รีบทานจนหมด
สวีซื่อจุนมาคารวะท่านย่า เห็นว่าท่านแม่และท่านป้าสามเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเขาก็ตกใจ คารวะเสร็จแล้วก็เดินเข้าไปข้างสืออีเหนียง “ท่านแม่ขอรับ ประเดี๋ยวอาจารย์ก็จะกลับมาแล้ว ข้าและน้องห้ายังเป่าขลุ่ยไม่คล่องเลย…” นางมองไปที่สืออีเหนียงด้วยรอยยิ้มที่ออดอ้อน
เพราะกลัวที่จะทำให้จิ่นเกอตื่น เมื่อสวีซื่อจุนจะฝึกเป่าขลุ่ย เขาก็จะไปที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่อจุนพูดแบบนี้ ที่จริงแล้วก็คืออยากไปเล่นที่เรือนของเจินเจี่ยเอ๋อร์กับสวีซื่อเจี้ย
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ตอนนี้ปล่อยเจ้าไปก่อน รอให้อาจารย์กลับมาแล้ว เจ้าจะเอาแต่เป่าขลุ่ยแล้วไม่สนใจการเรียนไม่ได้นะ”
สวีซื่อจุนรีบพูด “ไม่ขอรับ ไม่ขอรับ การบ้านที่อาจารย์มอบหมายให้ข้าทำเสร็จตั้งนานแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ ด้วยสายตาที่พึงพอใจ จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นด้วยกับความคิดของสวีลิ่งอี๋ สวีซื่อจุนจะทำตัวเป็นเด็กเหมือนตอนนี้ต่อไปไม่ได้ แต่เรื่องอะไรก็ไม่ได้สำเร็จในชั่วข้ามคืน
“อย่าลืมกลับมาทานข้าวเที่ยงด้วยเล่า!” นางยิ้มแล้วบอกสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนเห็นว่าคำขอของตัวเองได้รับอนุญาต สายตาของเขาก็เป็นประกาย พยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็ออกไปหาสวีซื่อเจี้ยกับสาวใช้
ฮูหยินสามเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “จุนเกอของเราโตขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าเรียนหนังสือจะได้ผลจริงๆ !”
พูดถึงสวีซื่อจุน หลานชายที่เติบโตขึ้นมาในเรือนของตัวเองแล้วรู้ความขึ้นทุกวัน ไท่ฮูหยินก็ยิ้มหน้าบาน “คนเรารู้ความจากการเล่าเรียน!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินสามเอ่ยคล้อยตามไท่ฮูหยิน “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่จวนไม่รู้สึกอะไร รู้สึกแค่ว่าทุกคนเหมือนกัน แต่ตั้งแต่ไปถึงมณฑลซานหยางถึงได้รู้ว่า คนที่เคยเรียนหนังสือกับคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือนั้นแตกต่างกัน ไม่แปลกใจที่ท่านพ่อของข้าอยากสอบบัณฑิตชั้นสูง” พูดจบ นางก็เปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องแต่งงานของสวีซื่อฉิน “…เมื่อวานเห็นว่าพวกเด็กๆ อยู่ด้วย จึงไม่ได้บอกท่าน วันนี้รีบมาหาท่านแต่เช้า ก็เพราะอยากมาเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง”
ไท่ฮูหยินก็อยากรู้เรื่องแต่งงานของสวีซื่อฉินมาโดยตลอด จู่ๆ ก็มีข่าว อีกทั้งงานแต่งงานก็กำหนดเร็วเช่นนี้
นางจึงหันไปพูดด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
แน่นอนว่าฮูหยินสามไม่เหมือนคุณชายสามที่ความจริงเป็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น นางเล่าแค่ว่านายอำเภอฟังเป็นคนแบบไหน คุณชายสามชื่นชมเขาเช่นไร ฮูหยินฟังเป็นห่วงสามี หนึ่งปีก่อนนางจึงพาบุตรสาวมาดูแลนายอำเภอฟังที่อำเภอ แล้วตัวเองบังเอิญเจอกับคุณหนูใหญ่สกุลฟังอย่างไร หน้าตาและความรู้ของคุณหนูใหญ่สกุลฟังโดดเด่นขนาดไหน นายอำเภอฟังรักบุตรสาวของตัวเองราวกับสมบัติล้ำค่าจึงทำให้เรื่องแต่งงานของบุตรสาวล่าช้า แล้วฮูหยินฟังรีบร้อนแค่ไหน ตัวเองไปสู่ขอเช่นไร สุดท้ายทั้งสองสกุลตกลงแต่งงานกันอย่างไร นางเล่าให้ไท่ฮูหยินฟังทีละเรื่อง
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถือลูกประคำในมือ
“บิดามารดาของนายอำเภอฟังยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
นี่เป็นคำถามที่สำคัญ
สกุลขุนนางทั่วไป สามีทำงานอยู่ข้างนอก ส่วนใหญ่มักจะอยู่กับอนุภรรยา ภรรยาเอกต้องดูแลบิดามารดาของสามี เลี้ยงบุตรอยู่ที่จวน
แต่ฮูหยินฟังกลับไปดูแลสามีที่อำเภอ คิดตื้นๆ ก็อาจบอกว่านางอิจฉาอนุภรรยา แต่หากคิดลึกๆ ก็คือนางไม่รู้จักกตัญญูกตเวที
ฮูหยินสามได้ฟังแล้วก็ตกใจ
ตนไม่อยากให้ลูกสะใภ้คนโตในอนาคตไม่มีหน้ามีตาต่อหน้าไท่ฮูหยินและอาสะใภ้ของนาง จึงรีบพูดว่า “ท่านพ่อท่านแม่ของใต้เท้าฟังยังมีชีวิตอยู่เจ้าค่ะ ส่วนเรื่องในจวน พี่ชายใหญ่ของใต้เท้าฟังที่ลาออกจากตำแหน่งเป็นคนดูแล ตอนที่ใต้เท้าฟังรับตำแหน่ง เขาก็พาอนุภรรยาไปรับใช้ แต่ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ใต้เท้าฟังไม่สบาย อนุภรรยาคนนั้นดูแลเขาได้ไม่ดี เขานอนป่วยอยู่บนเตียงตั้งหลายเดือน ฟังฮูหยินจึงพาบุตรสาวเดินทางมาหาใต้เท้าฟัง หากไม่ใช่เพราะว่าฟังฮูหยินนำยามาจากมณฑลเจียงหนาน มาดูแลเขาด้วยตัวเอง ใต้เท้าฟังคงจะลาออกแล้วกลับบ้านเกิดไปนานแล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนี้ ดูเหมือนว่าฟังฮูหยินคนนี้จะเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง”
“ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้น งานแต่งครั้งนี้คงจะไม่กำหนดเร็วเช่นนี้ ฟังฮูหยินบอกว่า ตอนนี้ใต้เท้าฟังหายดีแล้ว นางก็จะได้กลับมณฑลหูโจวอย่างสบายใจ กลับไปตั้งใจดูแลรับใช้แม่สามี หลังจากคุณหนูใหญ่แต่งงานแล้วก็จะกลับไปจัดการเรื่องงานแต่งของคุณหนูสองที่มณฑลหูโจว”
“บุตรชายคนโตของข้าหลวงมณฑลเฉิงตูคนนั้นน่ะหรือ” ไท่ฮูหยินถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามพยักหน้า “คุณหนูสองสกุลฟังหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของข้าหลวงมณฑลเฉิงตูเจ้าค่ะ” นางคิดว่าสกุลฟังล้วนแต่เป็นบัณฑิตชั้นสูง แล้วยังเป็นขุนนาง มีหน้ามีตา “ข้าหลวงมณฑลเฉิงตูคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมงานกับนายอำเภอฟัง แล้วยังเป็นคนบ้านเดียวกันอีกด้วย หมั้นกันตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าฟังฮูหยินอยากจะแต่งบุตรสาวคนโตออกไปก่อน คุณหนูสองสกุลฟังคงจะแต่งออกไปตั้งนานแล้ว”
“ทำไมฟังฮูหยินถึงรีบร้อนเช่นนี้” ไท่ฮูหยินยิ้ม “คุณหนูสองสกุลฟังเด็กกว่าคุณหนูใหญ่สองปี เช่นนั้นปีนี้ก็อายุแค่สิบสี่ปี ยังไม่ได้จัดพิธีขึ้นปิ่นปักผมเลย!” พูดจบนางก็ถามว่า “ไม่รู้ว่าบุตรชายคนโตของข้าหลวงมณฑลเฉิงตูอายุเท่าไรแล้ว”
“ปีนี้อายุสิบหกปี!” ฮูหยินสามยิ้ม “จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ห่างกันมาก แต่ว่า ฮูหยินข้าหลวงอยากแต่งลูกสะใภ้คนนี้เข้ามาเร็วๆ บุตรชายจะได้มีคนรู้ใจ แม่สื่อมาพูดทุกสองสามวัน แล้วเรื่องแต่งงานของคุณหนูใหญ่ก็กำหนดแล้ว ฟังฮูหยินก็ทนไม่ไหวแล้ว นางจึงตอบตกลงเจ้าค่ะ แต่ฟังฮูหยินบอกว่ากลับไปแล้วค่อยจัดการเรื่องงานแต่งของคุณหนูสอง คงต้องใช้เวลาสองสามปี!”
“กฎเกณฑ์ของมณฑลเจียงหนานมีมากมาย!” ไท่ฮูหยินพูดแล้วหันไปยิ้มให้สืออีเหนียง “มีพิธีมงคล งานแต่งงานแต่ละสกุลก็ยิ่งใหญ่ แต่งบุตรสาวคนหนึ่งก็เสียเงินไม่น้อย” หัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนเป็นงานแต่งงานของแต่ละสกุล
สืออีเหนียงเป็นห่วงจิ่นเกอ นางอยากหาโอกาสขอตัวลา แต่ไท่ฮูหยินกำลังเพลิดเพลิน แล้วยังหันมาพูดกับนางเป็นครั้งคราว นางจึงต้องนั่งคุยเป็นเพื่อน
ช่วงที่พูดคุยกันฮูหยินสามพูดถึงเรื่องที่จะเชิญให้ใครมาเป็นแม่สื่อ ไท่ฮูหยินไม่รอให้นางพูดจบก็แนะนำคุณนายสามสกุลหวง คุณนายสามสกุลหวงคือฮูหยินของหย่งชังโหวซื่อจื่อ นางเป็นแม่สื่อให้ บุตรชายก็ถือว่ามีหน้ามีตา ยิ่งไปกว่านั้นคุณนายสามสกุลหวงเป็นคนพูดจาเป็น คล่องแคล่วยิ่งกว่าสืออีเหนียงเสียอีก เมื่อไท่ฮูหยินพูดถึงเรื่องที่จะเชิญสวีลิ่งอี๋เป็นเจ้าภาพงานแต่ง ฮูหยินสามก็คิดได้ นางยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็คำนับขอบพระคุณไท่ฮูหยินด้วยความเคารพ ทำเอาไท่ฮูหยินชอบอกชอบใจ นางลุกขึ้น “…ในเมื่อเชิญคุณนายสามสกุลหวงเป็นแม่สื่อ ก็ต้องมีของขวัญ ข้าจะไปเตรียมประเดี๋ยวนี้ ยามบ่ายข้าจะไปจวนหย่งชังโหว”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า หลังจากที่ฮูหยินสามออกไปแล้ว นางก็บอกให้ป้าตู้ส่งคนไปรายงานจวนหย่งชังโหว แล้วให้สืออีเหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อน
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคนใน” ไท่ฮูหยินไล่คนที่อยู่ในห้องออกไป นางพูดเสียงเบา “เจ้าลองคิดดู ในเมื่อข้าหลวงมณฑลเฉิงตูและนายอำเภอฟังเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วยังเป็นคนบ้านเดียวกัน อายุของบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนโตก็เท่ากัน แต่ทำไมคนที่ข้าหลวงมณฑลเฉิงตูสู่ขอคือคุณหนูสองแต่ไม่ใช่คุณหนูใหญ่? แล้วยังมีฟังฮูหยิน ตอนที่นายอำเภอฟังไม่สบายช่วงฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ก็พาบุตรสาวคนโตไปดูแลนายอำเภอฟังที่อำเภอ คุณหนูใหญ่คนนั้นอยู่ที่บ้านเกิดมาตลอด ลูกสะใภ้สามก็เป็นคนที่รู้จักแต่ดูความสนุก มันเป็นเช่นไรกันแน่…” นางขมวดคิ้ว “ฉินเกอเป็นหลานชายคนโต หากเขาเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น เกรงว่าต่อไปภรรยาของจุนเกอแต่งเข้ามาคงจะลำบาก”
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นการคาดเดา
พวกนางไม่เคยเห็นนางเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้พูดเช่นนี้ถือว่าเร็วเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแต่งงานก็กำหนดแล้ว หรือว่ายังจะยกเลิกได้เช่นนั้นหรือ
เช่นนั้นฝ่ายหญิงต้องเสียหายมากแค่ไหน!
“ห่างกันพันลี้แสนไกล บุพเพเชื่อมไว้ด้วยด้ายแดงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “มีพรหมลิขิตหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับดวงวันเกิดของพวกเขา บางทีดวงของคุณหนูใหญ่สกุลฟังอาจจะไม่สมพงษ์กับคุณชายใหญ่ข้าหลวงมณฑลเฉิงตูก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น จะบังเอิญเจอกันได้อย่างไร บางทีนี่อาจเป็นพรหมลิขิตของคุณหนูใหญ่สกุลฟังและฉินเกอของเราก็ได้!”
ไท่ฮูหยินไม่พูดอะไรอยู่นาน นางแค่ถอนหายใจเบาๆ
สืออีเหนียงจึงเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “แต่งเข้ามาในสกุลเรา ก็คือคนของสกุลเรา ท่านเห็นอะไรมาเยอะ หากนางทำผิดอะไร ท่านค่อยตักเตือนนางก็ได้ นึกถึงตอนนั้น หากท่านไม่แนะนำข้า ข้าจะมีวันนี้ได้เช่นไรเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
“เจ้านี่นะ ประจบเก่งเสียจริง”
สืออีเหนียงยิ้มออดอ้อน
*****
ยามซื่อ คุณนายสามสกุลหวงก็มาเยี่ยม
นางไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน ตกลงที่จะเป็นแม่สื่อให้ฉินเกอ จากนั้นก็ไม่ไปหาฮูหยินสาม แต่กลับไปที่เรือนของสืออีเหนียงแทน
จิ่นเกอทานอิ่มแล้วก็นอนหลับอยู่ในผ้าห่ม สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตา แม่นมกู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงเตา กำลังเย็บปักชุดให้เขา
“คิดว่าท่านจะมาพรุ่งนี้เสียอีก!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเชิญคุณนายสามสกุลหวงไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องปีกทางทิศตะวันตก จากนั้นก็หยอกล้อนาง “ล้วนแต่บอกว่าพี่หญิงเป็นแม่สื่อที่ดีที่สุด แม่สื่อของพี่สะใภ้สามเราช่างเชิญได้ถูกคนเสียจริง แต่ถึงตอนนั้นพี่หญิงต้องยอมรับของขวัญด้วยนะเจ้าคะ!”
คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนตรงไปตรงมา แล้วนางก็ชอบการหยอกล้อเช่นนี้ คิดว่าเช่นนี้ถึงจะเรียกว่าสนิทสนมกัน
สืออีเหนียงคิดว่านางจะตอบกลับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่คิดไม่ถึงว่าได้ยินเช่นนี้นางกลับยิ้มแล้วถามถึงจิ่นเกอ “…หลับแล้วหรือ? หรือว่าแม่นมอุ้มออกไปเดินเล่น?” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูใจลอย
“หลับแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วนำถ้วยชาที่สาวใช้ยกเข้ามาวางไว้ข้างหน้าคุณนายสามสกุลหวง คุณนายสามสกุลหวงรับมาจิบ แต่ก็ไม่พูดว่าอยากเจอจิ่นเกอเหมือนทุกครั้ง นางดูไม่เหมือนยามปกติ
สืออีเหนียงแอบแปลกใจ
จากนั้นก็เห็นคุณนายสามสกุลหวงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านโหวอยู่ที่จวนหรือไม่”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง