เขา เขา…. ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้
สีหน้าของผู้ว่าการเฉินเปลี่ยนไปในพริบตา เขารู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างกะทันหัน
เด็กรับใช้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นนาย มันเปลี่ยนจากสีหน้าอันเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นสีหน้าแห่งความเหลือเชื่ออันรุนแรงอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ นายท่านเฉินก็คว้าแขนเสื้อของเด็กรับใช้คนนั้นไว้ แล้วถามว่า ”ตอนนี้คนที่เขียนจดหมายฉบับนี้อยู่ที่ไหน!”
“ข้าน้อย ข้าน้อยไม่มั่นใจขอรับ” เด็กรับใช้ไม่เข้าใจว่าทำไมนายท่านที่ปกติจะสุขุมเยือกเย็นถึงได้ดูกระวนกระวายขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาพูดตะกุตะกักว่า ”แต่ แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายอำเภอจากเมืองฟู่ผิงขอรับ ตอนนี้เขาน่าจะกลับไปที่เมืองฟู่ผิงแล้ว”
ผู้ว่าการเฉินยิ้มอย่างขมขื่น แล้วส่ายหน้า ”เขาจะเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวไปได้อย่างไร ในเมื่อที่จริงแล้วเขาเป็น…” ขณะที่พูดเช่นนั้นออกมา ผู้ว่าการเฉินก็ชะงักไปในทันใด เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า ”เฮ้อ! ทำไมข้าถึงไม่ได้รับจดหมายฉบับนี้ให้เร็วกว่านี้นะ”
“เขาไม่ใช่ที่ปรึกษาส่วนตัวหรือขอรับ เช่นนั้นเขาเป็นใครกัน” เสี่ยวเฟิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
ผู้ว่าการเฉินทนคนที่ทำงานให้บุตรชายแทบไม่ไหว คนพวกนี้มีแต่ยิ่งโง่ขึ้นทุกวัน!
แต่ช้าก่อน!
“นายน้อยอยู่ที่ไหน” ผู้ว่าการเฉินถาม
เสี่ยวเฟิงเกาศีรษะแล้วบอกว่า ”เขาน่าจะไปที่เมืองฟู่ผิงพร้อมกับที่ปรึกษาส่วนตัวคนนั้นขอรับ”
ผู้ว่าการเฉินยิ้มร่าอย่างเบิกบานทันทีที่ได้ยินดังนั้น จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างว่า ”ในที่สุดเหลียงจื่อก็รู้จักทำอะไรที่ถูกต้องเสียที! รีบไปเตรียมรถม้าให้ข้าเร็ว ข้าจะไปที่เมืองฟู่ผิงเดี๋ยวนี้!
“แต่นายท่านขอรับ ตอนนี้ข้างนอกก็มืดแล้ว การเดินทางตอนกลางคืนย่อมไม่ปลอดภัยนะขอรับ โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้”
เสี่ยวเฟิงคิดกับตัวเองว่า จะมีอะไรที่สำคัญกว่าความปลอดภัยของนายท่านด้วยหรือ
ผู้ว่าการเฉินยืนกรานเสียงแข็ง เขาสั่งว่า ”รีบไปได้แล้ว! ถ้าการเดินทางล่าช้าออกไปอีกละก็ ข้าจะลงโทษเจ้าซะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นเสี่ยวเฟิงก็ยิ่งอยากรู้เรื่องของคนทั้งสองที่มาจากเมืองฟู่ผิงมากขึ้น
หากจะว่ากันตามหลักการแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงแค่นายอำเภอกับที่ปรึกษาส่วนตัวเล็กๆ ที่ไม่น่าจะมีความสำคัญอันใด
แต่พวกเขาทำให้นายน้อยและนายท่านทำตัวแปลกไปจากปกติถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน
นอกเสียจาก!
ทันใดนั้นเสี่ยวเฟิงก็เหมือนจะเพิ่งตระหนักได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที
นอกเสียจากว่าทั้งสองจะเป็นผู้มีอำนาจ!
พวกเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงต้องปิดบังฐานะที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้เป็นความลับถึงเพียงนั้นด้วย
คนเดียวที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าผู้เป็นนายของพวกเขาก็มีแค่เพียงคนที่มาจากเมืองหลวง… เสี่ยวเฟิงไม่กล้าคิดต่อเพราะรู้สึกกลัวจนตัวสั่นขึ้นมา
ที่ด้านนอกนั้น ฟ้าเริ่มมืดแล้ว
บรรยากาศในโรงเตี๊ยมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งเริ่มตีตัวออกห่างจากเฮ่อเหลียนเวยเวย
ที่ปรึกษาจางดูอวดดีอย่างมากเพราะเชื่อว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า
ส่วนนายท่านเยี่ยนก็ถึงกับประกาศอย่างไม่กลัวเกรงว่าใครก็ตามที่กล้าจับผู้หญิงของเขาจะต้องถูกเขาสั่งสอนอย่างไม่ปรานี
แต่มันก็เป็นเพียงเสียงนกเสียงกาเท่านั้น ตราบใดที่ต้าสงยังคงทำหน้าที่คุ้มกันบ้านของตระกูลหลิวอยู่ ย่อมไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้แม้แต่คนเดียว
แต่ปัญหานั้นยังไม่ทันจะคลี่คลาย ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นอีก
งบประมาณมาถึงแล้ว แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยังไม่ยอมลงนามเสียที จึงเป็นเรื่องปกติที่เลี่ยวจือฝู่จะอารมณ์เสีย เจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้ทำให้เขาปวดหัวเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะกำจัดอีกฝ่ายโดยตรงได้ เพราะการฆ่าขุนนางจากราชสำนัก อาจทำให้ต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตรได้ แต่เขาก็รู้สึกร้อนใจเพราะแผนการฟอกเงินครั้งใหญ่ถูกอีกฝ่ายขัดขวางเอาไว้ ถ้าไม่ได้สั่งสอนบทเรียนให้มันหลาบจำ เขาคงไม่มีวันกลืนก้อนแห่งความโกรธนี้กลับลงคอได้อย่างแน่นอน!
ที่ปรึกษาจางสังเกตเห็นสีหน้าของเขา เขาจึงกระซิบว่า ”เลี่ยวจือฝู่อย่ากังวลไปเลยขอรับ วันพรุ่งนี้จะมีคนจากเมืองหลวงประจำมณฑลมาที่นี่ ทันทีที่พวกเขามาถึง ข้าจะเตรียมละครฉากใหญ่เอาไว้เพื่อให้เจ้าคนแซ่เว่ยนั่นถูกลงโทษอย่างหนักเองขอรับ! เขาก็เป็นแค่คนที่เพิ่งมาใหม่ ไม่ได้รู้จักเมืองฟู่ผิงและคนที่นี่เลยด้วยซ้ำ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะได้รู้ขอรับว่าสิ่งที่มันต้องจ่ายเพราะบังอาจมาเสียมารยาทต่อพวกเราคืออะไร!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเลี่ยวจือฝู่ทันทีที่เขาได้ยินแผนการร้ายของที่ปรึกษาจาง ในตอนที่เขาชนแก้วกัน เขาก็แนะนำนายท่านเยี่ยนและเขาอีกครั้งว่าให้รีบนำเสบียงที่อยู่ในยุ้งฉางไปขายให้เร็วที่สุด
เลี่ยวจือฝู่วางหมากเอาไว้แล้ว และไม่คิดที่จะกลับมาที่เมืองฟู่ผิงอีกในอนาคต ทันทีที่เขาได้เลื่อนขั้น เขาจะยักยอกเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะทิ้งเสบียงอันมีค่าพวกนั้นเอาไว้ให้จือฝู่คนถัดไปมาขโมยไปได้ สู้เอาพวกมันไปเมืองหลวงให้หมด แล้วใช้มันเป็นฐานในการยกระดับฐานะของตัวเองยังดีเสียกว่า…
เฮ่อเหลียนเวยเวยต่างจากคนอื่นๆ เพราะนางมีเพียงความคิดเดียวอยู่ในใจเท่านั้น และนั่นก็คือการเตรียมรับมือกับภัยแล้ง
นางพาองครักษ์เงาสองสามนายไปตรวจสอบภูมิประเทศและทำความเข้าใจกับพื้นที่รอบๆ เมืองฟู่ผิง จากนั้นนางก็เดินสำรวจริมแม่น้ำต่อ
เฉินเหลียงไม่เข้าใจการกระทำของนาง จึงถามออกมาว่า ”ลูกพี่ ที่นี่มีแม่น้ำอยู่ก็จริง แต่มันก็อยู่ห่างจากพื้นที่เพาะปลูกมากนะขอรับ ถ้าพวกเราฝืนบังคับให้ชาวบ้านมาตักน้ำที่นี่ พวกเขาคงได้ตายเพราะความเหนื่อยก่อนเป็นแน่ ถ้าพวกเขาแข็งแรงอย่างข้าหรือไม่ก็ต้าสงก็ว่าไปอย่าง พวกเราแบกถังน้ำได้ตั้งสี่ถังนะขอรับ!”
“ข้าแบกได้สิบถังต่างหาก!” ต้าสงหัวเราะแล้วกล่าวว่า ”ข้าแข็งแรงกว่าเจ้า เพราะฉะนั้นข้าถึงถือได้มากกว่า”
ทันใดนั้นเด็กชายหัวโล้นก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขา เขายิ้มและประกาศออกมาอย่างภาคภูมิใจแม้จะมีซาลาเปาอยู่เต็มปากว่า ”แค่สิบถังเองหรือ”
“สิบถังยังน้อยไปรึ” เฉินเหลียงสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาหันหน้ากลับไปมองและถึงกับประหลาดใจกับภาพที่เห็น
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
เด็กชายหัวโล้นมองสีหน้าตกตะลึงของเขาอย่างถือตัว แล้วหันหน้าไปมองพี่สามของตัวเอง ก่อนจะเริ่มบ่นเสียยาวเหยียดว่า ”พี่สาม ขันทีซุนบ่นข้าไม่หยุดเลยขอรับ เขาไม่ยอมให้ข้าออกมาหาท่าน เขาไม่ยอมให้ข้ากินกระเรียนที่เลี้ยงอยู่ในอุทยานด้วย ข้าทนไม่ไหวก็เลยแอบหนีออกมาขอรับ”
เฉินเหลียง : …เดี๋ยวก่อน คนเรากินกระเรียนกันด้วยหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมีปฏิกิริยาต่างไปจากเขา เขายังคงสุขุมเยือกเย็นยิ่งนัก เขามองร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กชายหัวโล้น แล้วถามอย่างใจเย็นว่า ”มีใครแจ้งท่านปู่หรือยังว่านายน้อยเจ็ดออกมาข้างนอก”
“รายงานนายท่าน เงาทมิฬหมายเลขสิบเอ็ดนำเรื่องนี้ไปแจ้งให้นายท่านอาวุโสทราบแล้วขอรับ นายท่านอาวุโสโมโหมากทีเดียว แต่เขาก็สั่งให้พวกเรามาแจ้งท่านว่าฝากดูแลนายน้อยด้วยขอรับ” เงาทมิฬอยู่ในชุดสีดำสนิทซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้เรียกเขา เขาก็คงไม่เผยตัวออกมา และแม้ว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาแล้ว เขาก็ยังจงใจเรียกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่างออกไปจากเดิม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรับคำอย่างไม่ใส่ใจ แล้วบอกว่า ”ไปได้แล้ว”
เงาทมิฬคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยความเคารพ แล้วหายตัวไปต่อหน้าทุกคนในชั่วพริบตา
“มานี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างเย็นชา แล้วกระดิกนิ้วเรียวเรียกเด็กชาย
เด็กชายหัวโล้นกัดซาลาเปาเข้าปากคำโต แล้วจึงยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่จับมาตลอดการเดินทางออกจากตัว จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ท่าทางการยืนของเขายังคงดูทรงอำนาจและสูงศักดิ์ราวกับเสือ เขาร้องออกมาว่า ”พี่สาม!”
“อยู่นี่ แล้วช่วยกำจัดก้อนหินที่ขวางทางพวกข้าซะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหว่านล้อมเขาว่า ”ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเล่นกับของพวกนี้ หลังจากเจ้าเล่นเสร็จ ข้าจะให้เจ้ากินเนื้อ”
กำจัดหินที่ขวางทางหรือ
ต้าสงกับเฉินเหลียงสบตากัน จากนั้นจึงหันไปมองเนินหินขนาดเล็กที่ขวางทางพวกเขาอยู่ เป็นไปไม่ได้! มันเป็นสิ่งที่มนุษย์จะสามารถทำได้ด้วยหรือ
“พี่สาม นอกจากเนื้อแล้ว ท่านมีกุ้งตัวโตๆ ด้วยหรือเปล่าขอรับ ช่วงนี้ข้าอยากกินอาหารทะเลมากเลย คราวก่อนข้าก็ยังไม่ได้กินปลาทองตัวนั้นเลยด้วยซ้ำ” เด็กชายหัวโล้นบ่นพร้อมกับยกกำปั้นเล็กๆ บอบบางของตัวเองขึ้น เขาปล่อยหมัดตรงเข้าใส่เนินหินนั้นอย่างรวดเร็ว!
ตู้ม!
เสียงดังสนั่นก้องกังวานไปทั่วอากาศ
มันเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ก่อนที่เฉินเหลียงและต้าสงจะทันได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บริเวณกึ่งกลางของหินก้อนนั้นก็ปรากฏหลุมขึ้นมาเสียแล้ว
ต้าสงถลึงตามองเฉินเหลียง บนศีรษะของเขาปกคลุมไปด้วยฝุ่นหิน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสนและตกตะลึง…