“นี่มันทำลายความมั่นใจกันเกินไปแล้ว! ข้าไม่สามารถสู้เด็กตัวเล็กๆ ได้อย่างนั้นรึ!”
เฉินเหลียงปลอบใจเขา ”เด็กคนนี้เหนือมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร เจ้าแค่ต้องทำตัวให้ชินเท่านั้นเอง” สมัยอยู่ที่สำนัก เขาเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเด็กคนนี้มามากมาย เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด เจ้าหนูที่สามารถอัดบรรดาอาจารย์จนน่วมได้ย่อมไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถหาเรื่องได้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองภูมิประเทศของภูเขารอบๆ นั้นพร้อมกับคิดถึงปัญหาบริเวณที่ลาดตรงเชิงเขาไปด้วย เมื่อได้ยินเสียงนั้น นางจึงเดินเข้าไปหาเขา เจ้าเจ็ดคาบซาลาเปาไว้ในปากพลางกำหมัดเข้าหากันแล้วต่อยที่ลาดตรงเชิงเขานั้นดังโครม เพียงแค่ห้าหมัดเขาก็สามารถเปิดทางให้พวกนางได้ ใบหน้าเล็กๆ นั้นดูเยือกเย็นอย่างที่สุด
ไม่จำเป็นต้องบอกเฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ว่านี่เป็นความคิดของใคร นางชำเลืองมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้วถามยิ้มๆ ว่า ”ท่านเป็นคนเรียกเจ้าเจ็ดมาหรือ”
“เขาอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้หรอก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาทำความสะอาดมือของเด็กชายตัวน้อย แล้วเอ่ยว่า ”ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรเขาก็ต้องออกมาอยู่ดี”
หมายความว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่เขาวางไว้… เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมออกมาเบาๆ ถ้าพวกเลี่ยวจือฝู่รู้ว่าที่ปรึกษาส่วนตัวที่พวกเขาทำเป็นไม่เห็นหัวมาตลอดนั้นแท้จริงแล้วทั้งชั่วร้ายและตีสองหน้าเก่งถึงเพียงนี้ละก็ พวกเขาจะถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเลยหรือไม่
เพียงแต่ว่า
“ตอนนี้ทางก็โล่งแล้ว พวกเราน่าจะเริ่มขุดดินและเริ่มวางท่อส่งน้ำกันได้เสียที” เมื่อปัญหานั้นคลี่คลายลงได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงย่อมอารมณ์ดีขึ้นเป็นธรรมดา
พ่อเฒ่าหลิวยืนอยู่ข้างนอก เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนกับเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ใต้เท้าเว่ย ตำแหน่งของแม่น้ำอยู่ต่ำกว่าไร่นา การจะวางท่อส่งน้ำย่อมไม่สามารถเป็นไปได้ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าน้ำจะไหลจากที่สูงลงมาสู่ที่ต่ำ มันจะสามารถไหลขึ้นไปบนเนินได้อย่างไรกันขอรับ” หากปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการขุดดินฝังท่อเพื่อส่งน้ำละก็ เมืองฟู่ผิงคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากภัยแล้งมาถึงสามปีติดต่อกัน ต่อให้พวกขุนนางจะคิดไม่ถึงวิธีการนี้ แต่พวกเขาทำเรือกสวนไร่นาอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี และรู้จักภูมิประเทศของเมืองฟู่ผิงเป็นอย่างดี นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อเฒ่าหลิวกล้าพูดเช่นนั้นออกมา
“พ่อเฒ่าหลิวอย่ากังวลไป ข้าจะจัดการปัญหาทั้งหมดนี้เอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพราะต่อให้นางอธิบายให้พวกเขาฟัง ก็คงไม่มีใครในที่นั้นที่จะเข้าใจแนวคิดของระบบสูบน้ำโดยใช้แรงดันอากาศอยู่ดี ดังนั้นนางจึงเอ่ยถึงมันเพียงแค่คร่าวๆ เท่านั้น
ถ้าคนอื่นมาบอกเขาเช่นนั้น พ่อเฒ่าหลิวคงคิดว่าความคิดนั้นเป็นเพียงแค่การวาดวิมานในอากาศอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อคำพูดนี้ออกมาจากปากของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาจึงเชื่อมั่นและวางใจว่ามันน่าจะมีหนทางที่จะเป็นจริงได้
แต่…
“ใต้เท้าเว่ย ท่านต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะขอรับ วันพรุ่งนี้จะมีคนจากเมืองหลวงประจำมณฑลมาที่นี่เพื่อสร้างถนน ตอนที่ข้าพรวนดินอยู่ ข้าบังเอิญเห็นที่ปรึกษาจางมาที่ไร่นาเพื่อสาธยายให้บรรดาชาวบ้านเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้จากการสร้างถนนขอรับ” พ่อเฒ่าหลิวเว้นวรรคไปเล็กน้อย แล้วว่าต่อ ”คนหนุ่มหลายคนเชื่อในคำพูดของเขา พวกเขาคิดที่จะรวมกลุ่มกันร้องเรียนและถามถึงสาเหตุที่ใต้เท้าเว่ยไม่อนุญาตให้พวกเขาสร้างถนนขอรับ พวกเขาสงสัยว่าที่ท่านไม่ยอมใช้เงินงบประมาณนั้นเป็นเพราะท่านต้องการที่จะเก็บเงินนั้นเอาไว้เอง”
ดวงตาของเฉินเหลียงเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินดังนั้น ”ลูกพี่ของพวกเราอยากได้เงินจำนวนน้อยนิดพวกนั้นหรือ เจ้าพวกนั้นคิดอะไรกันอยู่ ที่ลูกพี่ไม่อยากให้พวกเขาสร้างถนนก็เพราะเดิมทีเมืองฟู่ผิงก็มีถนนอยู่แล้วตั้งสองเส้นต่างหาก การสร้างถนนใหม่อีกเส้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย อีกอย่างพวกเขาอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้ตัวเองก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือการแก้ไขปัญหาภัยแล้งมิใช่หรือ ทำไมพวกเขาถึงสงสัยในตัวลูกพี่หลังจากได้ฟังคำพูดของคนอื่นเพียงแค่ไม่กี่คำกันล่ะ”
พ่อเฒ่าหลิวเองก็รู้สึกขายหน้าเช่นกัน เขาได้เห็นทุกอย่างที่ใต้เท้าเว่ยทำมาตลอดสองวันด้วยตาตัวเอง ใต้เท้าเว่ยไม่สมควรได้รับคำพูดใส่ร้ายเช่นนั้น
ที่ปรึกษาจางช่างเป็นคนหน้าไม่อายเสียจริง บรรดาคนที่ไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมถูกเขาหลอกเข้าเต็มเปา และคิดว่าการสร้างถนนจะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ของเมืองฟู่ผิงได้
แม้พ่อเฒ่าหลิวจะเป็นเพียงชาวนา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนโง่ เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านลองไปหาใครสักคนที่มีอำนาจมากกว่าท่านให้มาช่วยดีไหมขอรับ ท่านอาจจะไร้หนทางแก้ตัวเอาได้หากรอจนถึงวันพรุ่งนี้”
“ไม่มีอะไรที่ต้องแก้ตัว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มแล้วบอกเขาว่า ”คนเรายืนตัวตรงย่อมไม่กลัวเงาเฉเฉียง ”
พ่อเฒ่าหลิวส่ายหน้าแล้วบอกว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่าทุกวันนี้สังคมเราเป็นอย่างไร บางครั้งต่อให้ท่านทำถูก แต่คนเราก็สามารถกลับขาวให้เป็นดำได้”
“พ่อเฒ่าหลิวพูดถูก” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเสริมขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ใบหน้าของเขายิ่งดูสูงส่งยิ่งกว่า เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับมองนางด้วยดวงตาลึกซึ้งเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน ”ท่านสนุกมาพอแล้ว จากนี้ปล่อยให้ที่ปรึกษาส่วนตัวอย่างข้าจัดการกับปัญหาของบรรดาขุนนางในเมืองฟู่ผิงแห่งนี้แทนก็แล้วกัน ท่านสนใจแค่เรื่องการส่งน้ำมาที่ไร่นาเพียงเรื่องเดียวก็พอ”
เงาทมิฬที่ยืนอยู่ในความมืดมองตากันทันทีที่ได้ยินดังนั้น พวกเขาคิดในใจว่า สุดท้ายฝ่าบาทก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจที่จะลงมือด้วยตัวเอง เฮ้อ จริงๆ เลย คนพวกนั้นไม่น่ามากีดกันพระชายาเลย… พวกเขาต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและรู้ว่าใครบางคนคงได้ถึงคราวซวยแน่ๆ จากนั้นนางจึงมองไปที่เด็กชายหัวโล้นที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยมีสีหน้าดูเอาจริงเอาจังเป็นอย่างยิ่งตอนที่เอ่ยว่า ”พี่สาม ถ้าท่านจะไปอัดใคร ท่านต้องพาข้าไปด้วยนะขอรับ! หลังจากนั้นท่านค่อยเลี้ยงเนื้อข้าอีกที!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
“ข้ายังไม่ได้ลงโทษที่เจ้าแอบหนีออกจากบ้านมาเลย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกดสายตาลงมองเด็กชายจากมุมสูง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ”กินข้าวเย็นเสร็จแล้วค่อยคุยกัน”
เจ้าเจ็ดไม่มีความคิดที่จะคุยกับพี่สามของตัวเองแม้แต่นิดเดียว
เพราะบทสนทนาของพวกเขามักจบลงด้วยการเต้นระบำเปลือยบั้นท้ายของเขาทั้งสิ้น!
เขาจะยอมให้ตัวเองอับอายขายหน้าตอนอยู่นอกวังไม่ได้เด็ดขาด!
เด็กชายหัวโล้นกุมกางเกงขายาวของตัวเองแน่นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเดินเตาะแตะเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวยเพื่อขอร้องให้พี่สะใภ้สามช่วยปกป้องเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยโน้มตัวลงแล้วหยิกแก้มของเด็กชายตัวน้อย ”เย็นนี้เจ้าอยากกินอะไรหรือ”
“ก่อนมาที่นี่ข้าศึกษามาแล้วขอรับ ได้ยินมาว่าพุทราจากเมืองฟู่ผิงรสชาติเยี่ยมยอดที่สุด!” เด็กชายหัวโล้นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
องครักษ์เงาทุกนายที่ติดตามเขามาต่างพร้อมใจกันพยักหน้า พวกเขารับประกันได้เลยว่าสิ่งที่นายน้อยของเขาสนใจที่สุดก็คืออาหารประจำท้องถิ่นนี่เอง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะลั่น แล้วบอกเขาว่า ”เจ้าจะกินพุทราแทนอาหารไม่ได้ เรากินเนื้อปรุงรสกันดีกว่า มันเป็นของโปรดเจ้ามิใช่หรือ”
“ขอรับ” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยไม่ใช่คนเลือกกิน ตราบใดที่มีอะไรให้กิน เขาก็มีความสุขทั้งนั้น เขาเดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางขึงขังน่าเอ็นดู
เฉินเหลียงกับต้าสงเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ พวกเขาไม่ได้ติดตามทั้งสองไป แต่หนึ่งในนั้นกลับตรงไปที่ตระกูลหลิวเพื่อคุ้มครองหลิวอินต่อ ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ที่ไร่นาเพื่อรอจับตาดูสถานการณ์ที่นี่
ในไม่ช้ายามค่ำคืนก็มาเยือน หนึ่งเด็กสองผู้ใหญ่ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารหลังจากมื้อเย็น
เด็กชายตัวน้อยมักจะทำตัวสำรวมอยู่เสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาม เขากระตุกแขนเสื้อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและพยายามก้าวเท้าเล็กๆ ของตัวเองเดินตามเขาอย่างสุดชีวิต
เฮ่อเหลียนเวยเวยใจละลายกับความน่ารักของเขา นางหันหน้ากลับไปหาเขาแล้วถามว่า ”เจ้าเหนื่อยหรือไม่”
“ไม่เหนื่อยขอรับ” เจ้าเจ็ดเงยหน้าขึ้นแล้วชำเลืองมองไปทางพี่สาม ก่อนจะกลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ถ้าพี่สะใภ้สามเหนื่อย ท่านก็บอกให้พี่สามอุ้มสิขอรับ ที่นี่ไม่มีคนแปลกหน้าเสียหน่อย พวกท่านจะกอดกันตอนไหนก็ได้”
“ข้าพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่…” ก่อนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะทันได้พูดจบ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดแล้วอุ้มนางขึ้นจากพื้น
กลิ่นกายแห่งความสูงศักดิ์อันเป็นเอกลักษณ์พัดเข้ามากระทบกับใบหน้าของนาง สิ่งเดียวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเห็นจากมุมที่นางอยู่คือริมฝีปากบางของเขาที่ค่อยๆ กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม