เฉินตันจูย่อมไม่ได้สวมชุดใหม่เพื่อพบกับฉู่อวี๋หยง หากนางรู้ว่าจะพบกับฉู่อวี๋หยง นางคงจะหลบอยู่ในเรือนไม่ออกมา
แต่ว่าวาจาอ่อนหวานที่พูดจนเคยปากแบบนี้…เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ไม่เคยถอดหน้ากาก ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ
นางพูดเช่นนี้ เขาได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างดีใจ
แต่วันนี้ฉู่อวี๋หยงกลับไม่ฟังแล้ว
เฉินตันจูพูดเก้อ “บังเอิญพบเมื่อสวมชุดใหม่ก็เป็นวาสนาแบบหนึ่ง” พูดพลางมองไปทางฉู่อวี๋หยง
ฉู่อวี๋หยงไม่พูด สีหน้าของเขาเรียบเฉย
ตอนที่เขาไม่ยิ้ม ทั้งที่เป็นใบหน้าของคนหนุ่ม แต่ก็มีความคล้ายคลึงกับแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่สวมหน้ากากอยู่ เฉินตันจูเบ้ปาก ในเมื่อไม่อยากได้ยินคำไพเราะ นางก็จะไม่พูดแล้ว
นางยืดไหล่ตรง “องค์รัชทายาทเสด็จมาได้อย่างไร หากพระองค์ทรงมีงานมาก หม่อมฉันไม่รบกวนเสียดีกว่า”
ฉู่อวี๋หยงมองนางด้วยสีหน้าเศร้าโศก “เจ้าไม่ยอมแม้แต่จะพูดให้ข้าดีใจแล้วหรือ”
ดวงตาของเขาเศร้าโศก คนก็เปลี่ยนท่าทีราวกับเป็นนายน้อยที่อ่อนแอ เฉินตันจูผ่อนเสียงให้อ่อนลงอย่างอดไม่ได้ “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ หากหม่อมฉันพูดสิ่งใดไม่ดี ทำให้พระองค์ทรงโกรธขึ้นมาจะทำอย่างไร”
“เจ้ามีเรื่องใดที่ไม่บังอาจบ้าง” ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยเสียงอู้อี้ “เจ้าไม่สนใจว่าข้าจะโกรธหรือไม่”
“มิได้เพคะ!” เฉินตันจูโต้เถียงเสียงดัง เขากำลังใส่ร้ายนาง “หม่อมฉันกลัวทำพระองค์ทรงโกรธจึงประจบพระองค์ แต่ก่อนเป็นเช่นนี้ เวลานี้ก็เช่นเดียวกัน หม่อมฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงเอ่ยว่าหม่อมฉันไม่กล่าวให้พระองค์ดีใจ หม่อมฉันย่อมไม่กล้าเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงพูด “แต่ก่อนเจ้าประจบข้าเพราะต้องการอาศัยข้า เวลานี้ไม่ต้องการข้าแล้ว เจ้าก็ห่างเหินกับข้า”
“ฟ้าดินเป็นพยาน” เฉินตันจูพูด “หม่อมฉันจะบังอาจห่างเหินต่อพระองค์ได้อย่างไร!”
ฉู่อวี๋หยงมองนาง “เจ้าไม่กล้า หากไม่ใช่ไม่อยาก ใช่หรือไม่”
เฉินตันจูเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจ “องค์รัชทายาท พระองค์เสด็จมาเพื่อระบายอารมณ์ต่อหม่อมฉันหรือ หม่อมฉันพูดสิ่งใดผิดกัน อีกทั้งหม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะห่างเหินต่อพระองค์ พระองค์ทรงดีกับหม่อมฉันเพียงนี้ หม่อมฉันเฉินตันจูมีวันนี้ได้ ย่อมเป็นความชอบของพระองค์”
ฉู่อวี๋หยงพูด “แต่เจ้ายังคงไม่ชอบข้า”
“หม่อมฉันไม่ได้ไม่ชอบพระองค์” เฉินตันจูพูดออกมา ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้งอย่างจริงจัง “หม่อมฉันไม่ได้ไม่ชอบพระองค์จริงๆ เพคะ”
ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือว่าฉู่อวี๋หยง พวกเขาก็เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ ภูผาสูง ดวงดาว ทั้งงดงามทั้งน่าหวั่นไหว หลังจากที่นางกลับมาเกิดใหม่ เนื่องจากมีเขา นางจึงเดินทางได้อย่างราบรื่น นางจะไม่ชอบเขาได้อย่างไร
ฉู่อวี๋หยงมองสีหน้าจริงจังของหญิงสาว ใบหน้าของเขาผ่อนคลายลง “แต่เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้า”
เฉินตันจูก้มหน้าครุ่นคิด “หม่อมฉันไม่ได้ไม่อยากแต่งงานกับพระองค์ หม่อมฉันแค่ไม่ได้คิดเรื่องออกเรือน…”
“โกหกอีกแล้ว!” ฉู่อวี๋หยงพูดขัดนาง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงอยากแต่งงานกับจางเหยา อีกทั้งยังอยากติดตามฉู่ซิวหยงไป”
เฉินตันจูพูดแก้เก้อ “ไม่ใช่เช่นนั้น หม่อมฉันเพียงแค่ถาม…แต่พวกเขาล้วนไม่ชอบหม่อมฉัน หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกว่าคนอย่างหม่อมฉัน แม้แต่จางเหยาและฉู่ซิวหยงยังไม่อยากแต่งงานกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจะคู่ควรกับพระองค์ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นหญิงสาวก้มหน้าอธิบายอย่างจริงจัง ฉู่อวี๋หยงก็รู้สึกหมดหนทาง “ตันจู เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรดี...”
เสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาลอยเข้ามาในหู ทำให้หัวใจของเฉินตันจูสั่นสะท้านเล็กน้อย นางเงยหน้ามองเห็นฉู่อวี๋หยงหลุบตาต่ำลงมา ขนตาเรียวยาวสั่นคลอนเบาๆ ภายใต้แสงอาทิตย์
“ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงอยากออกจากเมืองหลวง ข้าก็รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมกลับมา ข้ารู้ว่าเหตุใดเจ้าอยากแต่งงานกับจางเหยา หรืออยากไปกับซิวหยง เจ้ากำลังหลีกเลี่ยงข้า”
“ข้าไม่อยากเสียเจ้าไป แต่ก็ไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าครุ่นคิดทุกคืนวันอยู่ในเมืองหลวง ในที่สุดก็ยังคงตัดสินใจมาถามเจ้าว่าข้าทำไม่ดีเรื่องใด ทำให้เจ้าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ หากยังมีโอกาส ข้าจะปรับปรุง”
เฉินตันจูฟังสิ่งที่เขาพูด หัวใจของนางก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างอดไม่ได้ นางเงียบไปชั่วขณะ “พระองค์ทรงทำได้ดีมากเพคะ หม่อมฉันพูดเรื่องจริง พระองค์ทรงดีกับหม่อมฉันเกินไป ไม่มีเรื่องใดต้องปรับปรุง ความจริงแล้วเป็นหม่อมฉันเองที่ไม่ดี องค์รัชทายาท เนื่องจากหม่อมฉันรู้ว่าตนเองไม่ดี ดังนั้นหม่อมฉันจึงไม่เข้าใจ เหตุใดพระองค์จึงดีต่อหม่อมฉันเพียงนี้”
ดังนั้นนางจึงกลัวและไม่เชื่อใจเขา
ฉู่อวี๋หยงพูด “การดีต่อคนผู้หนึ่งยังต้องการเหตุผลด้วยหรือ” ไม่รอเฉินตันจูตอบ เขาก็พยักหน้า “การดีต่อคนผู้หนึ่งย่อมต้องการเหตุผล”
เฉินตันจูถลึงตาใส่เขา “เหตุผลเล่า”
“นับแต่ข้ารู้จักกับคุณหนูตันจูครั้งแรก…” ฉู่อวี๋หยงพูด
เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกเฉินตันจูขัดขึ้นก่อน นางกัดฟันกดเสียงต่ำ “พระองค์…พระองค์ทรงรู้จักกับหม่อมฉันครั้งแรก พระองค์ก็ ก็…”
ก็รักใคร่ชอบพอนาง ทำตัวไม่เหมาะสมแล้วหรือ ฉู่อวี๋หยงหัวเราะร่า
เขายังหัวเราะอีก!
เฉินตันจูขุ่นเคืองเพราะความอับอาย “เวลานั้นหม่อมฉันรู้สึกต่อผู้อาวุโสอย่างพระองค์…” นางเน้นเสียงบนคำว่าผู้อาวุโส “…เคารพเหมือนกับปฏิบัติต่อบิดา!”
หม่อมฉันปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนบิดา แล้วท่านเล่า ท่านเล่า!
ฉู่อวี๋หยงรีบหุบยิ้ม เขารู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเกิดกำแพงในใจหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เขาพูด “ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าฟังข้าพูด ข้าจะชื่นชอบเจ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักได้อย่างไร เวลานั้นเจ้าเป็นศัตรูของข้า อืม หรืออาจบอกได้ว่าเป็นหมากของข้าเท่านั้น”
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “ศัตรูหรือหมากจะแตกต่างกันอย่างไร พระองค์ไม่ทรงหวั่นไหวต่อความงามของหม่อมฉันหรือ”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะร่า “เจ้างดงามเท่าข้าหรือ”
มันเป็นเรื่องจริงเสียด้วย เฉินตันจูโกรธอย่างมาก
“คุณหนูตันจูย่อมงดงาม” ฉู่อวี๋หยงรีบพูดอย่างจริงจัง “แต่ข้าย่อมไม่ใช่คนที่หลงใหลในความงาม”
เขายังคงชื่นชมตัวเอง เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ คราวนี้นางไม่พูดอีก หากแต่ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ
“ข้าแค่อยากบอกว่าเริ่มแรกได้มีวาสนารู้จักกับคุณหนูตันจู จากศัตรู จากความระแวง จนถึงหมากและการหลอกใช้ จากการสานสัมพันธ์และทำความรู้จักกันทีละก้าว ข้านับวันยิ่งรู้จักคุณหนูตันจูมากขึ้น ความคิดนับวันยิ่งแตกต่างกันไป” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อ “ตันจู พวกเราผ่านเรื่องต่างๆ ด้วยกันมามากมาย ข้าไม่ปิดบังเจ้า เดิมทีข้าไม่เคยคิดว่าจะแต่งงาน แต่ในช่วงเวลาหนึ่ง ข้ารู้ใจของตัวเอง ดังนั้นจึงเปลี่ยนแปลงความคิด…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ก้มหน้ามองเฉินตันจู
“เมื่อข้ารู้ใจของตนเองแล้ว เมื่อข้าสังเกตว่าข้ารู้สึกต่อคุณหนูตันจูไม่เหมือนคนอื่นแล้ว ข้าจึงตัดสินใจไม่เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กอีกทันที ข้าต้องการใช้ลักษณะที่แท้จริงของข้ามารู้จักกับคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูครุ่นคิด พลางถาม “เพราะตอนที่หม่อมฉันไปสังหารเหยาฝู ส่วนพระองค์ทรงมาช่วยหม่อมฉันหรือ”
“แต่ก่อนเจ้าบอกข้าทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องการให้ข้าช่วยเหลือ มีเพียงครั้งนั้นที่เจ้าหลีกเลี่ยงข้า” ฉู่อวี๋หยงพูด “เมื่อข้าสังเกตขึ้นมาได้ เจ้าก็เดินทางไปหลายวันแล้ว เวลานั้นความคิดแรกของข้าคือไม่ทันการเสียแล้ว จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกควักออกไป เวลานั้นข้าถึงได้รู้ว่า คุณหนูตันจูครอบครองหัวใจของข้า ข้าไม่อาจจากเจ้าไปได้”
ใบหน้าของเฉินตันจูแดงระเรื่อ นางบีบนิ้วแต่ไม่พูดสิ่งใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อนึกบางอย่างได้ “ดังนั้นพระองค์จึงแสร้งประชวร จากนั้นแสร้งสิ้นพระชนม์ ตอนที่หม่อมฉันเร่งเดินทางมาหาพระองค์ พระองค์ก็รู้…”
“ข้าไม่เพียงรู้ว่าเจ้ามาหาข้า ข้ายังรู้ว่าเวลานั้นซิวหยงจะลอบทำร้ายข้า” ฉู่อวี๋หยงพูด “เดิมทีข้าอยากจะปล่อยให้เป็นไปตามแผนการ แต่เวลานั้นเจ้ารู้ถึงกลอุบายของซิวหยงจึงอาละวาดขึ้นมา ข้าไม่อยากให้เจ้าตำหนิตัวเองเพราะความตายของข้า ดังนั้นจึงชิงตายก่อนที่พวกเจ้าจะเข้ามา”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เฉินตันจูผงะ นางระลึกถึงเหตุการณ์ในเวลานั้น มิน่าเดิมทีบอกอยากพบนาง ต่อมาจู่ๆ กลับบอกว่าตาย ทำให้นางไม่อาจได้พบเขาเป็นครั้งสุดท้าย…
“ศพนั้น?” นางถาม
“ศพนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นนักโทษที่คล้ายคลึงกับท่านแม่ทัพที่สุด” ฉู่อวี๋หยงอธิบาย “เมื่อเจ้าเห็นศพนั้น ข้าก็จากมาเพื่อไปทูลอธิบายต่อฝ่าบาท อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ข้าตัดสินใจอย่างกะทันหัน มีเรื่องมากมายต้องจัดการ”
เฉินตันจูผงะไป นางต้องการพูดบางสิ่งแต่ก็รู้สึกไม่มีเรื่องใดต้องพูดอีก นางเหลือบมองเขา “น่าเสียดายเสียจริง พระองค์ไม่ทรงเห็นว่าหม่อมฉันร้องไห้อย่างโศกเศร้าเพียงใด”
ฉู่อวี๋หยงเอื้อมมือกุมหน้าอก “หัวใจของข้าสัมผัสได้ คุณหนูตันจู ต่อมาข้าพบเจ้าต่อหน้าสุสานของท่านแม่ทัพ หัวใจของข้าแทบสลาย”
เฉินตันจูเงียบไปชั่วขณะ “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ด้านหลังฉากกั้นในตำหนักบรรทมของฝ่าบาท ได้ยินว่าพระองค์ทรงเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หัวใจของหม่อมฉันก็สลายเช่นเดียวกัน”
เพราะความตกใจ
“พวกเราเสมอกันแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม พลันเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายลง “ตันจู ข้าไม่คิดจะให้เจ้ารู้ว่าข้าคือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ข้าไม่อยากให้เจ้ากังวลใจ ข้าเพียงแค่อยากให้เจ้ารู้ว่าฉู่อวี๋หยงชอบเจ้า มาเพื่อเจ้า เพียงแต่ไม่คิดว่าระหว่างทางจะเกิดเรื่องแบบนี้”
ปิดบังได้อย่างมีเหตุผล เฉินตันจูเหลือบมองเขา นางถามขึ้นเมื่อครุ่นคิดบางอย่างได้ “ช้าก่อน พระองค์ทรงบอกว่าเสด็จมาเพื่อหม่อมฉัน ไม่ทรงเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเพื่อหม่อมฉัน องค์รัชทายาท หม่อมฉันจำได้ว่าพระองค์ไม่ได้ทูลต่อฝ่าบาทเช่นนี้”
ฉู่อวี๋หยงผงะไปเล็กน้อย
เฉินตันจูมองเขาพลันยิ้มอย่างมีนัย “วันนั้นฝ่าบาททรงตรัสถามพระองค์ในวังว่าพระองค์ทรงทำเพื่อสิ่งใด พระองค์ทรงทูลว่าเพื่อราชบัลลังก์ ดังนั้นเมื่อหม่อมฉันถูกฝ่าบาทจับออกมา พระองค์จะทรงยอมจำนน หรือเห็นหม่อมฉันหัวขาด”
เรื่องนี้หรือ ฉู่อวี๋หยงมองนางด้วยสีหน้าเศร้าโศกอีกครั้ง “ข้าก็อยากถามเจ้า เหตุใดเวลานั้นเจ้าจึงเสียสละชีวิตเพื่อไปช่วยโจวเสวียนโดยไม่สนใจว่าข้าจะยอมจำนนหรือว่าตนเองจะหัวขาดหรือไม่”
เรื่องนี้หรือ เฉินตันจูเอื้อมมือดึงแขนเสื้อของเขาเอาไว้เบาๆ พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เรื่องผ่านไปนานแล้ว เหตุใดพวกเราจึงต้องเอ่ยถึงมัน พระองค์…เสวยแล้วหรือไม่”