ประเด็นเบี่ยงไปยังเรื่องกินข้าว ฉู่อวี๋หยงทั้งขบขันทั้งหมดหนทาง เฉินตันจูเอ๋ยเฉินตันจู
“เจ้าช่างยืดได้หดได้เสียจริง!”
เฉินตันจูยิ้ม “มันเป็นจุดเด่นหนึ่งของหม่อมฉันเพคะ”
ความจริงแล้วนางรู้ดีแก่ใจ คำถามที่พวกเขาทั้งสองต่างถามนั้นล้วนตอบได้ยาก เนื่องจากฉู่อวี๋หยงมีสองตัวตน ดังนั้นเมื่อเผชิญกับเรื่องบางอย่าง คนบางคน เขาย่อมมีวิธีการที่แตกต่างกัน นางก็เช่นเดียวกัน นางที่ยืนอยู่ตรงนี้ แม้ภายนอกจะเป็นนางในเวลานี้ แต่ใจกลับเป็นนางที่มีชีวิตอยู่มาก่อนแล้วหนึ่งชาติ ดังนั้นนางจึงมีท่าทีที่ยากจะอธิบายต่อจางเหยา ฉู่ซิวหยงและโจวเสวียน
หากจะดื้อรั้นถามเรื่องนี้ต่อ ไม่ใช่วิธีการที่ดีสำหรับพวกเขานัก
“ดังนั้นพระองค์เสวยแล้วหรือไม่เพคะ” นางถามอีกครั้ง “เวลานี้พระองค์สามารถออกจากเมืองหลวงได้ตามพระทัยหรือ จะมีปัญหาใดหรือไม่”
ใบหน้าของฉู่อวี๋หยงเปรอะเปื้อนฝุ่น ไม่ได้พบหน้ามาระยะหนึ่ง เขาดูผอมลงไม่น้อย
จะว่าไปเขาก็ไม่ง่าย ก่อนหน้านี้เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ เวลานี้ไม่เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เป็นองค์รัชทายาท เขายังคงไม่อาจทำตามใจตัวเองได้…เวลานี้ฮ่องเต้ทรงเป็นเช่นนี้ ราชสำนักเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ออกจากเมืองหลวงมา
ฉู่อวี๋หยงหลุบตา พูดด้วยเสียงอู้อี้ “มีปัญหาแล้วอย่างไร”
เฉินตันจูจับแขนเสื้อของเขาส่ายไปมา “มีปัญหา ก็ต้องให้ฉู่อวี๋หยงเสียแรงจัดการปัญหาแล้ว”
ทั้งที่นางไม่ได้เอ่ยวาจาอ่อนหวานแต่อย่างใด แต่เพียงแค่คำว่าฉู่อวี๋หยงก็ปลอบประโลมหัวใจของเขาให้สงบลงแล้ว ฉู่อวี๋หยงยื่นมือไปกุมมือเล็กที่จับแขนเสื้อเอาไว้ “อืม มีปัญหา ข้าก็จะจัดการปัญหา”
นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเขากุมมือเอาไว้ เฉินตันจูอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง “ยัง ยังมีคนดูอยู่…” นางคิดจะชักมือกลับมา
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้ใดดูอยู่ พวกเขาจากไปหมดแล้ว”
เอ๊ะ? เฉินตันจูหันหน้า ก่อนจะพบว่ารถม้าที่จอดอยู่ด้านข้างล้วนหายไปแล้ว ราชรถขององค์หญิงจินเหยา รถของนาง บรรดาองครักษ์ล้วนจากไปแล้ว…เหลือเพียงจู๋หลินและอาเถียน แต่ทั้งสองคนก็ถอยห่างออกไปไกล
“ไปเมื่อใดกัน” เฉินตันจูถลึงตาด้วยความตกใจ
นางไม่สังเกตแม้แต่น้อย อาจได้ยินเสียงเคลื่อนไหว แต่นางไม่ทันได้สนใจ จินเหยาก็ไม่ได้เรียกนาง
ฉู่อวี๋หยงบีบมือของนาง พลางพูดเสียงเบา “หัวใจของเจ้าล้วนจดจ่ออยู่ที่ข้า ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตรอบด้าน”
เฉินตันจูรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถในการพูดจาอ่อนหวานแล้ว แต่เมื่อได้ยินฉู่อวี๋หยงพูดจาอ่อนหวานแทนนาง นางก็รู้สึกยอมแพ้…
นางหัวเราะแห้งสองที ก่อนจะมองด้านข้างที่อ้างว้าง พลันพร่ำบ่น “ไปโดยไม่ร่ำลาก็ไปเถิด เหตุใดจึงเคลื่อนรถหม่อมฉันไปด้วย หม่อมฉันจะกลับอย่างไรกัน”
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะ “มีข้าอยู่ ข้าย่อมพาเจ้ากลับไป”
เฉินตันจูส่ายมือของเขาเบาๆ พยายามดึงมือกลับมา “พระองค์ยังไม่บอกหม่อมฉัน เสวยแล้วหรือไม่ หิวหรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าโดยไม่ปล่อยมือ “หิว ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ยังไม่ทันได้กินข้าว ครุ่นคิดอยู่ว่าจะกินกับเจ้า”
เฉินตันจูครุ่นคิด “พวกเรากินที่ราชนิเวศน์ หรือ…”
“กลับเรือนเถิด” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อทันที
เฉินตันจูผงะไปเล็กน้อย “ไป เรือนหม่อมฉันหรือ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ควรจะเป็นเรือนของพวกเรา เรือนของเจ้าก็เป็นเรือนของข้าไม่ใช่หรือ”
เฉินตันจูรู้สึกไม่คุ้นชิน คนหนุ่มช่างกระปรี้กระเปร่า ประเดี๋ยวโกรธต้องการคนปลอบ ประเดี๋ยวดีใจพูดหยอกล้อไปเรื่อย
นางกระแอมไอเสียงเบา “ความจริงยังไม่ใช่ พระองค์อย่าทรงลืม งานอภิเษกของเรายังไม่เป็นทางการ เวลานั้นพระองค์ทรงขออนุญาตจากฮ่องเต้ พวกเรายังไม่อภิเษกในเวลานี้ กลับซีจิงก่อน เรื่องงานอภิเษก…”
ฉู่อวี๋หยงไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้า “ใช่ ถูกต้อง ข้าเคยพูดว่าพวกเราจะกลับซีจิงก่อน คิดอีกทีแล้วค่อยอภิเษก เวลานี้เจ้าสามารถคิดต่อได้ แต่ข้าก็ควรพบคนในครอบครัวของเจ้า ถึงแม้เสด็จพ่อจะทรงมีสัจจะพระราชทานงานอภิเษก แต่ข้ายังคงต้องถามความยินยอมของคนในตระกูลเจ้า”
เฉินตันจูมองเขาพลางยิ้ม “พระองค์จะทรงพบท่านพ่อหม่อมฉันหรือ ไม่กลัวกระอักกระอ่วนหรือ”
กระอักกระอ่วนที่ก่อนหน้านี้แทนตนว่าพี่น้อง แต่เวลานี้กลับต้องแทนว่า…
ฉู่อวี๋หยงมองใบหน้าทะเล้นของหญิงสาว เขากลั้นหัวเราะเอาไว้ “ยังดี หากต้องกระอักกระอ่วน ก็ไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียว”
เฉินตันจูกระทืบเท้าพลันสะบัดแขนของเขาออก “ได้ ผู้ใดกลัวกัน กระอักกระอ่วนไปด้วยกันเลย!”
ฉู่อวี๋หยงไม่อาจกลั้นหัวเราะต่อไปได้อีก เขายื่นมือจับเฉินตันจูเอาไว้ “ข้าหิวแล้ว รีบกลับไปกินข้าวกันเถิด”
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ “พระองค์ทรงเตรียมตัวไว้เถิด ไปแล้วอาจไม่มีข้าวกิน” แต่นางไม่ได้ดึงมือกลับมาอีก
ฉู่อวี๋หยงอมยิ้มมุมปาก เขาพยุงเฉินตันจูขึ้นม้าก่อน
เฉินตันจูเห็นจู๋หลินและอาเถียนทางนั้นมองมา นางเขินอายเล็กน้อย “หม่อมฉันขึ้นม้าเองได้”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้ทุกอย่าง สามารถขี่ม้า สังหารคน ไม่ด้อยไปกว่าข้า ข้าก็แค่อยากใกล้ชิดกับเจ้าให้มากขึ้น”
เฉินตันจูหน้าแดงอีกครั้ง จากนั้นจึงอยากหัวเราะออกมา เอาเถิด เอาเถิด นางไม่เห็นจู๋หลินที่อยู่ด้านข้างอ้าปากค้างจนคางแทบจะหลุดออกมาแล้ว…
เมื่อเห็นฉู่อวี๋หยงและเฉินตันจูขี่ม้าร่วมกัน สีหน้าของจู๋หลินผงะ
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” อาเถียนก็จะขึ้นม้าด้วยความดีใจ แต่เมื่อนางเห็นจู๋หลินยืนนิ่ง จึงรีบเอ่ยเตือน “ไปสิ”
จู๋หลินมองไปยังนาง “เหตุใดท่านแม่ทัพกับคุณหนูตันจูดูแปลกประหลาด”
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างถอยออกมา ไม่อาจได้ยินเรื่องที่ฉู่อวี๋หยงกับเฉินตันจูพูดคุยกัน แต่ดูจากท่าทางของคนทั้งสอง โดยเฉพาะสีหน้า ช่าง…
“ช่างอันใด” อาเถียนถาม
จู๋หลินมองไปทางนาง “ท่านแม่ทัพเหมือนจะชอบคุณหนูตันจูจริงๆ”
อาเถียนถลึงตา “ย่อมต้องเป็นความจริง เจ้าไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพดีต่อคุณหนูเพียงใดหรือ”
ท่านแม่ทัพดีต่อคุณหนูมาก แต่มันไม่ใช่ อืม จู๋หลินครุ่นคิดอย่างติดขัด ในที่สุดเขาก็หาคำอธิบายหนึ่งได้ มันคือความหมดหนทาง
“เจ้าช่างน่าขัน คนอย่างท่านแม่ทัพจะดีต่อคนผู้หนึ่งเพราะหมดหนทางหรือ” อาเถียนทั้งโกรธทั้งขบขัน “จู๋หลิน อย่าว่าแต่คนที่สง่างามเหมือนท่านแม่ทัพ แม้แต่สาวรับใช้อย่างข้า หากข้าไม่อยากดีต่อผู้อื่น ข้าย่อมไม่ทำ ผู้ใดก็อย่าบังคับข้า!”
พูดพลันถีบขาของจู๋หลินด้วยความขุ่นเคือง
“จู๋หลิน ข้าดีกับเจ้าเพียงนี้ ในสายตาเจ้าคือหมดหนทางหรือ”
“นำของที่ข้าให้เจ้าคืนข้ามาให้หมด!”
นางยื่นมือไปดึงผ้าคาดเอวของจู๋หลิน ลายปักด้านบนมาจากการที่นางอดหลับอดนอนมาหลายวัน
จู๋หลินรีบจับผ้าที่คาดเอวเอาไว้ เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันคนละเรื่อง”
“ไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหรือสาวใช้ การดีต่อผู้อื่นก็มีเพียงเรื่องเดียว” อาเถียนตะโกน “นั่นก็คือชื่นชอบจากใจจริง!”
พูดพลันขึ้นขี่ม้าตัวน้อยของตนเองด้วยความโกรธ ไล่ตามเฉินตันจูและฉู่อวี๋หยงที่จากไปแล้ว
จู๋หลินลืมที่จะขี่ม้า เขาวิ่งตามอาเถียนไป ขาของเขายามนี้ เมื่อวิ่งขึ้นมาจึงไม่ช้ากว่าม้าตัวน้อย ม้าของเขาก็ไม่รีบ มันเดินตามอยู่ด้านหลังเจ้าของอย่างสบายอารมณ์
บรรดาองครักษ์ที่ฉู่อวี๋หยงนำมาด้วยส่วนใหญ่ล้วนรู้จักจู๋หลิน เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์จึงต่างหัวเราะขึ้นมา อีกทั้งยังมีบางคนผิวปาก
เฉินตันจูได้ยินจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง “พวกเขาหัวเราะเรื่องใดกัน”
ฉู่อวี๋หยงพูด “อาจดีใจกับพวกเรา”
เฉินตันจูทั้งโกรธทั้งขบขัน นางยกมือตีหน้าอกของเขาหนึ่งที “พระองค์ทรงพอได้แล้วเพคะ”
มุมปากของฉู่อวี๋หยงยกยิ้ม
“ตันจู” เขาเรียกเสียงเบา พลันหุบยิ้มลง สีหน้าของเขาจริงจัง “ถึงแม้งานอภิเษกของพวกเราเป็นแผนการของข้า อีกทั้งเจ้าจากมาแล้ว ข้าเป็นคนที่ไล่ตามมาเอง แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะเชื่อ ถึงแม้เจ้าจะปฏิเสธข้า ข้าก็ไม่บังคับเจ้า”
เฉินตันจูตอบรับ
“ตันจู” ฉู่อวี๋หยงไม่พอใจกับคำตอบนี้ เขาพูดต่อ “ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นเฉินตันจูที่ไร้ความเกรงกลัวตลอดไป เจ้าสามารถบังคับขู่เข็ญ กล้าหัวเราะก่นด่า กล้าเปิดเผยเสแสร้ง ข้าชอบเจ้า แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบากตัวเองเพื่อข้า คุณหนูตันจูจะเป็นคุณหนูตันจูของตัวเองตลอดไป”
เฉินตันจูที่นั่งอยู่บนหลังม้า ฟังเสียงทุ้มต่ำที่ดังอยู่ข้างหู หัวใจของนางก็อ่อนระทวยตามการสั่นสะเทือนของม้า
“ฉู่อวี๋หยง” นางพูดเสียงเบา “ท่านวางใจ หม่อมฉันไม่มีทางลำบากตัวเอง”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ นางก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก หากแต่พิงอยู่ในอ้อมกอดของฉู่อวี๋หยง
ก่อนหน้านี้นางนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า ห่างกับฉู่อวี๋หยงราวกับมีภูเขาหรือทะเลคั่นกลาง เวลานี้นางพิงลงไป แนบอยู่ด้านหน้าตัวของเขา ห่างกันเพียงเสื้อผ้า นางสามารถสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อแน่นของเขา อีกทั้งเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของนาง
ฉู่อวี๋หยงไม่พูดสิ่งใดอีก สองมือรั้งหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมกอด เวลานี้ ถึงแม้ม้าตัวน้อยไม่ได้รับการควบคุม มุ่งหน้าสู่ทะเลเพลิงเขาก็ไม่สนใจแล้ว
ขอบคุณที่อัพให้อ่านอย่างต่อเนื่อง