แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 497 เสี่ยงชีวิตช่วยคน

ตอนที่ 497 เสี่ยงชีวิตช่วยคน

ตอนที่ 497 เสี่ยงชีวิตช่วยคน

หลังจากที่หลินม่ายขอตัวออกไปแล้ว เถาจืออวิ๋นก็เริ่มเอาแบบเสื้อที่หลินม่ายออกแบบไปสร้างแพทเทิร์น ปรับแก้รายละเอียดและสัดส่วนอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว

หล่อนเก็บข้าวของ สะพายกระเป๋า แล้วออกไปรับฉีฉีจากโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็แวะไปที่ตลาดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารเช่นทุกครั้ง ก่อนจะจูงมือฉีฉีเดินกลับบ้าน

ระหว่างมื้ออาหารภายในครอบครัวก่อนถึงวันไหว้พระจันทร์ พี่ใหญ่เถาได้เล่าอะไรให้เธอฟังบางอย่าง

เขาบอกว่าวันนี้จะแวะไปที่โรงงานของหม่าเทา เรียกเขามาคุยโดยให้หัวหน้างานของเขาช่วยเป็นสักขีพยาน ตักเตือนหม่าเทาอย่างเข้มงวดไม่ให้เขาคิดรังแกหรือล่วงเกินหล่อนอีก

วันนี้หล่อนเลยกะว่าจะกลับไปที่บ้านเสียหน่อย เพราะอยากรู้ว่าพี่ใหญ่เถาไปขู่สัตว์ร้ายแซ่หม่าว่าอย่างไรบ้าง แล้วสัตว์ร้ายแซ่หม่ามีปฏิกิริยาอย่างไร

สองแม่ลูกเดินคุยกันพลางหัวเราะอย่างมีความสุขเป็นระยะ ๆ

ในขณะที่กำลังจะข้ามถนน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งทะยานฝ่าไฟแดง ตรงไปหาเถาจืออวิ๋นและลูกชายของหล่อน

มอเตอร์ไซค์คันนี้ขับมาด้วยความเร็วเกินพิกัด ถึงอยากเบี่ยงตัวหลบก็เหมือนจะสายเกินไปแล้ว

เถาจืออวิ๋นหันหลังให้กับมอเตอร์ไซค์คันนั้นโดยสัญชาตญาณ กอดฉีฉีไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา

ช่วงเวลาวิกฤตนี้ ชายคนหนึ่งกลับพุ่งตัวเข้ามา ผลักสองแม่ลูกจนกระเด็นออกไปพ้นจากรัศมีของการถูกชน

ทำให้รถมอเตอร์ไซค์พุ่งชนผู้ชายคนนั้นอย่างจัง

ชายหนุ่มคนนั้นโดนชนจนตัวปลิวขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนที่ร่างกายจะร่วงลงกระแทกกับพื้นถนนอย่างรุนแรง

มอเตอร์ไซค์เสียหลักล้มครูดไปกับพื้นถนนทั้งคนทั้งรถ

เมื่อเห็นว่าตัวเองชนคนเข้า คนขับก็รีบลุกขึ้นจากพื้นโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ยกรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นควบแล้วบิดหนีไปทันที

ชายคนนั้นพยายามลุกขึ้นจากพื้นเหมือนกัน แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง

เห็นผู้ก่อเหตุชนคนบิดคันเร่งด้วยความเร็วสูงจนจากไปไม่เห็นฝุ่น ชายคนนั้นจึงได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโมโห

เถาจืออวิ๋นกับลูกชายถูกผู้ชายคนดังกล่าวผลักออกไปให้พ้นทางจนล้มลงไปกองพื้น ขณะเดียวกันพวกเขาสามารถลุกขึ้นจากพื้นได้แล้วโดยความช่วยเหลือจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา

หล่อนไม่สนใจตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉีฉีด้วยซ้ำ รีบดึงแขนฉีฉีเข้าไปอยู่ด้านข้างของชายคนนั้น ถามด้วยความเป็นห่วง “สหายฟางจั๋วเยวี่ย คุณเป็นอะไรมากไหมคะ?”

เป็นฟางจั๋วเยวี่ยนั่นเองที่ช่วยชีวิตเถาจืออวิ๋นและลูกชายเอาไว้

เขากำลังเดินกลับบ้านหลังจากเลิกงาน ทำให้บังเอิญเหลือบไปเห็นฉากนาทีชีวิตเมื่อกี้นี้เข้าพอดี เขาไม่เสียเวลาหยุดคิดด้วยซ้ำ รีบพุ่งตัวเข้าไปผลักสองแม่ลูกออกไปให้พ้นทาง

เขาล้มลงกระแทกพื้นถนนจนจุกก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังพอทนได้

ฟางจั๋วเยวี่ยแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย ส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “ผมสบายดี คุณกับฉีฉีได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า จะได้ไปโรงพยาบาลกัน”

ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ถอยออกไปยืนอยู่ข้างถนน

ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ช่วยกันตรวจสอบอาการบาดเจ็บของฉีฉี

ฉีฉีหกล้มเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย

ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกโล่งใจที่อาการบาดเจ็บของเขาไม่ร้ายแรงมาก แค่กลับไปทายาที่บ้านก็หายแล้ว

เถาจืออวิ๋นหันไปขอบคุณฟางจั๋วเยวี่ย จากนั้นก็ก้มหยิบวัตถุดิบที่ร่วงกระเด็นกระดอนตอนที่หล่อนล้มลงเมื่อครู่

ไข่ไก่กับเต้าหู้แตกเละ ไม่อาจเก็บไปใช้งานได้อีก

โชคดีที่ยังมีผักใบเขียว แอปเปิล และเนื้อปลาอยู่

ฟางจั๋วเยวี่ยก็ช่วยหล่อนก้มหยิบขึ้นมาด้วย

ทันใดนั้นฉีฉีก็ดึงกระตุกแขนเสื้อของเถาจืออวิ๋น แล้วชี้ไปที่ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งกำลังก้มเก็บแอปเปิลโดยหันหลังเอียงเข้าหาพวกเขา พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “แม่ฮะ หลังคุณอามีเลือดออก”

เถาจืออวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองตาม ก็เห็นว่าบริเวณหลังศีรษะของฟางจั๋วเยวี่ยแตก เลือดไหลทะลักออกมา แต่เขากลับไม่รู้ตัว

เถาจืออวิ๋นไม่สนใจหยิบอะไรขึ้นมาทั้งนั้น รีบวิ่งไปหยุดการกระทำของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณหัวแตก ต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้!”

ฟางจั๋วเยวี่ยยกมือขึ้นแตะบริเวณหลังศีรษะ พอชักมือกลับมาก็เห็นว่าเปื้อนเลือดจริง ๆ มิน่าล่ะ เขายังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมตัวเองถึงปวดหัวและเวียนหัวขนาดนี้!

ไม่ว่าเขาจะพยายามแสร้งทำเหมือนไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขาปิดบังความเจ็บปวดของตัวเองไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงต้องไปที่โรงพยาบาลพร้อมกับเถาจืออวิ๋นและลูกชายของหล่อน

เขาพยายามบอกว่าตัวเองโตแล้ว สามารถไปที่โรงพยาบาลคนเดียวได้ แต่เถาจืออวิ๋นยืนกรานปฏิเสธท่าเดียว เขาเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมให้สองแม่ลูกตามไปส่ง

ทันทีที่พวกเขามาถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็เห็นว่าอาการบาดเจ็บของฟางจั๋วเยวี่ยนั้นไม่ใช่น้อย ๆ เลย ยิ่งเป็นเพราะถูกมอเตอร์ไซค์ชนยิ่งแล้วใหญ่

เขาออกเอกสารตรวจร่างกายออกมาหลายชุด ส่งตัวเขาไปตรวจเพิ่มเติมว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองหรือมีการบาดเจ็บภายในอื่น ๆ หรือไม่

ในขณะที่เถาจืออวิ๋นกับฉีฉีพาฟางจั๋วเยวี่ยไปเข้ารับการสแกนสมอง ก็บังเอิญเจอกับฟางจั๋วหรานที่มาเข้าเวรกะกลางคืนพอดี

ดวงตาเฉียบคมของเขาจ้องมองไปมาระหว่างเถาจืออวิ๋นกับฟางจั๋วเยวี่ย จากนั้นก็ถาม “ใครป่วยกันล่ะทีนี้?”

เถาจืออวิ๋นรีบอธิบาย “ไม่มีใครป่วยทั้งนั้นค่ะ แต่น้องชายของคุณได้รับบาดเจ็บ”

จากนั้นหล่อนก็เล่าให้ฟางจั๋วหรานฟังถึงสาเหตุการบาดเจ็บของฟางจั๋วเยวี่ย

ฟางจั๋วหรานผลักไหล่ของฟางจั๋วเยวี่ยไปอีกทางหนึ่งเพื่อให้แผ่นหลังอีกฝ่ายหันเข้าหาเขา เห็นว่าบริเวณหลังศีรษะถูกผ้าก๊อซสีขาวปิดรอยแผลเอาไว้

ฟางจั๋วหรานบอกให้ฟางจั๋วเยวี่ยไปตรวจร่างกายให้เสร็จ จากนั้นค่อยออกมาคุยกับเขา

ฟางจั๋วเยวี่ยตอบรับเสียงอ่อย

ผลการตรวจร่างกายต้องใช้เวลาประมาณสองวันถึงจะสรุปได้

คุณหมอเจ้าของไข้ฟางจั๋วเยวี่ยวินิจฉัยจากประสบการณ์ ขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสักสองสามวันเพื่อดูอาการก่อน

เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บที่กะโหลกศีรษะ ถึงแม้ผู้บาดเจ็บจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาโดยทันที แต่อาการของพวกเขาอาจแย่ลงอย่างกะทันหันภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งอาการที่ว่าอาจกลายเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

ที่ให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลก็เพื่อที่แพทย์จะสามารถเฝ้าสังเกตอาการได้อย่างสะดวก ทั้งยังสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

เมื่อผลตรวจร่างกายทั้งหมดออกมาแล้ว ค่อยพิจารณาอีกทีว่าควรให้รักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไปหรือไม่ ถ้าไม่มีความจำเป็น ก็สามารถทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลได้เลย

ถึงอย่างนั้นการรักษาเป็นผู้ป่วยในก็มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่เถาจืออวิ๋นกำลังจะเดินไปจ่ายเงินค่านอนโรงพยาบาลให้กับฟางจั๋วเยวี่ย ฟางจั๋วเยวี่ยก็รีบหยุดหล่อนไว้อย่างดื้อรั้น

ถ้าผู้หญิงอย่างเถาจืออวิ๋นต้องมาควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เขา เขาคงรู้สึกอับอายขายหน้ามาก

ต่อให้เขาจะได้รับบาดเจ็บเพราะเสี่ยงชีวิตช่วยเถาจืออวิ๋นกับลูกชายหล่อนก็เถอะ

เขาเห็นว่าเถาจืออวิ๋นเป็นเพื่อนที่ดีของพี่สะใภ้ ดังนั้นเขาจึงสมควรช่วยชีวิตสองแม่ลูกไว้ จะถือเป็นบุญคุณที่ต้องชดใช้ได้อย่างไร?

น่าเสียดายที่เขาไม่มีเงินสดติดตัว จึงต้องยอมให้คนอื่นออกค่ารักษาพยาบาลในที่สุด

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้หล่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ตัวเองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าพี่สะใภ้รู้เรื่องทั้งหมดเข้า หล่อนคงโกรธเขาแน่ ๆ

ถ้าพี่สะใภ้โกรธ พี่ชายก็จะโกรธเขาอีกคนหนึ่ง คราวนี้ชีวิตของเขาจะยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่

หลังจากเกลี้ยกล่อมกึ่งบังคับให้สองแม่ลูกกลับไปแล้ว ฟางจั๋วเยวี่ยก็เดินไปที่ห้องทำงานของพี่ชายพร้อมกับใบเสร็จเรียกเก็บเงินของทางโรงพยาบาล

ฟางจั๋วหรานกำลังถือแผ่นฟิล์มเอกซเรย์เพื่อวิเคราะห์เคสกับนักเรียนแพทย์

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วเยวี่ยโผล่หน้าเข้ามาจากประตูห้องทำงาน เขาก็วางแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ในมือลง เดินออกไปหาพร้อมกับถามว่า “อาการบาดเจ็บรุนแรงมากไหม?”

ฟางจั๋วเยวี่ยยื่นใบรับรองการรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในให้ฟางจั๋วหราน “ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงหมอก็ขอให้ผมนอนโรงพยาบาลอยู่ดี”

ฟางจั๋วหรานรู้จุดประสงค์ของการมาเยี่ยมของเขา ดังนั้นจึงหยิบเงินสดที่พกติดตัวออกมา ให้อีกฝ่ายเอาไปจ่ายค่ารักษาตัวในโรงพยาบาลซะ

ฟางจั๋วเยวี่ยพาสมองอันมึนงงเดินผ่านจุดลงทะเบียนผู้ป่วยในด้วยตัวเอง จากนั้นก็นอนอยู่คนเดียวบนเตียงอย่างว่างเปล่า เนื่องจากเขายังไม่ได้กินอาหารมื้อเย็น ท้องของเขาจึงส่งเสียงร้องด้วยความหิว

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะไปติดต่อเคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อขอยืมโทรศัพท์โทรหาพี่สะใภ้ ขอให้ช่วยนำอาหารมาส่งดีหรือไม่ พยาบาลตัวเล็กแสนสวยก็เดินเข้ามา

หล่อนเปิดปากถาม “ใครคือสหายฟางจั๋วเยวี่ยคะ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยยกมือขึ้นอย่างเกียจคร้าน

พยาบาลตัวเล็กเห็นว่าน้องชายของคุณหมอฟางหน้าตาไม่ได้เลวร้ายไปกว่าคุณหมอฟางเลย

หล่อนวางกล่องอาหารและผลไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียงของฟางจั๋วเยวี่ย “คุณหมอฟางขอให้ฉันเอาอาหารพวกนี้มาส่งให้ค่ะ”

ฟางจั๋วเยวี่ยซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยากผุดลุกขึ้นนั่งทันที หยิบกล่องอาหารขึ้นมาเปิดฝา แล้วเริ่มกิน

ภายในกล่องอาหารมีทั้งซี่โครงหมูน้ำแดง ปลาทรายแดงนึ่งซีอิ๊ว… ทั้งหมดเป็นเมนูโปรดของเขาทั้งนั้น

อารมณ์ซาบซึ้งในใจระเบิดออกอย่างท่วมท้น สมแล้วที่เป็นพี่ชายเขา!

กว่าเถาจืออวิ๋นและลูกชายจะกลับมาถึงบ้านแม่ของหล่อนก็เป็นเวลาหกโมงเย็นพอดี พี่ชายและพี่สะใภ้ใหญ่ รวมถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้รองต่างก็มาถึงนานแล้ว

ระหว่างที่กำลังเตรียมอาหารมื้อเย็น แม่เถาถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับมาช้านักล่ะลูก?”

เถาจืออวิ๋นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง

แม่เถายกอาหารออกมาวางเรียง จากนั้นก็นั่งลง หยิบชามขึ้นมาเตรียมกินข้าว แต่พอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับวางชามลงทันที

“เดี๋ยวแม่จะเข้าครัวไปทำต้มยำปลาสักหน่อย จะได้ห่อไปเยี่ยมเสี่ยวฟางหลังมื้ออาหาร”

เถาจืออวิ๋นเห็นว่าแม่เถาเอื้อมไปหยิบปลาตะเพียนที่ตัวเองหิ้วกลับมาก็รีบพูดว่า “แม่คะ ปลาตัวนั้นหล่นลงพื้นแล้วค่ะ อย่าเอามันไปปรุงอาหารให้คนป่วยเลย เดี๋ยวพวกเราค่อยไปที่ตลาดฝูตัวตัวแล้วซื้อผลไม้ไปเยี่ยมสหายฟางจั๋วเยวี่ยดีกว่า”

แม่เถาจึงหย่อนก้นลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง

จากนั้นเถาจืออวิ๋นก็ถามเรื่องที่พี่ใหญ่เถาไปคุยกับหม่าเทาในวันนี้

พี่ใหญ่เถาเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด

เช้าวันนี้เขาขอลางานเป็นเวลาสองชั่วโมง จากนั้นก็รีบไปที่โรงงานของหม่าเทา และขอเข้าพบหัวหน้างานของหม่าเทาโดยตรง เพื่อขอให้หัวหน้าช่วยพาเขาไปเจออีกฝ่าย

หัวหน้างานแจ้งให้เขาทราบว่าหลังจากที่หม่าเทาถูกตัดสินจำคุกเป็นครั้งแรก เขาก็ถูกไล่ออกจากโรงงานตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

เถาจืออวิ๋นพูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดเลยว่าโรงงานของสัตว์ร้ายหม่าจะจัดการลงดาบเขาเร็วขนาดนี้ แค่รู้ข่าวก็ไล่เขาออกซะแล้ว แต่ครั้งล่าสุดที่เขามาหาฉัน เขาไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลยสักคำ”

พี่สะใภ้เถาแค่นเสียงเย้ยหยัน “คนสารเลวนั่นจะไม่มีทางพูดถึงเรื่องนี้แน่ เขาคงกลัวเธอจะรู้ว่าเขาตกงาน แล้วปฏิเสธที่จะกลับไปแต่งงานกับเขาอีกครั้ง”

เถาจืออวิ๋นแค่นเสียงเย็นชา “ต่อให้เขาจะยังมีงานคุ้มกะลาหัว ฉันก็ไม่มีวันกลับไปแต่งงานกับเขาแน่ จริงสิ พี่ใหญ่ พี่ได้ถามหรือเปล่าว่าหม่าเทากับรักแรกของเขาหย่ากันเพราะอะไร? หม่าเทาเป็นคนตัดสินใจหย่าขาดกับหล่อนจริง ๆ เหรอ?”

หม่าเทาทั้งรักทั้งหลงรักแรกของเขามากขนาดนั้น ให้ตายหล่อนก็ไม่เชื่อว่าคนอย่างหม่าเทาจะมีความคิดริเริ่มอยากหย่ากับเวินหงเหมยจริง ๆ

พี่ใหญ่เถาตักข้าวเข้าปากพลางพยักหน้า พูดว่า “ถามแล้ว หม่าเทากับเวินหงเหมยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะหย่าร้างกันได้ยังไง? ว่ากันว่าพอเวินหงเหมยเห็นหม่าเทาโดนคุมขังอยู่ที่สถานีตำรวจ และรู้ว่าเขาถูกทางโรงงานไล่ออกหลังจากนั้น ก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตคู่กับเขาอีก วันที่สองหลังจากหม่าเทานอนคุก หล่อนก็กวาดเงินเก็บของครอบครัวทั้งหมดไป แล้วหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับลูกสาวของหล่อน ที่สัตว์ร้ายหม่าพูดแบบนั้น ก็แค่จะหว่านล้อมให้เธอยอมกลับไปเท่านั้นเอง”

เถาจืออวิ๋นแทบจะอาเจียนออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น

เห็น ๆ กันอยู่ว่าเวินหงเหมยเป็นฝ่ายทิ้งหม่าเทาไปแท้ ๆ แต่หม่าเทาก็ยังมีหน้ามาหลอกลวงหล่อนอีก อ้างว่าตัวเองถึงกับยอมทิ้งรักแรกของเขาเพื่อแสดงความจริงใจต่อหล่อน จะไม่ให้รู้สึกขยะแขยงได้อย่างไรกัน?

หล่อนพูดประชดประชัน “นี่น่ะเหรอรักแรกที่สัตว์ร้ายหม่าไม่เคยลืม ไหนว่าหล่อนเป็นคนน่ารักและมีเหตุผลมากยังไงล่ะ!”

พี่ใหญ่เถาเยาะเย้ย “หล่อนไม่เคยเป็นรักแรกที่น่ารักและมีเหตุผลของเขาด้วยซ้ำ!”

ทุกคนรอบโต๊ะอาหารถามด้วยความสนใจ “เวินหงเหมยยังทำอะไรให้สัตว์ร้ายหม่าเจ็บช้ำน้ำใจอีกงั้นเหรอ?”

นับตั้งแต่ได้ยินเถาจืออวิ๋นเรียกหม่าเทาว่าสัตว์ร้ายหม่า สมาชิกทั้งครอบครัวต่างก็เรียกเขาแบบนั้นไปโดยปริยาย

หม่าเทาใช้แซ่หม่า และเขาก็เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องต่ำช้าเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานพอดี เรียกเขาว่าสัตว์ร้ายหม่าก็เหมาะสมแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โอ๊ย จั๋วเยวี่ยเจ็บหนักซะแล้ว ว่าแต่เจอกับจืออวิ๋นบ่อยขนาดนี้นี่ถือว่าเป็นพรหมลิขิตได้ไหมนะ

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท