ส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปแล้ว สืออีเหนียงมวยผมที่ยุ่งเหยิงของตัวเองใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็ไปที่เรือนหน่วนเก๋อ
จิ่นเกอกำลังนอนเตะขาไปมาอยู่บนที่นอนนุ่มๆ
สืออีเหนียงเคยได้ยินคนบอกว่า พ่อแม่ควรช่วยลูกออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่นนั้นจะช่วยให้สุขภาพของลูกแข็งแรง แต่ไม่รู้ว่าควรออกกำลังกายเช่นไร ตอนที่นางยังไม่ได้แต่งงาน นางคิดว่าบนท้องถนนเต็มไปด้วยหนังสือการดูแลเด็กและหนังสือเด็กแรกเกิด หากอยากได้ค่อยไปซื้อมาทำตามก็ได้
ตอนนี้นางรู้สึกผิดที่ตัวเองมีความรู้น้อย
นางอยากจะจับมือจิ่นเกอลุกขึ้นนั่ง ไม่ก็จับเขากลิ้งซ้ายกลิ้งขวา
จิ่นเกอเล่นอย่างมีความสุข เขาหัวเราะคิกคัก
สืออีเหนียงหอมแก้มซ้ายแก้มขวา
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คุณหนูใหญ่ คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยห้ามาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบเชิญพวกเขาเข้ามา!” ใบหน้าของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความสุขที่ได้เล่นกับจิ่นเกอ
สาวใช้ยิ้มแล้วเปิดม่าน
“ท่านแม่เจ้าคะ” เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วเดินเข้ามา
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยวิ่งออกมาจากข้างหลังเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้ววิ่งไปยังเตียงเตา พวกเขายิ้มแล้วเอ่ยเรียก “ท่านแม่” จากนั้นก็เกาะขอบเตียงเตาแล้วเรียก “น้องหก น้องหก!”
จิ่นกำลังเล่นอย่างมีความสุข เมื่อได้ยินเสียง เขาก็หันหน้ามายิ้มให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย
พวกเขาสองคนชอบอกชอบใจ “ท่านแม่ขอรับ ท่านดูสิ น้องหกยิ้มด้วย!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มจิ่นเกอขึ้นมา
จิ่นเกอมองดูผู้คนในห้อง หัวเราะแล้วยัดมือตัวเองเข้าปาก
เจินเจี่ยเอ๋อร์จับมือจิ่นเกอ “อมมืออีกแล้ว ระวังท่านแม่ตีก้นนะ”
จิ่นเกอจึงมองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจแล้วร้อง “ฮือ ฮือ” สองครั้ง ราวกับว่ากำลังคุยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ แล้วก็ราวกับกำลังแก้ตัว ทำเอาเจินเจี่ยเอ๋อร์ชอบใจ นางเรียกท่านแม่แล้วพูดว่า “…ท่านดูสิเจ้าคะ น้องหกจะพูดแล้วหรือ”
“น่าจะยังไม่ใช่กระมัง!” สืออีเหนียงก็ไม่แน่ใจ นางลังเล “ข้าได้ยินป้าเถียนบอกว่า หนึ่งขวบถึงจะพูดเป็น” แต่ในความทรงจำของนาง ลูกของเพื่อนร่วมงานดูเหมือนจะพูดเป็นตั้งแต่ยังไม่หนึ่งขวบ…
“อ้อ!” เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ผิดหวัง นางจับมือจิ่นเกอ “เจ้าต้องรีบพูดให้เป็น ถึงตอนนั้นอยากได้อะไรก็จะได้บอกแม่นมกู้ ดีจะตาย!”
“เรื่องเช่นนี้จะรีบร้อนไม่ได้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกอ จากนั้นก็สวมหมวกใบเล็กๆ ที่ทำมาจากผ้าเช็ดหน้าให้เขาแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้ทานข้าวกันใช่หรือไม่ สายแล้ว ประเดี๋ยวข้าบอกให้โรงครัวเตรียมอาหารมาให้พวกเจ้า”
สวีซื่อจุนรีบพูดทันที “ท่านแม่ ข้าอยากทานเห็ดต้มน้ำแกงไก่”
“ได้เลย!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามสวีซื่อเจี้ย “เจ้าอยากทานอะไร”
สวีซื่อเจี้ยเอียงหัวด้วยสีหน้าที่งงงวย “ป้าหนานบอกว่า ผู้ใหญ่ให้ทานอะไรก็ต้องทาน ห้ามเลือกทานขอรับ”
สืออีเหนียงเหงื่อตก นางรีบอธิบาย “ป้าหนานพูดถูก แต่ว่าประเดี๋ยวอาจารย์จ้าวก็จะกลับมาแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็ต้องไปเรียนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่คืออาหารมื้อสุดท้ายก่อนไปเรียน ดังนั้นทุกคนสามารถสั่งอาหารได้คนละหนึ่งอย่าง”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็กระโดดโลดเต้น “ข้าอยากทานซาลาเปาไส้หมู!”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่กลับได้ยินเสียงของสวีซื่อจุนดังขึ้นมาข้างหู “แต่ท่านย่าบอกว่า อยากทานอะไรก็ทาน ไม่ต้องอดกลั้นขอรับ…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
สวีซื่อจุนร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ของที่อยากทานและของที่ทานได้ ล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงสุขภาพที่แข็งแรงของเขา แน่นอนว่าไท่ฮูหยินต้องอยากให้เขาทานเยอะๆ และทานของดี เขาพูดเช่นนี้ มันก็ไม่ผิด แต่กฎเกณฑ์เข้มงวดที่สะใภ้หนานหย่งสอนสวีซื่อเจี้ย ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
สืออีเหนียงพลันนึกถึงคำพูดที่ว่า ‘จุนเกอจะเป็นเหมือนเด็กที่ไม่โตตลอดไปไม่ได้’ ของสวีลิ่งอี๋ นางครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้มแล้วเล่าความคาดหวังที่ไท่ฮูหยินมีต่อเขาให้สวีซื่อจุนฟัง
“เช่นนั้นก็หมายความว่าที่ป้าหนานพูดถูกต้องหรือขอรับ” สวีซื่อจุนก้มหน้าด้วยท่าทีเสียใจ
“ไม่ถูกแล้วก็ไม่ผิด” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจำได้ว่าท่านพ่อของเจ้าเคยบอกข้าว่า หลังจากวันเกิดสิบขวบของเจ้า เจ้าต้องย้ายออกไปอยู่คนเดียวที่ลานข้างนอก เช่นนั้นก็หมายความว่า เจ้าโตแล้ว แน่นอนว่าเจ้าจะทำตัวเหมือนตอนนี้ อยากทำอะไรก็ทำไม่ได้แล้ว” นางพูดหยอกล้อเขา “ถึงตอนนั้นอย่าบอกว่าอาจารย์เข้มงวดกับเจ้าแล้วร้องไห้เชียวนะ!”
ถือว่าเป็นการพูดดักทางให้สวีซื่อจุนล่วงหน้า!
สวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ข้าไม่ร้องไห้แน่นอน!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า เห็นว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอที่ยังไม่รู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกำลังเบิกตากว้างมองมาที่พวกเขา นางก็พูดว่า “วันนี้เราก็หยุดหนึ่งวัน อยากทำอะไรก็ทำดีกว่า!” พูดจบ นางก็ถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจ้าเล่าอยากทานอะไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กที่ไหวพริบดีอยู่แล้ว รู้ว่าสืออีเหนียงอยากเปลี่ยนเรื่อง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ครั้งก่อนข้าทานพระกระโดดกําแพงที่เรือนของท่าน อร่อยอย่างมาก ท่านแม่บอกให้โรงครัวทำพระกระโดดกําแพงเถิดเจ้าค่ะ!”
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามจิ่นเกอ “แล้วคุณชายน้อยหกของเราอยากทานอะไรเอ่ย”
จิ่นเกอชี้ไปที่สืออีเหนียงแล้วส่งเสียงอ้อแอ้ สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มเขา บอกให้ชิวอวี่ไปบอกโรงครัวทำอาหาร ให้จู๋เซียงไปเชิญคุณนายสามสกุลหวงมาทานข้าว จากนั้นก็วางจิ่นเกอลงบนที่นอนหนาๆ ที่ปักลายค้างคาว แล้วหยิบกลองป๋องแป๋งมาล่อให้เขาพลิกตัว
แขนขาเล็กๆ ของเขาแข็งแรงอย่างมาก ขยับตัวสองสามทีก็พลิกตัวได้แล้ว สืออีเหนียงเขย่ากลองป๋องแป๋ง เขาก็พลิกตัวอีกครั้ง ทำเอาสวีซื่อจุนขอจับกลองป๋องแป๋ง “ท่านแม่ขอรับ ข้าเอง ข้าเองขอรับ!”
ไม่รู้ว่าเขาเหนื่อยหรือว่ารำคาญ เมื่อกลองป๋องแป๋งมาอยู่ในมือของสวีซื่อจุน จิ่นเกอกลับนอนนิ่งไม่ขยับตัว ดูดนิ้วตัวเองอย่างเกียจคร้าน ทำเอาสวีซื่อจุนทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ทำไมน้องหกถึงไม่พลิกตัวแล้วล่ะ”
สืออีเหนียงรีบจับมือจิ่นเกอ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ก่อนพวกเจ้าจะมาเขาพลิกตัวไปตั้งหลายครั้งแล้ว” นางพูด “ดูเหมือนว่าต้องฟังคำแนะนำของป้าเถียน นำพริกมาถูที่นิ้วมือของเขา ไม่เช่นนั้น เขาก็จะเอาแต่ดูดนิ้วแบบนี้!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ “ต้อง ต้องถูพริกที่นิ้วมือหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงก็ไม่แน่ใจ สีหน้าของนางมีความลังเล จู๋เซียงเข้ามารายงานพอดี พวกนางจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีก “…ฮูหยินสามเชิญคุณนายสามสกุลหวงทานข้าวที่เรือนของฮูหยินสามแล้วเจ้าค่ะ! “
“เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องรอคุณนายสามสกุลหวงแล้ว” นางยิ้มแล้วบอกจู๋เซียง “บอกให้ป้ารับใช้จัดอาหารเถิด!”
จู๋เซียงตอบรับแล้วเดินออกไป สืออีเหนียงและเด็กๆ พากันไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ซวงอวี้ สาวใช้ของสวีซื่อเจี้ยพูดคุยกับซื่อสี่สองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง
เพราะว่าสวีซื่อเจี้ยมาที่เรือนหลัก สะใภ้หนานหย่งจึงไม่ได้ตามมารับใช้ แต่พาสาวใช้เก็บข้าวของอยู่ที่เรือน ตอนนี้ลมพัดมากระทบบนใบหน้าก็ไม่มีความหนาวเย็นแล้ว อีกสองสามวันก็ต้องเปลี่ยนไปสวมชุดฤดูใบไม้ผลิแล้ว นางกำลังตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
นิวเอ๋อร์ บุตรสาวของสะใภ้หนานหย่งปีนี้อายุเจ็ดขวบแล้ว นางโตมากับมารดาของตัวเองในเรือนของสวีซื่อเจี้ย คุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าบ้านของตัวเองเสียอีก นางกำลังนั่งพับถุงเท้าให้สวีซื่อเจี้ยอยู่บนเก้าอี้
“ป้าหนานเจ้าคะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน!” ซวงอวี้เดินเข้ามา จับมือสะใภ้หนานหย่งไปที่เรือนหน่วนเก๋อ “เมื่อครู่คุณชายน้อยห้าพูดที่เรือนของฮูหยินว่า…” นางเล่าเรื่องที่สวีซื่อเจี้ยบอกว่า ‘ผู้ใหญ่ให้ทานอะไรก็ทาน’ ให้สะใภ้หนานหย่งฟัง “ข้ายืนอยู่ข้างนอก ได้ยินอย่างชัดเจน หากฮูหยินตำหนิ เราจะทำเช่นไรกันดีเล่า”
สะใภ้หนานหย่งเม้มปากแต่ไม่พูดอะไร
ซวงอวี้อดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า
สะใภ้หนานหย่งคนนี้ดีหมดทุกอย่าง แต่ไม่ชอบพูด บางครั้งก็ทำให้คนอึดอัด
“คำพูดนั้นท่านเป็นคนพูด เรื่องในเรือนนี้ท่านก็เป็นคนดูแล” ปีนี้ซวงอวี้อายุสิบแปดปีแล้ว คนในครอบครัวกำลังหาสามีให้นาง คนอื่นได้ยินว่านางเป็นสาวใช้ระดับสองของหย่งผิงโหวฮูหยิน ก็ล้วนแต่ชื่นชอบนาง มีครอบครัวที่มีฐานะดีสองสามคนมาสู่ขอ นางไม่อยากให้เรื่องแต่งงานของตัวเองเปลี่ยนไปเพราะเรื่องนี้ “ถึงตอนนั้นหากฮูหยินตำหนิ ท่านต้องพูดตามความจริง”
คำพูดนั้นตนเป็นคนพูด เรื่องนั้นตนก็เป็นคนทำจริงๆ
สะใภ้หนานหย่งพยักหน้าโดยไม่คิดอะไรมาก
ซวงอวี้เห็นเช่นนี้ก็โมโห คิดว่าหลังทานข้าวเที่ยงเสร็จคุณชายน้อยห้าอาจจะมานอนกลางวันที่เรือนของเขาตามปกติ ต้องจุดเตาผิงมือ และจุดเครื่องหอม ชาอุ่นและของว่างก็ต้องเตรียมให้พร้อม…ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมากมาย! นางจึงหันหลังกลับเดินออกไปทันที
นิวเอ๋อร์ที่แอบฟังอยู่ก็เดินเข้ามาเงียบๆ “ท่านแม่ ฮูหยินคงจะไม่ไล่ท่านออกใช่หรือไม่!”
นางหน้าตาสะอาดสะอ้านเหมือนมารดา เพราะว่าเป็นห่วงมารดาของตัวเอง นางจึงทำหน้ามุ่ย
สะใภ้หนานหย่งลูบหัวบุตรสาวอย่างแผ่วเบา “ในเมื่อฮูหยินให้ข้าเป็นคนดูแลคุณชายน้อยห้า ข้าต้องเคารพเขาเหมือนนาย แล้วก็ต้องรักและเอ็นดูเขาเหมือนลูก…ที่ข้าทำเช่นนั้น ก็เพื่อคุณชายน้อยห้า”
นิวเอ๋อร์ไม่เข้าใจ
สะใภ้หนานหย่งถอนหายใจเบาๆ มองออกไปนอกหน้าต่างกระจกก็เห็นซวงอวี้ยืนกอดอกอยู่ใต้ชายคา กำลังสั่งให้สาวใช้ตักน้ำตักถ่านด้วยสายตาที่มืดมน “คุณชายน้อยห้าไม่เหมือนคุณชายน้อยคนอื่นๆ…เขายังเด็ก คุณชายน้อยสอง คุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยหกก็ยังเด็ก…เมื่อพวกเขาโตแล้ว พวกเขาก็จะรู้ถึงความแตกต่าง…คนบางคน แค่อ้าปากก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่คนบางคน เกิดมาก็ไม่มีสิทธิ์เลือก…เขาเคยชินมาตั้งแต่เด็ก โตขึ้นจะได้ไม่รู้สึกไม่สบายใจ!” พูดจบ นางก็ลูบหัวบุตรสาวตัวเอง ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือสวีซื่อเจี้ย แล้วนางกำลังพยายามปลอบใจเขาอยู่
นิวเอ๋อร์ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว นางพูด “เหมือนข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ ก็แค่อยู่กับท่านแม่ที่นี่ ถึงแม้ว่าม่านเตียงของคุณชายน้อยห้าจะสวยงาม แต่ข้าแค่ดูก็พอแล้ว ถึงแม้ว่าจะชอบแค่ไหน แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ ถึงแม้ว่าขนมที่ป้าอู๋ในโรงครัวทำจะอร่อยมากแค่ไหน แต่นั่นมันคือของท่านโหว ฮูหยินและบรรดาคุณชายน้อย ถึงแม้ว่าข้าจะอยากทาน แต่ก็ทำได้แค่แอบกลืนน้ำลาย แล้วยังจะให้ใครเห็นไม่ได้ ตอนที่พวกเขายื่นของกินให้ยังต้องบอกว่าตัวเองอิ่มอยู่!”
สะใภ้หนานหย่งหัวเราะ นางก้มตัวลงจับใบหน้าที่ขาวสะอาดของบุตรสาวด้วยความรักใคร่เอ็นดู “ใช่แล้ว!”
“แต่ แต่ว่าคุณชายน้อยห้าก็เป็นคุณชายน้อยนี่เจ้าคะ” นิวเอ๋อร์เอียงหัวมองมารดาของตัวเอง
สะใภ้หนานหย่งไม่ตอบอะไร
*****
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ส่งเด็กๆ ออกไป สืออีเหนียงรีบบอกให้จู๋เซียงไปที่ลานข้างนอก “ไปดูว่าท่านโหวกลับมาแล้วหรือยัง”
จู๋เซียงตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงกล่อมจิ่นเกอที่ทานอิ่มแล้วให้นอนหลับ
อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อครู่นี้เล่นสนุกจนเกินไป เขาเลยดิ้นไปมาบนเตียง ไม่ยอมนอนเสียที
จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็มาร่ำลา