“งานแต่งของบุตรชายคนโต คุณชายสามไม่เพียงแต่ซื้อเรือนในเยี่ยนจิง ทั้งยังจะซื้อร้านให้คุณชายน้อยใหญ่ แล้วยังซื้อที่ดินอีกหกร้อยแปลง” คุณนายสามสกุลหวงยิ้ม นางพูดด้วยน้ำเสียงปนตกใจ คิดไม่ถึงว่าครอบครัวคุณชายสามจะมีเงินมากมายขนาดนี้
แต่สืออีเหนียงกลับไม่ตกใจอะไร
ฮูหยินสามเก็บสะสมมาตั้งหลายปี บวกกับทรัพย์สินของสกุลเดิมที่ได้รับตอนนั้น แค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ไม่ว่าเช่นไร เรื่องนี้คงต้องรบกวนพี่หญิงแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างมีมารยาท
คุณนายสามสกุลหวงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “ในเมื่อข้าได้รับความไว้วางใจจากไท่ฮูหยิน แน่นอนว่าข้าต้องจัดการให้ดีที่สุด!”
พวกนางสองคนพูดคุยกันพลางเดินออกมาจากลาน
คุณนายสามสกุลหวงบอกให้สืออีเหนียงหยุดเดิน “จิ่นเกอยังรอให้เจ้าไปกล่อมเขานอนอยู่!”
สืออีเหนียงก็ไม่เกรงใจ ส่งคุณนายสามสกุลหวงขึ้นรถลาก จากนั้นก็กลับไปที่เรือนหลัก
จิ่นเกอยังไม่นอน เขาลืมตามองไปรอบๆ เห็นมารดาเข้ามาก็ยิ้มแย้ม
“เหตุใดถึงขี้เล่นขนาดนี้!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วตบก้นเขาเบาๆ
จิ่นเกอคิดว่านางกำลังเล่นกับตัวเอง จึงส่งยิ้มกว้างให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สวีลิ่งอี๋กลับมาจากพระราชวังแล้ว
สืออีเหนียงเดินออกไปต้อนรับเขา
“จิ่นเกอเล่า” ทันทีที่สวีลิ่งอี๋เข้ามาก็ถามถึงบุตรชาย
“อยู่ข้างในเจ้าค่ะ แม่นมกู้ดูแลอยู่!” สืออีเหนียงตอบกลับ เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมองสีหน้าของสวีลิ่งอี๋
เห็นสีหน้าของเขาปกติ นางก็สบายใจ
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางกำลังเป็นห่วงตัวเอง จึงรีบพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าไปพูดกับฮ่องเต้ สกุลหวงคงจะถูกสั่งสอน แต่คงจะไม่ถึงกับชีวิต”
“เช่นนี้ก็ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ถึงแม้ว่าหย่งชังโหวซื่อจื่อจะไม่มีจุดอ่อนอยู่ในเงื้อมมือของเจี้ยนหนิงโหว แต่สวีลิ่งอี๋ก็จัดการเรื่องนี้ได้อย่างชอบธรรม
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปอุ้มจิ่นเกอในห้องข้างใน
จิ่นเกอหัวเราะคิกคัก
สายตาของสวีลิ่งอี๋อ่อนโยน
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วถามเขาถึงเรื่องที่เข้าไปในพระราชวัง “…ฮ่องเต้ไม่ได้ไม่พอพระทัยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แต่คำตอบของสวีลิ่งอี๋กลับฟังแล้วคลุมเครือ “ฮ่องเต้กำลังเรียกเฉินเก๋อเหล่าเข้าไปปรึกษา!” พูดจบ เขาก็ยื่นจิ่นเกอให้แม่นมกู้แล้วเดินไปห้องชำระ
เรื่องราวยังไม่ได้ข้อสรุป ตอนนี้ทำได้เพียงรอฟังข่าวเท่านั้น
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอมากล่อมนอน
อีกไม่กี่วันต่อมา คุณนายสามสกุลหวงมาที่จวนหย่งผิงโหวบ่อยๆ เพราะเรื่องานแต่งของสวีซื่อฉิน และทุกครั้งที่จะกลับจวนนางก็มักจะไปนั่งที่เรือนของสืออีเหนียงก่อนเสมอ
สืออีเหนียงรู้ว่านางอยากสังเกตคำพูดของสวีลิ่งอี๋ผ่านตัวเอง แต่ว่าเรื่องนี้ซับซ้อนเกินไป ไม่ต้องพูดถึงนาง แม้แต่สวีลิ่งอี๋ เขาเองก็ยังไม่มั่นใจ และการปลอบใจที่ไม่มีความคืบหน้า ยิ่งทำให้เป็นทุกข์ สืออีเหนียงจึงพูดเพียงเรื่องงานแต่งของสวีซื่อฉินกับนาง
“ฮูหยินของรองเจ้ากรมหลิวบอกว่า สกุลฟังเตรียมสินเดิมหนึ่งหมื่นตำลึงให้บุตรสาวคนโต…
ฮูหยินสามคิดว่า ถึงแม้ว่าสินเดิมของสกุลฟังจะไม่ได้มีราคาเท่าที่ดินยี่สิบสี่แปลงในหูโจว แต่ว่าเส้นทางยังอีกยาวไกล มันไม่มีผลกระทบต่อครอบครัวของพวกนาง นางจึงพูดว่า ‘ฝั่งเรา ซื้อที่ไว้ที่หว่านผิงและต้าซิ่ง แต่หากไม่ทัน ซื่อไว้ที่มณฑลซานตงก็ได้’
แต่ฮูหยินของรองเจ้ากรมหลิวบอกกับคุณนายสามสกุลหวงว่า ‘ซื้อที่ไว้ที่หว่านผิงและต้าซิ่งล้วนไม่ทันแล้ว’ จึงตกลงจะซื้อที่ที่มณฑลซานตง…
ฮูหยินสามบอกให้สกุลฟังนำผู้ติดตามและสาวใช้มาด้วย ‘…เรือนในตรอกซานจิ่งไม่มีคนดูแล!’
ฮูหยินของรองเจ้ากรมหลิวถามถึงผู้ติดตามของครอบครัวคุณชายสาม ‘สาวใช้สี่คนพอหรือไม่…’
ฮูหยินสามขอสาวใช้อายุหกเจ็ดขวบ ‘จะได้เรียนรู้กฎเกณฑ์ เมื่อสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว จะได้ใช้งานพวกนางได้ทันที’
แล้วสกุลฟังก็ตอบตกลง” คุณนายสามสกุลหวงจิบชา นางถอนหายใจ “หากข้ามีสกุลที่พูดกันง่ายเช่นนี้ก็คงจะดี!”
“พี่สะใภ้สามตั้งใจวางแผนให้ฉินเกอเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนี้นางก็พูดอะไรไม่ออก เคยได้ยินแค่ว่าฝ่ายหญิงเสนอเงื่อนไขแล้วฝ่ายชายตอบตกลง แต่ไม่ค่อยได้เห็นฝ่ายชายเป็นคนเสนอเงื่อนไขให้ฝ่ายหญิง แต่ว่า นางได้ยินมาว่าสกุลฟังไม่เพียงแต่เป็นสกุลที่ร่ำรวยในมณฑลหูโจวเท่านั้น แต่ยังเป็นสกุลเศรษฐี สกุลฟังอาจจะคิดว่าการที่ฮูหยินสามเสนอเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ก็ตัดเหตุผลที่สกุลฟังอยากจะให้บุตรสาวคนโตของตัวเองแต่งงานเร็วๆ ออกไปไม่ได้ นางทำได้แค่ไม่สนใจ “ฟังฮูหยินเป็นคนฉลาด คิดดูแล้ว ก็คงจะรับได้กระมัง”
“ทุกคนล้วนแต่รู้หลักการ แต่คนที่คิดได้และทำได้จริงๆ กลับมีแค่ไม่กี่คน” คุณนายสามสกุลหวงยิ้มแล้วพูดคุยกับสืออีเหนียงครู่หนึ่ง เห็นว่าค่ำแล้ว นางจึงลุกขึ้นขอตัวลา
อวี้ป่าน สาวใช้ของไท่ฮูหยินเข้ามา “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ไท่ฮูหยินบอกให้ท่านอุ้มคุณชายน้อยหกไปให้ไท่ฮูหยินดูเจ้าค่ะ!”
วันที่สี่เดือนสองอาจารย์จ้าวกลับมาแล้ว สวีลิ่งอี๋และอาจารย์จ้าวปิดประตูพูดคุยกันตั้งนาน จากนั้นก็ตัดสินใจให้สวีซื่อจุนย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอกในวันที่หกเดือนสาม
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล
แต่สวีซื่อจุนกลับกระโดดโลดเต้น แล้วยังเอ่ยโน้มน้าวท่านย่า “พี่ใหญ่และพี่สองก็ย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอกตอนอายุเท่าข้าขอรับ แล้วอีกอย่าง ยังมีพี่ใหญ่และพี่สองอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกด้วย”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ต้องตอบตกลง แต่นางก็ยังไม่วางใจ บอกให้เก๋อจินตามไปดูแลเขาที่ลานข้างนอก สองสามวันนี้กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บของใส่หีบให้สวีซื่อจุน ถามเรื่องการตกแต่งเรือนต้านปั๋วไจของสวีซื่อจุน ไม่ได้เจอจิ่นเกอมาสองวันแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้จิ่นเกอและตัวเอง จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
สวีซื่อจุนเปิดเรียนแล้ว หลังเลิกเรียนก็รีบไปคารวะสืออีเหนียง จากนั้นก็ลากสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนต้านปั๋วไจ เมื่อสืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอเดินเข้าประตูมา เขาและสวีซื่อเจี้ยก็กำลังกลับมาจากเรือนต้านปั๋วไจพอดี
“ท่านแม่” เขาดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง “ข้าเหลือห้องไว้ที่เรือนต้านปั๋วไจให้น้องห้าด้วย ท่านแม่ให้น้องห้าไปอยู่ที่เรือนของข้าตอนวันหยุดนะขอรับ”
เห็นได้ชัดว่าสวีซื่อเจี้ยนั้นคล้อยตาม เขาเดินมาจับแขนเสื้อสืออีเหนียง “ท่านแม่ เรือนของพี่สี่ใหญ่และสวยมากเลยขอรับ” พูดด้วยสายตาที่เป็นประกายและท่าทีที่อิจฉา
เรือนต้านปั๋วไจคือเรือนประจำตำแหน่งของหย่งผิงโหวซื่อจื่อ หลังจากที่สวีซื่อจุนย้ายไปอยู่ที่นั่น เขาก็จะได้รับการสั่งสอนในการเป็นซื่อจื่ออย่างเป็นทางการ พึ่งเริ่มต้นก็ต้องมีการปรับตัว หากสวีซื่อเจี้ยที่นิสัยร่าเริงไปอยู่เป็นเพื่อนเขาบ้างเป็นครั้งคราว ก็ถือเป็นการปลอบใจเขาอย่างหนึ่ง
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ไปเล่นที่เรือนในช่วงวันหยุดได้ แต่ว่า จะนอนที่นั่นไม่ได้ เช่นนี้จะรบกวนการเรียนของพี่สี่”
เพราะว่านั่นคือเรือนของซื่อจื่อ สวีซื่อเจี้ยนอนที่นั่นไม่เหมาะสม อาจจะทำให้มีคนวิพากษ์วิจารณ์เอาได้!
“ไม่รบกวน ไม่รบกวนขอรับ” สวีซื่อจุนรีบรับรอง “พวกเราจะไม่ทำให้การเรียนล่าช้าแน่นอน”
สวีซื่อเจี้ยพูดเสริมอีกว่า “ข้าจะไปเล่นกับพี่สี่ตอนที่พี่สี่ไม่มีเรียน!”
“ดีมาก!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วยื่นมือไปโอบไหล่ของพวกเขาทั้งสองคน “พวกเจ้าต้องจำว่าสัญญาอะไรกับแม่เอาไว้!”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
จากนั้นก็หัวเราะอย่างปิติยินดีแล้วเข้าไปข้างใน
ฮูหยินสามกำลังนั่งพูดคุยกับไท่ฮูหยินบนเตียงเตา
สืออีเหนียงได้ยินครึ่งประโยค “…แยกออกไปเช่นนี้ เราก็ไม่ได้อยู่ที่เยี่ยนจิง ถึงตอนนั้นหลานสะใภ้คนโตไม่รู้จักท่าน จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอานะเจ้าคะ”
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นางก็รีบหยุดพูด ยืนขึ้นแล้วยิ้มทักทายสืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินไม่มองฮูหยินสามเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มแล้วปรบมือให้จิ่นเกอ “หลานรัก มาหาย่าเร็ว!”
*****
วันต่อมา สืออีเหนียงไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินก็พูดกับสืออีเหนียง
“…นางอยากซ่อมแซมลานเล็กข้างโถงเตี่ยนชุน ทำเป็นเรือนหอให้ฉินเกอ” ไท่ฮูหยินพูดพลางบึนปาก “แต่ข้าไม่อนุญาต บอกให้นางทำความสะอาดลานของตัวเองแล้วทำเป็นเรือนหอ สำหรับลานเล็กข้างโถงเตี่ยนชุน เดิมทีเตรียมเอาไว้ให้บรรดาฮูหยินที่เหนื่อยจากการดูงิ้วไว้ใช้พักผ่อน สกุลสวีของเราต้องมีหน้ามีตา!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ฮูหยินสาม ช่างกล้าเสนอเงื่อนไขเสียจริง!
“ลานเล็กนั้นเชื่อมกับโถงเตี่ยนชุน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ปกติก็มีงานสังสรรค์ที่จวนอยู่ตลอด ที่นั่นเอะอะโวยวายไปหน่อย ไม่เหมาะที่จะทำเป็นเรือนหอจริงๆ เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดคุยกับไท่ฮูหยินครู่หนึ่ง ฮูหยินสามก็มา
นางสวมเสื้อกั๊กลายดอกสีแดงสด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้นางดูมีชีวิตชีวา “ท่านแม่เจ้าคะ รายการสินสอดของสกุลฟังมาแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็หยิบกระดาษสีแดงออกจากแขนเสื้อ เดินเข้ามาหาไท่ฮูหยินแล้วเปิดให้ไท่ฮูหยินดูทันที “ท่านดูสิเจ้าคะ ตั้งแต่เตียงจนถึงโถส้วม ล้วนแต่เป็นของชั้นดีทั้งนั้นเลย” พูดจบ นางก็เหลือบมองสืออีเหนียงด้วยความหยิ่งผยอง
สืออีเหนียงจึงทำท่าคล้อยตามคำพูดของนาง เอ่ยยกย่องว่า “สกุลฟังช่างใส่ใจในพิธีรีตองเสียจริงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ สีหน้าที่โอ้อวดของนางก็ยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิม นางชี้ไปที่รายการสินสอดแล้วพูดคุยกับไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินฟังอย่างใจลอย สืออีเหนียงยิ้มแล้วนั่งอยู่เป็นเพื่อน
มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายสามสกุลหวงมาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ประหลาดใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “เชิญนางเข้ามาเถิด!” ราวกับดีใจที่คุณนายสามสกุลหวงเข้ามาขัดจังหวะฮูหยินสามพอดี
แต่หน้าตาของคุณนายสามสกุลหวงกลับไม่มีร่องรอยของความดีใจเลยแม้แต่น้อย
นางรีบคำนับไท่ฮูหยินแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ สกุลหยางถูกกวาดล้างแล้ว!” นางพูดด้วยความตกใจกลัว
แสงอาทิตย์ที่อบอุ่นของเดือนสองส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างอย่างอบอุ่น ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงต่างก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นจริงๆ นึกถึงจวนหย่งชังโหวที่อนาคตยังไม่ชัดเจน แต่กลับต้องมีจุดจบเช่นนี้ ฮูหยินสามที่ไม่รู้เรื่องนี้เลยยิ่งตกใจกว่าพวกนาง นางจับมือคุณนายสามสกุลหวงแน่น “น้องหญิงไปฟังใครมา เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ”
คุณนายสามสกุลหวงมองไปที่ไท่ฮูหยิน “สองสามวันมานี้ท่านโหวให้คนจับตาดูการเคลื่อนไหวของสกุลหยางตลอด เช้าวันนี้กำลังทานข้าวเช้าเสร็จก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน บอกว่าคนของศาลต้าหลี่พากองทัพทหารอวี้หลิน จับกุมคนของสกุลเจี้ยนหนิงโหวและโซ่วชังปั๋วเอาไว้…ท่านแม่บอกให้ข้ามารายงานให้ท่านฟังเจ้าค่ะ!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า
ใบหน้าของฮูหยินสามเต็มไปด้วยความสับสน นางมองไปที่ไท่ฮูหยินที่ไม่พูดอะไรเลย และสืออีเหนียงที่นิ่งเงียบ จากนั้นก็ถามคุณนายสามสกุลหวงเสียงดัง “สกุลหยางถูกกวาดล้าง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสกุลเราหรือ”
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่คมชัด ในห้องที่เงียบสงัดยิ่งทำให้เสียงดังฟังชัดกว่าเดิม
คุณนายสามสกุลหวงหน้าซีด มุมปากของนางกระตุก แต่สุดท้ายนางก็พูดอะไรไม่ออก
ไท่ฮูหยินขยิบตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที นางจึงพูดกับฮูหยินสามเบาๆ “เกิดเรื่องขึ้นกะทันหันเช่นนี้ คุณนายสามสกุลหวงคงจะตกใจ เราไปชงชาให้คุณนายสามกันเถิดเจ้าค่ะ!” พูดจบ ก็ไม่สนใจว่านางยอมไปกับตัวเองหรือไม่ สืออีเหนียงลากนางออกไปข้างนอกทันที