“มนุษย์ล้วนกลัวการเผชิญหน้า” เหวินอี๋เหนียงกระซิบกระซาบกับสืออีเหนียงในเรือนหน่วนเก๋อ “หากข้าไป ก็กลัวว่านางจะเสนอเงื่อนไข หากข้าไม่ไป คนอย่างนางข้ารู้จักดีที่สุดเจ้าค่ะ แค่นี้ก็ทำให้นางเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงแม่สามีของชิวหงที่ไม่เคยเห็นอะไร ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะทำให้ชิวหงลำบากใจ!” นางพูดด้วยท่าทีขอความคิดเห็นจากสืออีเหนียง
จะว่าไปแล้ว เหวินอี๋เหนียงกลัวที่จะไปเจอกับคุณนายสามสกุลเหวินใช่หรือไม่!
ไม่เช่นนั้น ปฏิเสธไป ไม่ว่าคุณนายสามสกุลเหวินคนนั้นจะเก่งกาจขนาดไหน ไม่ว่านางต้องการอะไร แม่สามีของชิวหงจะสามารถตกปากรับคำแทนเหวินอี๋เหนียงที่เป็นนายหญิงได้อย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงถามนาง กลับ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “ขอร้องให้ท่านโหวส่งผู้ดูแลไปเจอท่านอาสะใภ้สามของข้าแทนได้หรือไม่”
เช่นนี้ ก็จะกลายเป็นเรื่องของสกุลเหวินและสกุลสวี และบางทีนี่อาจจะเป็นเป้าหมายของคุณนายสามสกุลเหวินก็ได้
เหวินอี๋เหนียงกลัวอะไรกันแน่
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ถามนางอย่างตรงไปตรงมา “หรือว่าเจ้ามีจุดอ่อนอะไรอยู่ในมือของคุณนายสามสกุลเหวิน? ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงมารดาของตัวเอง แต่ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่จวนสกุลสวี สกุลเหวินก็ไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่าม เหตุใดเจ้าถึงกลัวที่จะเจอกับคุณนายสามสกุลเหวินเล่า”
เหวินอี๋เหนียงหน้าแดงขึ้นมาทันที แต่นางกลับไม่ตอบอย่างตรงประเด็น “ปีที่ฮูหยินพึ่งจะแต่งเข้ามา คุณนายสามสกุลเหวินนำเงินห้าพันตำลึงมามอบให้ข้า บอกให้ข้าแนะนำฮูหยินให้นางรู้จักเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ นางจะไม่เข้าใจได้เช่นไร อดหัวเราะเยาะไม่ได้ “เจ้ารับเงินมาแต่กลับไม่ทำตามที่นางขอ!”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ” เหวินอี๋เหนียงรีบพูด “ข้าไม่ได้ไม่ทำตามที่นางขอ แต่แค่ทำไม่สำเร็จเท่านั้นเอง!”
หรือว่ารู้สึกผิด…หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนจัดการดีที่สุด เหวินอี๋เหนียงจะได้ให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนรับผิดชอบ ส่งสัญญาณให้สกุลเหวินว่าตัวเองไม่มีอำนาจอะไรแล้ว ถือโอกาสนี้ตัดสัมพันธ์กับสกุลเหวิน ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่เหวินอี๋เหนียงเป็นอนุภรรยาของเขา ต่อไปเกิดเรื่องอันใดขึ้น คนอื่นก็อาจจะคิดว่าเขาเป็นคนสั่งหรือเขามีส่วนเกี่ยวข้อง แทนที่จะรอให้ถึงตอนนั้นแล้วอธิบายอะไรไม่ได้ ไม่สู้ออกหน้าช่วยเหวินอี๋เหนียงจัดการโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว
แต่ว่าตอนนี้สวีลิ่งอี๋กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของสกุลหวง ไม่รู้ว่าเขาจะมีเวลาหรือมีอารมณ์มายื่นมือช่วยเหวินอี๋เหนียงจัดการกับเรื่องนี้หรือไม่!
นางครุ่นคิด จากนั้นก็บอกให้จู๋เซียงไปเชิญสวีลิ่งอี๋มา
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้กลับมา แต่ให้ผู้ดูแลจ้าวมาหานางแทน
“ท่านโหวบอกว่า หากฮูหยินมีเรื่องอันใดก็บอกบ่าวได้เลยขอรับ!”
ผู้ดูแลจ้าวคือผู้ดูแลฝ่ายรายงาน เป็นดั่งแขนซ้ายของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงมีมารยาทกับเขา นางบอกให้สาวใช้ไปยกเก้าอี้มาให้เขานั่งผ่านผ้าม่าน จากนั้นก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเสียงเบา
ผู้ดูแลจ้าวได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันที แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และความสัมพันธ์ของสกุลสวีกับสกุลเหวิน เขาไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวไปรายงานท่านโหวก่อนดีกว่าขอรับ”
สืออีเหนียงเองก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ จึงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ กำชับให้จู๋เซียงออกไปส่งผู้ดูแลจ้าว
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็มีบ่าวรับใช้มารายงาน “ท่านโหวบอกว่า ให้ฮูหยินเละเหวินอี๋เหนียงพักผ่อนให้สบายใจ เขาส่งคนไปเจอคุณนายสามสกุลเหวินแล้วขอรับ”
พวกนางสองคนพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหวินอี๋เหนียงหยิบเงินสองตำลึงออกมาด้วยความดีใจ มอบให้บ่าวรับใช้คนนั้นในนามของสืออีเหนียง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา “ชิวหงยังรอข้าอยู่ที่เรือน ข้าไปบอกนางเร็วหน่อย นางจะได้รีบกลับไป!”
สืออีเหนียงบอกให้ชิวอวี่ออกไปส่งนาง
จากนั้นป้าซ่งก็เข้ามา “ฮูหยินเจ้าคะ เฉียวอี๋เหนียงไปที่ประตูหลังเจ้าค่ะ!”
ไปประตูหลังตอนนี้?
สืออีเหนียงครุ่นคิด “รู้หรือไม่ว่านางไปทำอะไร”
“ดูเหมือนว่าคุณนายสามสกุลเฉียวจะมาหาเจ้าค่ะ!”
มาตอนไหนไม่มา แต่กลับมาตอนนี้!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า ป้าซ่งก็ไม่พูดอะไรอีก นางเดินออกไปเงียบๆ
*****
อีกด้านหนึ่ง ป้าหยางมองดูตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงในมือของหยางอี๋เหนียง น้ำตาพลันคลอเบ้า “อี๋เหนียงเจ้าคะ ท่าน…ท่านไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหนกัน”
“ไม่ต้องสนใจหรอก!” หยางอี๋เหนียงพูดเสียงเบา “เป็นเงินที่ถูกต้อง ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบ นางก็กระซิบบอกป้าหยาง “นำตั๋วเงินนี้ไป หาคนไปสืบถามเรื่องสกุลหยาง”
ป้าหยางทำสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ เกรงว่าแม้มีเงินก็หาคนไม่ได้กระมัง…”
“คนที่เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายมีเยอะ แต่คนที่มอบถ่านให้กลางหิมะกลับมีน้อย” หยางอี๋เหนียงพูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้ สกุลหยางแค่ถูกกวาดล้าง ฮ่องเต้จะจัดการสกุลหยางอย่างไรก็ยังไม่รู้ อาจจะแค่สั่งสอนเช่นนี้ หรืออาจจะล้างโคตรสกุลหยางก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ตอนนี้มันยังไม่ชัดเจน ทุกคนล้วนได้แต่คาดเดาอยู่ในใจ หากผ่านไปอีกสองสามวัน สกุลหยางไม่เป็นอะไร เราก็จะไม่เป็นอะไร แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับสกุลหยาง…ถึงตอนนั้นหากเราจะใช้เงินหาคนไปสืบข่าว ก็คงจะไม่ง่ายเช่นนี้แล้ว”
ป้าหยางคิดตามดูแล้วก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
นางจึงรับตั๋วเงินมาแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว
ถึงยามเย็น ก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมา
“เจี้ยนหนิงโหว โซ่วชังปั๋วและบรรดาสตรีถูกส่งไปที่ศาลต้าหลี่”
มือและเท้าของหยางอี๋เหนียงเย็นเฉียบในทันที สีหน้าของนางซีดเซียว “ซวยแล้ว ซวยแล้ว” นางพูดต่ออีกว่า “บรรดาผู้หญิงยังถูกส่งไปที่ศาลต้าหลี่ เห็นได้ชัดว่าไม่ไว้หน้าพวกเขาเลยแม้แต่น้อย…อย่างเบาที่สุดก็คงจะถูกเนรเทศ!”
ป้าหยางไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แต่นางรู้ว่าหยางอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด ได้ยินเช่นนี้นางก็ก้มหน้าสะอื้นไห้ “ทรัพย์สมบัติของตระกูลถูกกวาดล้างเช่นนี้…แล้วจะให้เราไปพึ่งใครเล่าเจ้าคะ…”
หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนั้นนางก็ตกใจ รีบพูดว่า “ท่านป้าอย่าร้องไห้ไปเลย รีบช่วยข้าหาคนไปสืบว่าพี่หญิงที่แต่งเข้าไปในสกุลจงซานโหวและพี่หญิงที่แต่งเข้าไปในสกุลเหลียงเก๋อเหล่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง!”
ป้าหยางมีความหวังขึ้นมา “บางทีคุณหนูสองคนนั้นอาจจะขอให้สกุลสามีช่วยไปกราบทูลต่อฮ่องเต้ ท่านโหวและท่านปั๋วอาจจะมีโอกาสรอดเจ้าค่ะ!”
หากพวกเขารอด ตัวเองและหยางอี๋เหนียงก็จะได้ชีวิตที่สงบสุขในจวนสกุลสวีต่อไป!
ป้าหยางรีบเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ออกไปหาคนไปสืบถาม
*****
สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่อึมครึม
สืออีเหนียงกำลังตบก้นจิ่นเกอกล่อมเขานอนหลับ เห็นเช่นนี้นางก็รีบขยิบตาให้จู๋เซียง
จู๋เซียงรีบเดินเข้าไปรับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็พาสาวใช้ในห้องออกไปข้างนอกจนหมด
“จิ่นเกอหลับอยู่หรือ!” สวีลิ่งอี๋วางมือทั้งสองข้างไว้บนเตียงเตา โอบตัวภรรยาและบุตรชายเอาไว้ในอ้อมแขน เขามองดูใบหน้าที่หลับสนิทของจิ่นเกอด้วยสายตาที่อ่อนโยน
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงแล้วพูดเสียงเบา “พึ่งจะหลับไปเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋จึงนั่งคุยกับนางบนเตียง
“สิ่งนี้เจ้าเก็บไว้” เขายื่นซองเอกสารให้นาง “คนที่ไปกวาดล้างจวนสกุลหยางคือรองเเม่ทัพที่อยู่กับเจี่ยงอวิ๋นเฟยมาหลายปี ตอนนั้นเจี่ยงอวิ๋นเฟยสู้รบพ่ายแพ้ ข้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้ พรุ่งนี้เจ้านำไปให้คุณนายสามสกุลหวงดู จากนั้นก็เผามันทิ้งต่อหน้าคุณนายสามสกุลหวงเถิด”
นี่คือสิ่งที่หย่งชังโหวซื่อจื่อเป็นกังวลใช่หรือไม่
ทำเช่นนั้น คนของสกุลหวงก็เห็นหลักฐานแล้ว รู้ว่าสวีลิ่งอี๋นำของออกมาแล้ว
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็นำของสิ่งนั้นซ่อนไว้ในช่องตรงหัวเตียงต่อหน้าสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอไปส่งให้แม่นมกู้ที่เรือนหน่วนเก๋อ แล้วกลับมานอนพักผ่อนกับสืออีเหนียง
“เรื่องของเหวินอี๋เหนียง เจ้าดูให้ดี อย่าให้นางไปยุ่งกับคนในสกุลเหวินอีก” ในความมืดมิด สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงแล้วลูบหลังนางเบาๆ กระดูกที่โผล่ออกมาแค่นิดหน่อยของนาง พลอยทำให้จิตใจผ่อนคลายลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ฟังจากน้ำเสียงของผู้ดูแลจ้าว สถานการณ์เช่นนี้ สกุลเหวินไม่เพียงแต่ไม่อยู่นิ่งๆ แล้วยังคิดว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว…คุณชายสามสกุลเหวินไม่รู้ความเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงยอมทนครั้งนี้เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต แต่มันอาจจะไม่มีครั้งที่สอง…”
ตั้งแต่นางไม่สบาย สวีลิ่งอี๋ก็ชอบลูบหลังนาง ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่มักจะมีความรู้สึกคลุมเครือ แต่ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกถึงความรักและเอ็นดูมากกว่า
นางนอนบนแขนของเขาแล้วพูดเบาๆ “เมื่อก่อนที่ท่านโหวและสกุลเหวินทำกิจการด้วยกัน คือทำตามคำสั่งหรือเจ้าคะ”
ไม่เช่นนั้น สกุลสวีคงจะไม่กล้าขนาดนี้!
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร แต่มือที่ลูบหลังนางกลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงจึงไม่ถามอะไรอีก นางพูดเปลี่ยนเรื่อง “ทางฝั่งของเหวินอี๋เหนียง ข้าจะพูดกับนางให้ชัดเจน นางไม่ใช่คนโง่ แต่แค่บางครั้งไม่มีคนแนะนำ ครั้งนี้ท่านโหวบอกให้นางจัดการร้าน นางใช้เวลาแค่สองสามวันก็จัดการเรียบร้อยแล้ว…”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ข้าคิดดูแล้ว หากไม่อยากให้เหวินอี๋เหนียงก่อเรื่อง วิธีที่ดีที่สุดก็คือแก้ปัญหาของเหวินไท่ฮูหยิน ข้าคิดว่า ไม่สู้ให้เหวินอี๋เหนียงส่งคนของตัวเองไปหยางโจวไปบอกกับเหวินไท่ฮูหยินว่า นายท่านสกุลเหวินเสียชีวิตไปแล้ว ลูกหลานล้วนโตกันหมดแล้ว ไม่สู้ให้สกุลเหวินสร้างวัดที่ชายแดนให้นาง แล้วก็ซื้อที่ดินเพิ่ม ย้ายไปอยู่ที่วัด แล้วบอกคนอื่นว่าออกบวช ข้าจะช่วยไปพูดให้ หากวันไหนเกิดเรื่องขึ้นกับสกุลเหวิน เหวินไท่ฮูหยินออกบวชแล้ว ใครก็ทำอะไรนางไม่ได้!”
สืออีเหนียงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี “กลัวแค่ว่าสกุลเหวินจะไม่เห็นด้วยกระมัง แต่หากพูดกับเหวินไท่ฮูหยินได้ก็น่าจะดีเจ้าค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลองดู พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกเหวินอี๋เหนียงเอง”
สวีลิ่งอี๋กอดนาง หอมแก้มของนางแล้วพูดว่า “รีบนอนเถิด พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมส่งคนไปเชิญคุณนายสามสกุลหวงมาเล่า ของสิ่งนี้เก็บเอาไว้นานไม่ได้”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” เรื่องที่ตัวเองกังวลล้วนแก้ไขไปหมดแล้ว นางหลับตาลง จากนั้นก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
*****
คุณนายสามสกุลหวงมองดูของสิ่งนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วยังถูกสืออีเหนียงราดน้ำชาใส่ ของสิ่งนั้นกลายเป็นก้อนสีดำสนิท นางพลันน้ำตาคลอเบ้าแล้วจับมือของสืออีเหนียงขึ้นมากุมเอาไว้ “ข้าคงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ ข้าจะกลับไปรายงานท่านโหวประเดี๋ยวนี้!”
สำหรับสกุลหวงที่อยู่อย่างร้อนรนไม่เป็นสุข นี่นับว่าเป็นยาที่ทำให้จิตใจของพวกเขาสงบลง
สืออีเหนียงเข้าใจความรู้สึกของนาง ส่งนางออกไป จากนั้นก็ไปที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง
“ท่านโหวว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะออกหน้าจัดการแทนนาง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นอกเห็นใจและใจกว้างกับนาง
สืออีเหนียงบอกเล่าเจตนาของสวีลิ่งอี๋ให้เหวินอี๋เหนียงฟัง
เหวินอี๋เหนียงตกใจ “เช่นนั้นพี่ชายของข้าแล้วคนอื่นๆ เล่า”
นี่คือได้คืบจะเอาศอกเช่นนั้นหรือ
สืออีเหนียงพูดอย่างเอือมระอา “หากคนในสกุลเหวินฟังคำแนะนำของท่านโหวตั้งแต่แรก แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร!”
เหวินอี๋เหนียงมีสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงก็ไม่ฝืนอีก
เรื่องที่ควรช่วยก็ช่วยแล้ว คงต้องดูว่าพวกเขาจะตัดสินใจทำอย่างไรต่อไป!
นางลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
*****
สีหน้าของหยางอี๋เหนียงคลุมเครือ
นางพูดทวนด้วยเสียงเบา “คุณนายสามสกุลถังไม่สบาย ถูกส่งตัวไปรักษาที่วัด ส่วนสกุลเหลียงก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร…”
ป้าหยางพยักหน้าซ้ำๆ “คนที่มารายงานพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ!”