หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ นางก็กำผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมหังโจวแน่น
ป้าหยางจึงเอ่ยปลอบใจนาง “สกุลหยางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คุณหนูทั้งสองท่านคงจะเสียใจเจ้าค่ะ คุณนายสามสกุลถังไม่สบาย ก็เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ…”
ไม่รอให้นางพูดจบ หยางอี๋เหนียงก็ส่ายหน้า “จงซานโหวเป็นสกุลขุนนาง แค่ประจบสอพลอฮ่องเต้ก็พอแล้ว เขาจึงเย่อหยิ่งอีกทั้งยังโอ้อวด สกุลหยางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จู่ๆ คุณนายสามสกุลถังก็ไม่สบายทันที นี่คือคำอธิบายได้ดีที่สุด แต่สกุลเหลียงเป็นสกุลนักปราชญ์ ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ถึงแม้ว่าจะมีอะไรไม่พอใจ พวกเขาจึงเก็บไว้ในใจ เกรงว่าพี่หญิงทั้งสองคนคงจะถูกสกุลสามีทอดทิ้งเสียแล้ว…” พูดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกเศร้าโศก
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ!” ป้าหยางแสร้งทำเป็นใจเย็น “อี๋เหนียงคิดมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวให้คนคนนั้นไปสืบดูแล้ว ไปสืบดูว่าคุณนายสามสกุลถังเป็นอะไร แล้วสองสามวันนี้คุณนายสามสกุลเหลียงทำอะไรอยู่เจ้าค่ะ… “
เวลานี้ ความโชคดีโดยบังเอิญคงกำหนดชะตาชีวิตคนได้!
หยางอี๋เหนียงสะบัดมือแล้วไม่พูดอะไรอีก
ป้าหยางจึงเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
*****
แต่เฉียวเหลียนฝังราวกับนั่งไม่ติด
ท่านแม่มาหาตน บอกว่าสกุลหยางถูกกวาดล้าง คนในสกุลเฉียวล้วนแต่หวาดกลัว เฉียวฮูหยินจึงอยากมาหาสวีลิ่งอี๋ ท่านแม่บอกนางว่า บุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ราวกับน้ำที่สาดออกไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นสกุลเฉียวไม่ได้ออกหน้าให้นาง หากเฉียวฮูหยินมาหานาง ให้นางรับรู้ก็พอแล้ว แต่อย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาด แล้วยังบอกอีกว่า สกุลขุนนางหลายสกุลในเยี่ยนจิงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง บางทีสกุลสวีก็อาจจะเดือดร้อน หากนางยังไปหาสวีลิ่งอี๋เพราะเรื่องของสกุลเฉียวตอนนี้ คงทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจ บอกให้นางอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด
แต่ข่าวที่ซิ่วหยวนได้ยินวันนี้กลับไม่ดีเลย
บอกว่าศาลต้าหลี่กวาดล้างสมุดบัญชีของสกุลหยางกว่ายี่สิบสามสิบบัญชี สกุลหยางไม่เพียงแต่ติดต่อกับขุนนางต่างแคว้น รังแกผู้ที่ไม่มีอำนาจ แล้วยังทำเรื่องผิดกฎหมาย เอารัดเอาเปรียบผู้คน…ไม่เพียงแต่มีจวนเฉิงกั๋วกงและจวนจงซานโหวที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แม้แต่ขุนนางในราชสำนักทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอันตราย เยี่ยนจิงกำลังวุ่นวายอลหม่าน
“หรือว่า เราไปหาท่านโหวดีเจ้าคะ?” ซิ่วหยวนเห็นเฉียวเหลียนฝังนั่งเงียบอยู่ตรงนั้น นางจึงออกความคิดเห็นเบาๆ
เฉียวเหลียนฝังตกใจ
ซิ่วหยวนอธิบายอีกว่า “วันนั้นตอนที่ท่านเจอกับนายหญิงสามที่ประตูหลัง ระหว่างทางเราก็เจอกับคนของห้องเย็บปักถักร้อยและโรงซักล้าง แล้วยังนั่งดื่มชาที่ห้องของท่านป้าเฝ้าประตู คนเหล่านั้นล้วนแต่ประจบสอพลอฮูหยิน เกรงว่าฮูหยินน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว เราไม่สู้ไปถามท่านโหวตรงๆ เสียยังจะดีกว่าเจ้าค่ะ… “ พูดจบ นางก็เกลี้ยกล่อมเฉียวเหลียนฝัง “ท่านโหวไม่มา อี๋เหนียงก็ไม่ไปหาเขา หากเป็นเช่นนี้ เมื่อไรมันจะจบสิ้นเล่าเจ้าคะ หรือว่าท่านจะรอให้ท่านโหวมาหาท่าน? ฮูหยินพึ่งจะคลอดคุณชายน้อยหก ท่านโหวโปรดปรานเขา ต้องได้เห็นเขาทุกวันถึงจะสบายใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มองดูเขาหนึ่งปี มองดูเขาสองปี หรือว่ายังจะมองเขาเช่นนี้ไปเป็นสิบปี? อี๋เหนียงต้องคิดถึงตัวเองให้มากๆ นะเจ้าคะ!”
เฉียวเหลียนฝังนึกถึงใบหน้าที่เย็นชาของสวีลิ่งอี๋ นางเม้มปากแต่ไม่พูดอะไร
ซิ่วหยวนรู้นิสัยของนางดี นางจึงถอนหายใจเบาๆ รับใช้เฉียวเหลียนฝังนอนกลางวัน บอกให้สาวใช้คนหนึ่งอยู่เฝ้าเฉียวเหลียนฝัง ส่วนตัวเองเดินออกไปเงียบๆ
ลานเล็กรูปทรงสี่เหลี่ยม พื้นยังสะอาดและเป็นระเบียบเหมือนเดิม ดอกพุดตานข้างบันไดนั้นโตขึ้นกว่าตอนที่มาไม่น้อย แต่บรรยากาศกลับเงียบเหงา ไม่มีความคึกคักเฉกเช่นเมื่อก่อน
วันเวลาเช่นนี้ หนึ่งวันก็คือหนึ่งวัน หนึ่งเดือนก็เหมือนกับหนึ่งวัน เวลาราวกับควบแน่นกลายเป็นน้ำแข็ง
มีเสียงหัวเราะครื้นเครงของอิ๋นเชี่ยวดังขึ้นมาหน้าประตู ทำลายบรรยากาศเงียบสงบของลานเล็ก
“เราจะเทียบเทียมพี่หญิงที่รับใช้ฮูหยินได้เช่นไรเล่าเจ้าคะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ผู้ดูแลว่านที่แต่งงานกับพี่ปินจวี๋ตอนนี้ก็เป็นผู้ดูแลระดับสองที่ฝ่ายทะเบียน ผู้ดูแลก่วนที่แต่งงานกับพี่หู่พั่วก็ทำงานที่ร้านธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ส่วนผู้ดูแลเฉาที่แต่งงานกับพี่เยี่ยนหรงตอนนี้ก็ไปทำงานที่ฝ่ายรายงาน สาวใช้อี๋เหนียงใหญ่อย่างพวกข้า เทียบไม่ได้เลยสักนิด…”
ทันใดนั้นก็มีคนตำหนิเบาๆ “พูดอะไรเหลวไหล ใช้คำว่า ’ใหญ่’ มั่วซั่วเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนที่เจ้าเข้ามา ใครเป็นคนสอนกฎเกณฑ์เจ้า ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้!” นั่นคือเสียงของตงหง
“ไอ๊หยา!” เสียงหัวเราะของอิ๋นเชี่ยวเต็มไปด้วยความประจบสอพลอ “ตอนที่ข้าเข้ามามารดาของข้าบอกว่าต้องเรียนรู้การพูดจาและทำงานกับบรรดาพี่หญิงของเหวินอี๋เหนียง ดูข้าสิ ขอบพระคุณที่พี่หญิงแนะนำ ต่อไปข้าไม่กล้าพูดเช่นนี้อีกแล้ว!” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “พี่หญิงกำลังจะไปไหนเจ้าคะ ข้าไม่มีอะไรทำพอดี หรือว่า พี่หญิงจะนั่งที่ห้องของข้า ข้าช่วยพี่หญิงจัดการเอง! ห้องของข้ายังมีขนม พี่หญิงลองชิมดูสิ ท่านชอบหรือไม่”
ซิ่วหยวนได้ยินเช่นนี้ นางก็อ้าปากอยากจะเรียกอิ๋นเชี่ยวกลับมา แต่คำพูดมันกลับติดอยู่ที่หน้าอก นางเงียบอยู่นาน จากนั้นก็ได้ยินตงหงพูดว่า “ขอบใจน้ำใจของน้องหญิง! อี๋เหนียงบอกให้ข้าไปดูว่าฮูหยินอยู่ที่เรือนหรือไม่ หากเป็นเรื่องอื่น ข้าคงจะรับน้ำใจของน้องหญิง ให้น้องหญิงช่วยจัดการ แต่เรื่องนี้คงจะไม่ได้ น้องหญิงนั่งพักก่อนเถิด ข้ารีบไปประเดี๋ยวก็กลับมา!”
“ข้าไปส่งพี่หญิงเองเจ้าค่ะ!”
อิ๋นเชี่ยวพูดจบ ก็มีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาดังขึ้นมา
นกสองหัวจริงๆ!
บ่าวรับใช้ของอี๋เหนียง ใช้ไม่ได้สักคน!
หากนางออกจวนไป อี๋เหนียงจะทำเช่นไร?
คิดเช่นนี้ นางก็ชะงักเท้าแล้วยืนเหม่อลอยอยู่ใต้ชายคา
ออกจากจวนไป? แต่ไปไหนเล่า ตอนนี้สกุลเฉียววุ่นวายเช่นนี้ แม้แต่นายหญิงสามที่เป็นม่ายมาหลายปี ครั้งก่อนที่มาปลอบใจอี๋เหนียงได้พูดถึงเรื่องที่สกุลเฉียวมีไร่อยู่ที่อำเภอต้าซิ่งสามร้อยแปลง…ออกไปจากสกุลสวี แล้วตนจะไปที่ไหน
ทันใดนั้น นางพลันนึกถึงเจี๋ยเซียง
เจี๋ยเซียงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่นางยังคงอยู่ที่จวนสกุลสวีไม่ใช่หรืออย่างไร
*****
“ฮูหยินไม่อยู่ที่เรือนเช่นนั้นหรือ?” เหวินอี๋เหนียงรู้สึกผิดหวัง
ตงหงยิ้มแล้วพูดว่า “บอกว่าหวงฮูหยินของจวนหย่งชังโหวมาเจ้าคะ ไท่ฮูหยินบอกให้อวี้ป่านมาเชิญฮูหยิน บอกว่าไปปรึกษากันเรื่องงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามเจ้าค่ะ!”
คนข้างนอกกำลังตื่นตระหนก ในจวนยังจะจัดงานเลี้ยงวันที่สามเดือนสาม?
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังก็ประหลาดใจ
แต่นางนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงตั้งหลายวัน หากไม่ถือโอกาสนี้พูดออกมา เกรงว่าต่อไปคงจะไม่มีโอกาสแล้ว
คิดเช่นนี้ นางก็ลุกขึ้นยืน “ไป เราไปรอฮูหยินที่เรือนหลัก!”
ตงหงตอบรับ จากนั้นก็รับใช้เหวินอี๋เหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้า
เหวินอี๋เหนียงยืนรออยู่ใต้ชายคาเรือนหลักประมาณหนึ่งชั่วยาม สืออีเหนียงก็กลับมา
“มีเรื่องอันใดก็ให้สาวใช้ไปรายงานข้าก็ได้” นางเชิญเหวินอี๋เหนียงเข้าไปข้างใน “โชคดีที่วันนี้อากาศดี หากมีลมมีฝน เจ้าเป็นหวัดไปจะทำเช่นไร”
สืออีเหนียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าทำไม เหวินอี๋เหนียงกลับรู้สึกเสียใจ นางยิ้ม เดินไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงเตาแล้วพูดเสียงเบา “ฮูหยินเจ้าคะ ที่ข้ามาหาท่านครั้งนี้ ก็เพราะอยากมาขอความเมตตาจากฮูหยินเจ้าค่ะ!”
ไม่ว่านางจะมาเพราะเรื่องอันใด แต่สวีลิ่งอี๋บอกไว้แล้ว จะทำอะไรนอกเหนือจากนั้นไม่ได้
สืออีเหนียงพูดว่า “เจ้าลองบอกสิว่าเรื่องอันใด!”
เหวินอี๋เหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าอยากส่งบิดาของชิวหงไปหยางโจวเจ้าค่ะ ฮูหยินโปรดเมตตาด้วยเถิด!”
ด้านหนึ่งคือมารดาแท้ๆ อีกด้านหนึ่งคือพี่น้อง หากตัวเองอยู่ตรงจุดนั้น ก็คงจะตัดสินใจลำบากเหมือนกัน…เช่นนี้ก็เท่ากับการตัดแขนตัดขาตัวเองใช่หรือไม่
สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วพูดเสียงเบา “ต้องส่งคนไปส่งเขาหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงน้ำตาคลอเบ้า “เรื่องนี้พึ่งจะเริ่มต้น ข้าไม่อยากให้ท่านโหวและฮูหยินเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร
เหวินอี๋เหนียงก้มหน้าจิบชา
พวกนางสองคนนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ล้วนแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร!
สองสามวันต่อมา บิดาของชิวหงก็ออกเดินทางไปหยางโจวเงียบๆ เก๋อเหล่าสองคนถูกคุมขังอยู่ในศาลต้าหลี่ด้วยข้อหาลักลอบทำการค้าผิดกฎหมาย
สวีลิ่งอี๋ปิดประตูต้อนรับแขก มาหาจิ่นเกอทุกวันยามเที่ยง แต่ยามเย็นกลับไปนอนที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น มีหลิวปัวและจ้าวอิ่งคอยรับใช้อยู่ที่นั่น
สืออีเหนียงถามเขา “วันที่สามเดือนสามของปีนี้ ท่านแม่อยากจัดเหมือนปีก่อนๆ เชิญญาติสนิทมิตรสหายมาดูงิ้วที่จวน ท่านโหวคิดอย่างไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องบอกว่าดูงิ้วหนึ่งวัน จะดูสักสามวันก็ไม่เป็นไร ฮ่องเต้รู้เช่นนี้เขาก็คงดีใจ!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เห็นด้วย
สืออีเหนียงจึงโล่งใจ นางยิ้ม “ระมัดระวังตั้งแต่เริ่มทำก็จะไม่มีข้อผิดพลาด ทำอะไรก็ต้องระมัดระวังเอาไว้!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขายิ้มแล้วหอมแก้มสืออีเหนียง “ข้ารู้แล้ว!” พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่กลับมีกลิ่นอายของความรักที่ลึกซึ้ง ทำเอาหัวใจของสืออีเหนียงเต้นแรง
*****
หยางอี๋เหนียงเองก็กำลังหัวใจเต้นแรงเช่นกัน
นางจับมือป้าหยางแน่น “ท่านว่าอะไรนะ ต้าเป่ามาหาข้า?”
ต้าเป่าคือคนงานในครอบครัวนาง เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ที่จวนมีเรื่องสำคัญอะไรก็มักจะให้เขาเป็นคนจัดการ
สีหน้าของป้าหยางเคร่งขรึม “หากไม่ใช่เพราะว่าฮูหยินให้จู๋เซียงมารายงาน บ่าวก็คงไม่รู้เจ้าค่ะ! ได้ยินมาว่าเดินไปเดินมานอกจวนตั้งสองสามวัน แต่ก็หาคนเข้ามารายงานไม่ได้ แล้วยังถูกคนเฝ้าประตูทุบตี หากไม่ใช่เพราะว่าเขาเอะอะโวยวายบอกว่าเป็นญาติของท่าน เกรงว่าคงจะตายไปตั้งนานแล้วกระมัง”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” หยางอี๋เหนียงยืนขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “ท่านโหวรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง”
“ไม่รู้ว่าฮูหยินบอกท่านโหวแล้วหรือยังเจ้าค่ะ!” ป้าหยางพูด “เขารออยู่ที่ประตู บ่าวไปหาเขาแล้ว ยัดเงินให้คนพวกนั้นสองสามตำลึง บอกให้เขาหาหมอมาดูต้าเป่า จากนั้นก็รีบกลับมารายงานท่านเจ้าค่ะ!”
หยางอี๋เหนียงขมวดคิ้วแน่น “ทำไมท่านป้าถึงไม่รู้อะไรเช่นนี้! ตอนนี้สกุลหยางถูกกวาดล้าง ทุกคนล้วนแต่อับอายขายขี้หน้า เขามาหาข้า เหตุใดถึงไม่บอกข้าก่อน หากท่านโหวสงสัยว่าคนของสกุลหยางมาขอร้องอะไร…ถึงตอนนั้นข้าคงจะแก้ตัวไม่ได้แล้ว!”
ตอนนั้นป้าหยางไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินเช่นนี้นางก็ตกใจ “เช่น เช่นนั้นตอนนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“ทำผิดแล้วก็ต้องทำต่อไป!” หยางอี๋เหนียงพูด “ข้าจะไปขอร้องฮูหยิน ให้นางอนุญาตให้ข้าเจอกับต้าเป่า หากฮูหยินอนุญาต ข้าก็จะเจอกับเขาที่เรือนหลักของฮูหยิน ถึงตอนนั้นเขาพูดอะไร แล้วข้าตอบกลับไปเช่นไร ก็ให้คนในเรือนของฮูหยินได้ยินอย่างกระจ่างชัด!”
“เช่น เช่นนั้นหากท่านโหวส่งเขามารายงานจริงๆ ล่ะเจ้าคะ…”
“ข้ายิ่งจะเจอเขาเป็นการส่วนตัวไม่ได้” หยางอี๋เหนียงพูดด้วยท่าทีที่หนักแน่นและสีหน้าที่แน่วแน่ ไม่มีความอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม “ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามาในจวนสกุลสวี ข้าไม่เคยทำผิดกฎเกณฑ์อะไร ท่านโหวน่าจะรู้อยู่แก่ใจ ฟ้าต้องมีฝน สตรีต้องแต่งงาน คนของสกุลหยางมาหาข้า บุตรสาวของตระกูลอย่างข้าจะทำอะไรได้” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดพูดทันที
นางเป็นคนรักในศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้ต้องมาเผชิญกับความยากลำบากของครอบครัว ถึงแม้ว่าจะเป็นคนใจแข็งแค่ไหน ก็คงจะใจอ่อนกระมัง!
คิดเช่นนี้ หยางอี๋เหนียงก็บอกป้าหยางเบาๆ “เราไปหาฮูหยินกันเถิด!”
ป้าหยางขานรับ “เจ้าค่ะ” แต่กลับไม่ขยับตัวไปไหน พูดขึ้นมาว่า “หากนายท่านส่งต้าเป่ามา…”
“เช่นนั้นก็ดี!” หยางอี๋เหนียงพูดเสียงเบาราวกระซิบ “เขามาหาข้า เคยมีเรื่องดีซะที่ไหน!”
สีหน้าของป้าหยางหม่นหมองลง