ตอนที่ 503 ผู้อยู่อาศัยบ้านรื้อถอนก่อเรื่อง
ตอนที่ทั้งสองแยกทางกัน หลินม่ายก็กำชับเถาจืออวิ๋นให้ระวังตัวอีกครั้ง
หม่าเทาสองพ่อลูกวิ่งหนีไปแล้ว เธอกลัวจริงๆ ว่าพวกเขาจะวิ่งออกมาทำร้ายเถาจืออวิ๋นอีกรอบ
เถาจืออวิ๋นส่งยิ้มให้เธอ “ฉันเดินทางถนนใหญ่ ถนนใหญ่มีคนเยอะแยะ คงไม่มีอันตรายหรอก”
หลินม่ายไปตรวจดูงานที่โรงงานเสื้อผ้ารอบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไร จึงไปที่ห้องทำงานของตัวเอง โทรศัพท์หาเคอจื่อฉิง ถามหล่อนว่ายังหาถุงน่องขายาวสำหรับใส่กับกระโปรงได้อีกไหม
เคอจื่อฉิงพยักหน้า “ในโกดังยังมีอยู่เยอะเลย คนที่ต้องการของแบบนี้มีน้อยน่ะ”
หลินม่ายดีใจอย่างมาก แล้วถาม “ยังเป็นราคาเดิมอยู่ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“อย่างนั้นก็เอาสามแสนคู่!”
ถึงอย่างไรสามแสนคู่ก็เป็นเงินแค่สามหมื่นหยวน สำหรับหลินม่ายในตอนนี้แล้วนับว่าไม่เท่าไหร่ ต่อให้ล้มเหลวแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น
หลังคุยโทรศัพท์กับเคอจื่อฉิงเสร็จ หลินม่ายก็โทรหาจ้าวเลี่ยงอีกครั้ง ให้เขาไปถามที่ห้องแช่แข็งขนาดหมื่นตัน ว่าอุปกรณ์ทำความเย็นของพวกเขานั้นซื้อมาจากที่ไหน หลังถามได้เรื่องโรงงานแล้วให้รายงานกับเธอ เธอจะจัดเตรียมช่างเทคนิคไปซื้ออุปกรณ์ทำความเย็นที่โรงงานด้วยกันกับเขา และติดตั้งห้องแช่เย็นขนาดเล็กที่ตลาดสดฝูตัวตัวสักห้อง
และยังสั่งเขาว่าก่อนจะถึงช่วงเทศกาลให้หาซื้อแอปเปิ้ลคุณภาพดีไว้สักหน่อย แล้วแบ่งให้พนักงานทุกคนคนละกล่อง
แม้ว่าแอปเปิ้ลหนึ่งกล่องจะไม่ใช่เงินมากมาย แต่หากบริษัทแจกของสำหรับวันหยุดเทศกาลในเทศกาลประจำปี ก็สามารถเพิ่มความกระตือรือร้นในการทำงานของพนักงานและเพิ่มความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพวกเขาด้วย คุ้มค่าอย่างมากกับการใช้เงินเล็กน้อยแค่นี้แล้ว
เรื่องสองเรื่องนี้เดิมทีหลินม่ายควรจะมอบหมายงานลงไปในการประชุมครั้งแรกหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว แต่เพราะวันนั้นเจ้าหน้าที่สันติบาลมาขอความร่วมมือให้การตรวจสอบกับเธอ เธอจึงลืมมอบหมายงานไป
พอลืมแล้วก็ลืมไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ วันนี้เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้
หลังทำเรื่องที่ควรทำจนเสร็จหมดแล้ว หลินม่ายจึงเตรียมตัวกลับบ้าน
ยังมีเวลาอีกไม่กี่วันก็ต้องไปสอบประจำเดือนที่โรงเรียนแล้ว ถ้าคะแนนในการสอบประจำเดือนไม่เป็นที่น่าพอใจ อาจารย์คงจะไม่ยอมให้เธอเรียนด้วยตัวเองอยู่ที่บ้านแน่ เธอก็จะไม่สามารถจัดเวลาของตัวเองได้อย่างอิสระ
ดังนั้นการสอบประจำเดือนในครั้งนี้จะต้องทำให้ดี อย่างนั้นก็ต้องหาเวลาเรียนหนังสือให้มากขึ้นหน่อย
แต่เธอยังไม่ทันออกจากห้องทำงาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน
เธอได้แต่หมุนตัวกลับไปรับโทรศัพท์
คนที่โทรมาคือเฉินเฟิงนั่นเอง เขาบอกเธอว่ามีคนกลุ่มใหญ่จากหมู่บ้านซั่งเฉวียนมาก่อเรื่องที่ไซต์ก่อสร้าง เรียกร้องให้ยกเลิกสัญญา
หลินม่ายประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมพวกเขาถึงอยากให้ยกเลิกสัญญาล่ะ?”
ตอนที่เซ็นสัญญาตอนครั้ง ผู้อาศัยของหมู่บ้านซั่งเฉวียนกระตือรือร้นมาก กลัวว่าจะไม่เซ็นสัญญา
เฉินเฟิงพูด “พวกเขาบอกว่า มันไม่คุ้มที่จะแลกของเก่าเป็นของใหม่ ดูเผินๆ เหมือนเราให้บ้านใหม่กับพวกเขา แต่ความจริงแล้วพวกเขาต่างหากที่ต้องใช้ที่แลกบ้านใหม ต่อให้จะได้บ้านใหม่มาแล้ว แต่ก็ไม่มีที่ดินถิ่นฐานแล้วเช่นกัน พวกเขารู้สึกว่าเสียเปรียบมาก จึงไม่เต็มใจอยากแลกเปลี่ยนแล้ว”
หลินม่ายถาม “นายไม่ได้อธิบายกับผู้อยู่อาศัยพวกนั้นดีๆ เหรอ ว่าถึงแม้จะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลก็ยังนับเป็นสมบัติของประเทศชาติอยู่ดี พวกเขามีสิทธิ์ครอบครองเพียง70ปีเท่านั้น ผ่านไป70ปีแล้วรัฐก็จะยึดคืนไปน่ะ?”
“อธิบายแล้ว แต่ไม่มีเอกสารก็ไม่มีใครเชื่อเลย”
หลินม่ายพูด “นายต้อนรับดูแลผู้อยู่อาศัยพวกนั้นให้ดี ฉันจะไปเอาเอกสารมาเดี๋ยวนี่แหละ”
หลังจากวางสายแล้ว หลินม่ายก็ขี่รถไปที่สำนักงานเขต
เธอบังเอิญพบกับผู้อำนวยการหลิวที่หน้าประตูห้องผู้อำนวยการส่วนการพัฒนาเมืองพอดี
หลินม่ายทักทายเขาก่อนทันที
ผู้อำนวยการหลิวพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับแฮมกระป๋องกับพวกลูกกวาดที่ส่งให้หลิวเสวี่ยนะ”
หลินม่ายยิ้ม “ผู้อำนวยการหลิวไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
ผู้อำนวยการหลิวรู้ว่าเธอมาทำธุระที่สำนักงานเขต จึงไม่ได้คุยอะไรกับเธอมาก เขาพยักหน้าแล้วเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง
หลินม่ายไปที่ห้องผู้อำนวยการเขต เธอขอเอกสารอายุการใช้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินมา แล้วไปที่ไซต์ก่อสร้างสะพานลอยอย่างเร่งรีบ
ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านซั่งเฉวียนที่ส่งเสียงกันเซ็งแซ่นั้นได้ถูกเฉินเฟิงจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว โดยให้ดื่มน้ำโซดา แทะเมล็ดแตงอยู่ในห้องทำงานของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าก่อนหน้านี้เคยขัดแย้งกับพวกเฉินเฟิงมาก่อน
เมื่อผู้อยู่อาศัยพวกนั้นเห็นหลินม่ายมาแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น พากันเอะอะโวยวายให้เธอยกเลิกสัญญา
หลินม่ายหยิบเอกสารที่ขอมาจากผู้อำนวยการเขตออกมาจากกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน
“ฉันไปเอาเอกสารอายุการใช้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พวกคุณต้องการมาให้พวกคุณแล้ว หลังจากอ่านเอกสารแล้ว ถ้าพวกคุณยังยืนกรานที่จะยกเลิกสัญญา งั้นเราก็จะยกเลิกให้ตามนั้นค่ะ”
เหล่าผู้อาศัยในหมู่บ้านซั่งเฉวียนเห็นหลินม่ายแสดงออกว่าสามารถตอบรับคำขอของพวกเขาได้ในทันที ก็กลับวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียขึ้นมา
หลินม่ายส่งเอกสารให้กับผู้อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้เธอที่สุดคนหนึ่ง ให้พวกเขาส่งเวียนกันอ่าน
แต่ก็ได้กำชับพวกเขาว่า จะต้องระมัดระวัง อย่าทำให้เอกสารฉีกขาดเสียหาย เพราะเธอยังต้องเอาไปคืนให้ผู้อำนวยการเขต
ที่จริงแล้วเอกสารฉบับนี้ไม่ต้องเอาไปคืนหรอก แต่หลินม่ายจงใจพูดแบบนั้น เพียงเพื่อต้องการยกระดับความสำคัญของเอกสารฉบับนี้ขึ้น
เหล่าผู้อยู่อาศัยที่ลุกฮืออยู่เมื่อ15นาทีก่อน เมื่ออ่านเอกสารจบหมดแล้วต่างก็เงียบกริบ
หลินม่ายถือโอกาสตีเหล็กตอนยังร้อน “พวกคุณได้อ่านกันอย่างชัดเจนแล้วสินะคะ บนเอกสารฉบับนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ว่าอายุการใช้กรรมสิทธิ์ในเคหสถานนั้นมีเพียง70ปีเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกคุณจินตนาการว่าที่ดินจะเป็นทรัพย์สมบัติของตัวเองไปตลอดชีวิต มันยังคงเป็นของของประเทศชาติ
นับตั้งแต่สถาปนาประเทศมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไป33ปีแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือที่ดินของพวกคุณเหลือเวลาอีกเพียง37ปีเท่านั้น ใน37ปีนี้ ต่อให้พวกคุณมีฐานะพอจะสร้างบ้านใหม่ได้ด้วยตัวเอง ก็อยู่ต่อได้แค่37ปี รอจนครบ37ปีแล้ว อายุกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน70ปีก็จะครบกำหนดเวลา แต่ถ้าหากเอาเก่ามาแลกใหม่กับพวกเรา กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นก็จะนับตั้งแต่วันที่สร้างบ้านใหม่วันนั้น ไม่เพียงสามารถอยู่ได้เต็ม70ปีเท่านั้น ยังได้อยู่บ้านใหม่โดยที่ไม่ต้องใช้เงินของพวกคุณแม้แต่เฟินเดียว พวกคุณลองพิจารณาดูเองสักหน่อยเถอะ ว่าจะจ่ายเงินเอาบ้านโทรมๆ มาสร้างใหม่ แล้วอยู่ให้ครบ37ปีที่เหลืออยู่ หรือว่าเอาเก่ามาแลกใหม่กับเราโดยตรง ไม่ต้องจ่ายแม้แต่เฟินเดียว และยังได้อยู่บ้านที่มีกรรมสิทธิ์ครบทั้ง70ปี”
เหล่าผู้อยู่อาศัยพวกนั้นได้ยินคำพูดของหลินม่ายก็ยิ่งเงียบกันเป็นเป่าสาก
หลินม่ายรู้ว่า ในใจของพวกเขากำลังคิดคำนวณว่าแผนแบบไหนจะคุ้มค่ามากกว่ากัน
เธอนั่งลงตรงข้ามเฉินเฟิง ดื่มชาราวกับเทพลงมาจุติ
เหล่าผู้อยู่อาศัยกระซิบกระซาบกัน กำลังหารือกันว่าต้องยกเลิกสัญญาหรือเปล่า
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้อยู่อาศัยคนหนึ่งเป็นตัวแทนพูดขึ้น “จะให้พวกเราไม่ยกเลิกสัญญาก็ได้เหมือนกัน แต่คุณต้องบอกกับเรา ว่าถ้ากรรมสิทธิ์70ปีของบ้านใหม่ครบตามกำหนดแล้ว พวกเราจะต้องย้ายออกจากบ้านใหม่หรือเปล่า?”
หลินม่ายยิ้มบาง “แน่นอนว่าไม่ต้องค่ะ หลังจากครบกรรมสิทธิ์70ปีแล้ว รัฐก็จะออกนโยบายที่ให้พวกคุณอยู่ต่อไปได้ วางใจได้ค่ะ เมื่อก่อนรัฐบาลก็ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อประชาชนอย่างเรามาก่อน ต่อไปในอนาคตก็ยิ่งไม่ทำเช่นนั้นค่ะ”
ผู้อาศัยคนหนึ่งถาม “มีเอกสารในด้านนี้หรือเปล่า?”
พวกเขาไม่ฟังว่าหลินม่ายจะว่าอย่างไร พวกเขาดูแค่เอกสารเท่านั้น
หลินม่ายหัวเราะเล็กน้อย “ตอนนี้ยังอีกนานกว่าจะครบกำหนดกรรมสิทธิ์70ปีนะคะ เบื้องบนยังไม่ได้พิจารณาถึงการร่างเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
“นั่นก็คือไม่มีเอกสารที่เกี่ยวข้องนี่?” ผู้อาศัยคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “งั้นคุณก็กำลังหลอกลวงกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่ได้หลอกใครค่ะ” หลินม่ายปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
เธอหยิบเอกสารอีกฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่คือเงินประกันที่ฉันมอบให้กับรัฐบาล ในตอนที่ฉันอยากได้ที่ดินผืนนั้นของหมู่บ้านซั่งเฉวียนที่พวกคุณอาศัยอยู่ทหากว่าฉันไม่ได้จัดสรรให้พวกคุณอย่างดี รัฐบาลก็จะใช้เงินประกันก้อนนี้ชดเชยให้กับพวกคุณ คุณคิดว่า รัฐบาลคำนึงถึงพวกคุณอย่างรอบคอบในทุกๆ ด้าน แล้วพอใกล้จะครบเวลากรรมสิทธิ์70ปีแล้ว จะไม่ออกนโยบายที่จะให้พวกคุณอาศัยอยู่ในบ้านใหม่ต่อไปอย่างนั้นเหรอคะ? พวกคุณจะไม่เชื่อฉันก็ได้ แต่จะต้องเชื่อมั่นในประเทศชาติ เชื่อมั่นในรัฐบาล พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ประชาชนของตัวเองไม่มีแม้แต่ที่จะอยู่หรอกค่ะ ทุกๆ การพัฒนาของพวกเขาล้วนแล้วแต่ทำเพื่อให้ประชาชนอย่างเรามีชีวิตที่ดีทั้งนั้น”
ทุกคนผลัดเวียนกันอ่านเอกสารฉบับนั้นกันรอบหนึ่ง แล้วคิดคำนวณอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
ชาวบ้านทั้ง53ครัวเรือน เงินประกันหนึ่งแสนหยวนแบ่งให้กับทุกครัวเรือน ก็เป็นเงินเกือบสองพันหยวน ซึ่งสามารถรับประกันผลประโยชน์ของพวกเขาได้อย่างแท้จริง
ทุกคนวางใจลงไม่น้อย
แต่ก็ยังมีบางคนมีข้อสงสัยอยู่
“ในเมื่อประเทศจะออกนโยบายให้พวกเราอยู่ในบ้านใหม่ต่อไปได้ งั้นก็ควรจะออกนโยบายให้เราครอบครองที่ดินต่อไปด้วยสิ”
หลินม่ายพยักหน้าให้กับคนที่เอ่ยคำถาม “คุณพูดได้ถูกต้องมากก็จริง แต่คุณไม่ได้พิจารณาว่า ต่อไปประชากรในเมืองจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประหยัดที่ดิน ประเทศก็อาจเพิกถอนพื้นที่ส่วนบุคคล แล้วจัดสรรพวกคุณทั้งหมดไปอยู่ในอาคาร”
ทุกคนได้ยินก็แสดงออกอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก และค่อยๆ พากันออกความคิดเห็นขึ้นมา
“ประชากรในเมืองจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ? เป็นไปไม่ได้หรอก การจะเข้าสำมะโนครัวในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วประชากรจะเพิ่มขึ้นได้ยังไง?”
“นอกจากนี้ยังมีนโยบายลูกคนเดียวด้วย ประชากรยิ่งไม่มีทางจะเพิ่มขึ้นได้หรอก”
หลินม่ายเป็นคนที่มาเกิดใหม่ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าในอนาคตนโยบายจะเปลี่ยนไปอย่างมาก จะมีชาวไร่ชาวนาเข้าเมืองมาไม่น้อย ประชากรในเมืองจะเพิ่มขึ้นพรวดพราดในเวลาต่อมา
แต่ผู้อยู่อาศัยเหล่านี้ไม่ได้มาเกิดใหม่ด้วย จึงไม่มีทางล่วงรู้
อีกทั้งนโยบายในปัจจุบันนี้ ทำให้พวกเขายากยิ่งที่จะเชื่อในสิ่งที่หลินม่ายพูด
หลินม่ายเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแต่ถามคำถามผู้อยู่อาศัยเหล่านั้นหนึ่งข้อ “ตอนนี้พวกคุณมีความสามารถที่จะสร้างบ้านโทรมๆ ขึ้นมาใหม่ไหมคะ?”
ทันทีเธอถามคำถามนี้ออกไป คนส่วนมากต่างก็นิ่งเงียบ
ถ้าพวกเขามีปัญญาสร้างบ้านใหม่ได้เองก็สร้างใหม่ไปนานแล้ว ใครจะยอมใช้ชีวิตอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในบ้านโทรมๆ จะพังแหล่มิพังแหล่กัน!
หลินม่ายพูดพลางยิ้มอ่อน “ในเมื่อไม่มีความสามารถที่จะสร้างบ้านขึ้นเอง พวกคุณก็พิจารณาให้ดีๆ ว่าต้องการจะยกเลิกสัญญาอีกไหม”
ทันใดนั้นผู้อยู่อาศัย70%ก็ได้แสดงออกว่ายอมแพ้ในการยกเลิกสัญญา
เดิมทีผู้อยู่อาศัย70%นี้ก็เต็มใจที่จะเอาเก่ามาแลกใหม่อยู่แล้ว
ความคิดของพวกเขาเรียบง่ายมาก บ้านก็จะให้คนอยู่ไม่ได้แล้ว ตนเองก็ไม่มีปัจจัยจะไปสร้างใหม่ เฝ้าที่ดินฐานบ้านไปก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน
วันดีคืนดีพายุฝนกระหน่ำหนักเกินไป บ้านพังถล่มลงมา ชีวิตของคนทั้งบ้านล้วนไร้ซึ่งหลักประกัน
ต่อให้บ้านพังลงมาแล้วไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่มีบ้านให้อยู่แล้ว คนทั้งครอบครัวต้องอยู่ไปอย่างคนสิ้นเนื้อประดาตัวนับแต่นั้น
และหากสมมติว่าบ้านจะไม่ได้ถล่ม แต่พอถึงฤดูใบไม้ผลิฤดูร้อน ฝนของเมืองเจียงเฉิงหนักขนาดนั้น ภูมิประเทศของหมู่บ้านซั่งเฉวียนก็อยู่ต่ำขนาดนั้น อยู่ดีๆ บ้านถูกน้ำท่วมเข้ามา อยู่ไปก็ทุกข์ทรมาน
ไม่สู้เอาเก่าไปแลกใหม่ อย่างน้อยก็สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของคนรุ่นนี้ได้
ส่วนรุ่นต่อไปนั้น ภายในเวลา70ปีนี้ ครอบครัวของพวกเขาจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาและยากจนไปตลอดเลยงั้นเหรอ?
เมื่อพัฒนาขึ้นแล้ว ทุกอย่างก็สามารถคลี่คลายได้ทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?
เหตุผลที่พวกเขาตามมาก่อความวุ่นวายด้วยนั้น ก็เพียงเพราะอยากจะฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์เพิ่มอีกหน่อย
ในเมื่อหลินม่ายไม่มีผลประโยชน์เพิ่มเติมให้กับพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาเองก็ได้แต่ต้องยอมแพ้
ผู้อยู่อาศัย70%ถอนตัวไปแล้ว 30%ที่เหลือนั้นมีคนที่ยังลังเลอยู่20%
หลินม่ายปราดมองทุกคนเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “คนที่เต็มใจจะไม่ยกเลิกสัญญา สามารถรับเงินรางวัลไปได้เลย300หยวน”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที บางคนพูดตะโกนกับหลินม่ายด้วยความตื่นเต้น “ฉันไม่ยกเลิกสัญญา!”
เงินสามร้อยหยวนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แทบจะเทียบเท่าเงินเดือนสิบเดือนของคนงานคนหนึ่งเลยทีเดียว
เมื่อมีคนหนึ่งนำ ทั้งกลุ่มก็ตอบสนอง
ในห้องทำงานเต็มไปด้วยเสียงพูดว่าไม่ยกเลิกสัญญาดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “หากจะรับเงิน300หยวนนี้ก็มีเงื่อนไข คือต้องลงชื่อในประกาศเล็กๆ ฉบับหนึ่ง ถ้าหากผิดสัญญา จะต้องคืนเงิน300หยวนนี้มานะคะ”
เมื่อผู้อยู่อาศัยที่อยากได้เงิน300หยวนกลุ่มนั้นได้ยินหลินม่ายพูดว่าเงื่อนไขต่อท้ายในทีแรก ก็นึกว่าเธออยากจะวางกับดักไล่พวกเขาออกไป ถึงอย่างไรหากไม่เจ้าเล่ห์ก็ไม่ใช่พ่อค้า
แต่เมื่อเธอพูดเงื่อนไขออกมา ทุกคนก็โล่งใจ
ในเมื่อจะผิดสัญญา ก็ต้องคืนเงินรางวัล มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
เดิมทีก็มีคนที่ไม่อยากยกเลิกสัญญาอยู่แล้ว70% เมื่อถูกกระตุ้นด้วยเงินรางวัลก้อนนี้ ก็ไม่มีใครที่อยากจะยกเลิกสัญญาอีก
คนที่เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วเหล่านั้นได้เข้าแถวยาวเหยียดที่แผนกบัญชีชั่วคราวของอสังหาว่านทงและกำลังรอที่จะลงชื่อในใบประกาศ เพื่อรับเงินรางวัล300หยวน
คนส่วนน้อยที่คอยเฝ้าดูอยู่ตลอดโดยที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญา ตอนนี้ก็ได้รีบเซ็นสัญญาด้วยเช่นกัน ด้วยกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการรับเงินรางวัลไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันต้องรู้จักพลิกแพลงแบบนี้แหละ เกิดเจอพวกลูกค้าหัวหมอเข้าจะได้รับมือได้
ไหหม่า(海馬)