“อยากเจอคนของสกุลเดิมที่เรือนข้า?” สืออีเหนียงมองดูชิวอวี่ที่มารายงานแล้วยิ้มอย่างแผ่วเบา
ชิวอวี่ก้มหน้าก้มตาตอบกลับ “หยางอี๋เหนียงพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มบางแล้วพูดว่า “เชิญหยางอี๋เหนียงไปเจอแขกที่โถงบุปผาข้างประตูฉุยฮวาเถิด!”
ชิวอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” พูดจบ ก็มีสีหน้าลังเล “ฮูหยินเจ้าคะ… หากคนที่ซื่อต้าเป่ามารายงานอะไรหยางอี๋เหนียง…”
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เกรงว่าท่านโหวก็คงจะรู้อยู่แล้ว” สืออีเหนียงพูดอย่างนิ่งสงบ “เจ้าไปรายงานนางเถิด!” ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้อีก
แน่นอนว่าชิวอวี่ไม่กล้าถามอะไรอีก นางย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงนั่งเงียบอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง
ตอนนี้มีเรื่องมากมาย ถึงแม้ว่าในจวนจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ได้ยินซิ่วเหลียนบอกว่า ฝ่ายรักษาการณ์ไม่มีวันหยุดงาน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่มีทางที่สวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ คนของฝ่ายรักษาการณ์ก็ไม่มีทางให้ป้าหยางไปเจอต้าเป่าคนนั้นเพียงลำพัง…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนก็ไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง!
คิดเช่นนั้น นางก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นไปเรือนหน่วนเก๋อ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสืออีเหนียงมักจะชอบให้จิ่นเกอฝึกพลิกตัวหรือเปล่า ตอนนี้จิ่นเกอพลิกตัวได้เก่งมาก แล้วยังพลิกไปมาได้ด้วย แม่นมกู้คนเดียวเริ่มดูแลเขาไม่ไหว อาจินและหงเหวินจึงไม่กล้าอยู่ห่างจากเขาแม้แต่น้อย
เมื่อนางเข้าไปข้างใน จิ่นเกอกำลังนอนมุดหัวอยู่บนเตียงเตา ครั้นเห็นมารดาของตัวเองเดินเข้ามาเขาก็ยิ้มดีใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปอุ้มเขา เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “จิ่นเกอทำอะไรอยู่หรือ”
จิ่นเกอดิ้นพล่านอยู่ในอ้อมแขนของนาง
อาจินที่อยู่ข้างๆ รีบรายงาน “คุณชายน้อยหกไม่ยอมให้คนอุ้ม จะเล่นบนเตียงเตาเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงซนเช่นนี้!”
จิ่นเกอราวกับรู้ว่ามารดากำลังคุยกับเขา ส่งยิ้มกว้างให้สืออีเหนียงพลางส่งเสียง “แอ๊ๆๆ”
ในเวลาเดียวกันนั้น หยางอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ใต้ชายคาสีหน้าพลันเปลี่ยนไป “ฮูหยินให้ข้าเจอกับต้าเป่าที่โถงปุบผาข้างประตูฉุยฮวา?” เช่นนั้นก็หมายความว่า นางไม่อยากรู้ว่าต้าเป่าจะพูดอะไรกับตน!
ไม่รู้หรือว่าไม่สนใจกันแน่?
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกสับสน
ชิวอวี่ไม่รู้ว่าหยางอี๋เหนียงคิดอะไรอยู่ นางแค่รู้สึกว่าการที่หยางอี๋เหนียงอยากเจอกับคนที่ชื่อต้าเป่าคนนั้นที่เรือนของสืออีเหนียงนั้นช่างไม่รู้ความ เมื่อเห็นสีหน้าของหยางอี๋เหนียงเปลี่ยนไป นางก็ยิ้ม “ฮูหยินพูดเช่นนี้เจ้าค่ะ แล้วยังบอกให้บ่าวมาบอกอี๋เหนียงว่า ในเมื่อมีคนของสกุลเดิมมาหาอี๋เหนียง บอกให้อี๋เหนียงต้อนรับเขาให้ดี ทางโรงครัว โรงม้าและห้องซือฝังฮูหยินก็บอกหมดแล้ว ถึงตอนนั้นอี๋เหนียงส่งคนไปบอกพวกเขาก็พอ อาหาร ม้า และรางวัลตอนกลับก็เตรียมไว้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงกำลังอยากจะพูดอะไร ชิวอวี่ก็ชิงพูดขึ้นว่า “ฮูหยินยังสั่งให้บ่าวนำรายชื่องานเลี้ยงวันที่สามเดือนสามไปให้ไท่ฮูหยิน หากท่านมีเรื่องอันใด ก็บอกอวี้เหมยเถิด บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็ย่อเข่าคำนับแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสาวใช้อีกสองคนทันที
ป้าหยางมองดูแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของชิวอวี่แล้วพูดเสียงเบา “อี๋เหนียงเจ้าคะ เรา เราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
“ในเมื่อฮูหยินพูดเช่นนี้” หยางอี๋เหนียงมีสีหน้าเย็นชา “เราก็ทำตามเถิด!”
ป้าหยางยังอยากจะพูดอะไร แต่หยางอี๋เหนียงกลับหันหน้าเดินไปทางประตูฉุยฮวาแล้ว
ที่นั่นมีโถงบุปผาเล็กๆ ปกติใช้ต้อนรับผู้ดูแลหญิงที่มีหน้ามีตาของจวนอื่น ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
ต้าเป่าที่ถูกทุบตีมา ทั้งหัวและแขนจึงถูกผ้าพันเอาไว้
“…หลังจากรู้ว่าท่านโหวถูกกวาดล้าง ครอบครัวพวกเราก็ถูกพวกอันธพาลเล่นงาน ไม่เพียงแต่มารีดไถเงินครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังไม่รู้ว่าไปหาตั๋วยืมเงินที่นายท่านเป็นคนเขียนมาจากไหน ตั๋วยืมเงินสามพันตำลึง แต่ดอกเบี้ยตั้งสามหมื่นตำลึง พวกหลี่จั่งและเป่าจั่งที่เป็นสหายของนายท่านกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ นายท่านไม่มีทางเลือก จึงให้บ่าวมาหาคุณหนูขอรับ ขอร้องให้คุณหนูพูดกับท่านโหว ให้คนพวกนั้นได้เห็น แก้นแค้นให้นายท่านด้วยขอรับ”
สาวใช้สองคนที่คอยรับใช้อยู่ในโถงบุปผาก้มหน้าก้มตาลอบยิ้ม
หยางอี๋เหนียงหน้าแดง นางพูดอะไรไม่ออก จากนั้นก็บอกให้ป้าหยางพาต้าเป่าไปทานข้าว
แต่ต้าเป่ากลับขอร้องหยางอี๋เหนียง “คุณหนูขอรับ เรื่องนี้จะจัดการเช่นไร อย่างน้อยท่านก็ต้องให้บ่าวกลับไปรายงาน ไม่เช่นนั้น นายท่านคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วขอรับ!”
หยางอี๋เหนียงได้ฟังแล้วก็โมโหจนปวดใจ “เจ้าไปบอกเขาว่า ติดหนี้ก็ต้องคืน มันคือกฎของสัจธรรม หากเขาคิดว่าดอกเบี้ยเยอะเกินไป ก็ไปฟ้องศาล!” พูดจบนางก็เดินออกไป
ป้าหยางรีบเดินตามไป
หยางอี๋เหนียงกำลังโมโห จึงเดินเร็วกว่าปกติสองเท่า เมื่อกลับไปถึงเรือน นางก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเอามือกุมแผ่นอกตัวเอง
ป้าหยางเห็นสีหน้าของนางซีดขาว จึงรีบไปรินชาร้อนมาให้
น้ำตาของหยางอี๋เหนียงพลันไหลรินออกมา
ป้าหยางรู้ว่านางลำบากใจ จึงพูดปลอบนางอย่างอ่อนโยน “ถึงแม้ว่าจะผิดพลาดขนาดไหน แต่เขาก็เลี้ยงดูท่านมา ไม่มีเขาก็ไม่มีท่าน แล้วอีกอย่างตอนอยู่ที่จนสกุลเดิมถึงแม้ว่าจะยากลำบาก แต่เขาก็ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่พอเจอปีที่ไม่มีผลผลิตก็ขายลูกหลานของตัวเองให้คนอื่น…”
หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ร้องไห้
ป้าหยางนั่งอยู่ข้างๆ คอยลูบหัวของนางเบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางอี๋เหนียงก็ค่อยๆ หยุดร้อง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง “ท่านป้า ท่านไปบอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาให้ข้าล้างหน้าล้างตาเถิด ประเดี๋ยวไปดูที่เรือนหลักว่าท่านโหวกลับมาแล้วหรือยัง!”
ป้าหยางรู้ว่านางดีขึ้นแล้ว ก็ยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็ไปบอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามา แล้วไปดูสวีลิ่งอี๋ตามคำสั่ง
*****
สืออีเหนียงได้ยินเจนตนาของต้าเป่าคนนั้นนางก็ตกใจ
นี่คือคำพูดที่ว่า ไม้ล้มลิงกังกระเจิง[1]เช่นนั้นหรือ
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดกับชิวอวี่ “ช่วงนี้ข้าจะพักผ่อนอยู่ที่เรือน วันที่สามเดือนสาม โจวฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวงและคุณนายใหญ่สกุลหลินอาจจะมาหาข้า เจ้าไปบอกสะใภ้จี้ถิง ไปดูว่าช่วงนี้ที่เรือนหน่วนฝังมีดอกอะไรที่สีสันสวยงามหรือไม่ ถึงตอนนั้นย้ายมาสักสองสามกระถาง นำมาประดับตกแต่งเรือนให้ข้า แล้วก็ให้นางส่งท่านป้าที่รู้ความสองคนไปที่จวนจงฉินปั๋วกับป้าซ่งวันพรุ่งนี้ ไปดูว่าลานของไท่ฮูหยินสกุลกานขาดแคลนดอกไม้หรือไม่ อยากจะตกแต่งตรงไหนหรือไม่!”
สองสามปีมานี้ นางส่งคนไปดูแลดอกไม้ต้นไม้ในลานของกานไท่ฮูหยินอยู่ตลอด
ชิวอวี่ตอบรับแล้วเดินออกไป
จู๋เซียงที่รับใช้อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ กระดูกที่หักก็ยังติดอยู่กับเส้นเอ็น ถึงแม้ว่าหยางอี๋เหนียงจะบอกว่าคนในสกุลหยางไม่ดีกับนาง แต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่านางคงจะช่วยออกหน้าขอร้อง ท่านดูจากเหวินอี๋เหนียงก็รู้แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินไม่สู้ปรึกษากับท่านโหว ถึงตอนนั้นจะได้ให้คำตอบหยางอี๋เหนียงไปตรงๆ นางจะได้ไม่ไปหาท่านโหวเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้จะพูดอ้อมค้อม แต่ความหมายกลับแฝงอยู่ในนั้น
นางกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะใจอ่อนเพราะหน้าตาที่สวยงามของหยางอี๋เหนียง ไม่สู้ปรึกษากับท่านโหวให้เรียบร้อย ถึงตอนนั้นตนก็ค่อยไปบอกหยางอี๋เหนียง จะได้ให้หยางอี๋เหนียงรู้ว่าตนนั้นมีอิทธิพลมากแค่ไหน
สืออีเหนียงมองไปที่นางแล้วยิ้ม “ข้าไม่อยากช่วยนางเรื่องนี้”
จู๋เซียงได้ฟังแล้วก็ประหลากใจ
นางคือคนของอี๋เหนียงห้า เป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบดี ถือเป็นแขนซ้ายของตัวเอง สืออีเหนียงจึงพูดเสียงเบา “หากเจ้าฟังความหมายของต้าเป่าออก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าบิดาของหยางอี๋เหนียงเป็นคนเช่นไร! เขาไม่คิดที่จะทำให้เรื่องมันสงบลง แต่กลับคิดว่าจะจัดการคนพวกนั้นแบบใด ตอนนี้ฟังดูแล้วราวกับว่าเขาได้รับความไม่ยุติธรรม แต่เจ้าลองคิดดูดีๆ เกรงว่าเขาคงเป็นคนที่ยโสโอหัง คนเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องช่วยเขาด้วยเล่า!”
จู๋เซียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเคร่งขรึม “บ่าวเพียงเห็นว่าฮูหยินช่วยเหลือเหวินอี๋เหนียง ตอนนี้เหวินอี๋เหนียงจริงใจและซื่อสัตย์กับฮูหยินมากเจ้าค่ะ … “
“ใช่ว่าข้าต้องการความจริงใจและซื่อสัตย์ทั้งหมด” สืออีเหนียงพูดเสียงเบาราวกระซิบ จากนั้นก็กลับมาพูดเสียงปกติ “เหวินอี๋เหนียงไม่เหมือนหยางอี๋เหนียง ไท่ฮูหยินสกุลเหวินเดือดร้อนเพราะบุตรชายของตัวเอง!”
จู๋เซียงหน้าแดง นางพูดเสียงเบา “บ่าว บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไรอีก นางยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “หู่พั่วไม่ขาดแคลนอะไรแล้วจริงหรือ”
จู๋เซียงพึ่งออกมาจากเรือนของหู่พั่ว
“ไม่ขาดแคลนอะไรแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ!” จู๋เซียงยิ้ม “พี่หู่พั่วบอกว่า นางไม่ได้อยู่ทำงานที่จวนแล้ว แต่ยังมีท่านให้เงินก้นถุง พี่เขยก่วนก็มีเงินเดือน เสื้อผ้าและเครื่องประดับก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม ประหยัดหน่อยก็มีเงินใช้ไปถึงสามสี่ปีเจ้าค่ะ แล้วพี่ปินจวี๋ก็ยังนำเสื้อผ้าที่ฉังอานเคยใส่ส่งไปให้ อีกทั้งนางยังทำงานเย็บปักถักร้อยแล้วนำไปขายที่ร้านเหมือนกับปินจวี๋ บอกว่าฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน ท่านดีขึ้นแล้ว นางค่อยมาหาท่านเจ้าค่ะ”
ในบรรดาสาวใช้ที่แต่งงานออกไป ก่วนชิงนั้นมีความสามารถด้อยที่สุด ดังนั้นสืออีเหนียงจึงเป็นห่วงหู่พั่วที่สุด ได้ยินจู๋เซียงพูดเช่นนี้ นางก็อยากหาเสื้อผ้าของจิ่นเกอให้จู๋เซียงนำไปให้หู่พั่ว แต่คิดดูแล้ว เนื้อผ้าพวกนั้นล้วนแต่มีราคาเกินไป หากนำไปให้หู่พั่วจริงๆ เกรงว่าหู่พั่วคงจะไม่ให้ลูกตัวเองใส่แน่นอน นางจึงบอกกับจู๋เซียง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าช่วยหู่พั่วปิดบัง หากมีอะไรก็พูดออกมาเถิด!”
จู๋เซียงยิ้มแล้วตกปากรับคำ
จากนั้นฟังซีก็เดินเข้ามา “ฮูหยินเจ้าคะ หยางอี๋เหนียงไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเลิกคิ้ว
จู๋เซียงพูด “นางช่างกล้าเสียจริง!”
พวกนางสองคนหันไปมองสืออีเหนียง รอให้สืออีเหนียงตัดสินใจ
สืออีเหนียงค่อยๆ ลุกขึ้น “เราไปดูกันเถิด!”
*****
ทางที่เดินไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นค่อนข้างแคบ ถึงแม้ว่าจะถือโคมไฟอยู่ แต่เสียงฉีกขาดของเสื้อผ้าที่ดังขึ้นมาทำให้หยางอี๋เหนียงรู้ว่ากระโปรงสีเขียวตัวใหม่ของนางคงจะถูกเกี่ยวจนขาดไปแล้วสองสามที่
มีคนตะโกนถามขึ้นมา “นั่นใคร!”
หยางอี๋เหนียงหยุดเดิน นางหายใจเข้าแล้วพูดเสียงเบา “ข้าหยางอี๋เหนียง เจ้าไปรายงานท่านโหวให้ทีเถิดว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านโหว”
คนที่ตะโกนเมื่อครู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับ “อี๋เหนียงโปรดรอสักครู่ขอรับ บ่าวจะไปรายงานท่านโหวประเดี๋ยวนี้!”
หยางอี๋เหนียงเอ่ย “ขอบใจ” แล้วยืนตัวตรงรออยู่ที่เดิม
พระจันทร์ในวันขึ้นสิบห้าค่ำมักจะกลมโต แต่ปีนี้กลับเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ไร้ดวงดาวบนท้องฟ้า ลมพัดผ่านยอดไม้ทำให้เกิดเสียง พลอยทำให้นางรู้สึกราวกับอยู่ในคลื่นทะเล โดดเดี่ยวและเดียวดาย แต่กลับไม่กล้าขยับไปไหนแม้แต่น้อย
นางเคยได้ยินคนพูดว่า ห้องหนังสือของขุนนางระดับสูงอย่างสวีลิ่งอี๋มักจะมีคนคุ้มกันที่มีฝีมือคอยเฝ้าอยู่ตลอด หากไม่ระวัง ก็อาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายและถูกฆ่าตายได้…
เมื่อก่อน นางเป็นคนของไท่เฮา แต่ตอนนี้ นางเป็นเพียงหลานสาวของนักโทษ
หากเป็นอะไรไป เกรงว่าคงไม่มีใครจำนางได้!
คิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าเสียจริง
———————————————–
[1]ไม้ล้มลิงกังกระเจิง มักใช้เพื่อเปรียบเทียบกับการกำจัดผู้ชั่วช้าที่มีอำนาจบารมี เมื่อกำจัดตัวการหัวหน้าใหญ่ได้เมื่อใด บรรดาลูกสมุนที่เคยรวมหัวกันทำชั่วก็ย่อมแตกกระจายไปเองในที่สุด