หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1275 สงครามจุติ!

บทที่ 1275 สงครามจุติ!
หากจะใช้คำว่าสุดยอดรากฐานแห่งเต๋าก็ไม่เกินจริง!
ขณะนี้สุดยอดรากฐานแห่งเต๋านี้ขาดเพียงตัวเชื่อมสุดท้ายเท่านั้น ทันทีที่ไฟแห่งเซียนรวมตัวกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าก็แสดงถึงความสมบูรณ์ของธาตุทั้งห้า แสดงถึงรากฐานแห่งเต๋าแปดปรมัตถ์ของหวังเป่าเล่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
จักรวาลร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ เส้นผมของหวังเป่าเล่อขยับไหวเองโดยไร้ลม รวมถึงชุดที่เขาใส่อยู่ด้วยแม้ดวงตาที่ปิดอยู่จะไม่ได้ลืมขึ้น แต่บนร่างของเขากลับเปล่งแสงสว่างยิ่งกว่าดวงตา
มือขวาที่ยกขึ้นคลายฝ่ามือออก เปลวไฟสีทองพลันลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือ แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าเปลวไฟนี้ความจริงแล้วเกิดจากการรวมตัวของอักขระสีทองนับไม่ถ้วน อักขระเหล่านั้นกำลังซ้อนทับและหลอมเข้าด้วยกันกันอย่างต่อเนื่องจนสามารถจินตนาการได้ว่าเมื่ออักขระในมือเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนหมด มันก็จะกลายเป็น…เมล็ดพันธุ์เต๋า!
กระบวนการเปลี่ยนหนึ่งเป็นหมื่นและเปลี่ยนหมื่นกลับมาเป็นหนึ่งนี้คือการก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟ!
หากเทียบกระบวนการสำคัญนี้กับสิบระดับ กระบวนการตอนนี้ได้มาถึงระดับสามแล้ว และแผ่ขยายไประดับสี่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งในกระบวรการนี้ยังทำให้พลังปราณบนร่างหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระดับการฝึกตนของเขาผันผวนขึ้นเรื่อยๆ ดวงวิญญาณเทพก็ยิ่งร้ายกาจขึ้น กระแสเซียนบนร่างก็เข้มขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน ทุกอย่างเกี่ยวกับเขากำลังปะทุขึ้นในเวลานี้
แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
ความว่างเปล่าก็มาถึงขีดกำจัดราวกับไม่อาจทนได้อีกต่อไป แม้หวังเป่าเล่อจะหลับตาอยู่และข่มกลั้นการทะลวงขั้นของระดับการฝึกตน แต่จักรวาลโดยรอบก็ยังคงปรากฏรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
รอยร้าวแผ่ขยายไปครึ่งจักรพิภพสำนักเสริมทำให้ปรมาจารย์ดาราจันทร์หน้าเปลี่ยนสี ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ตื่นตระหนก
“โลกกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว!!”
เมื่อเห็นรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือกดหว่างคิ้วตัวเอง
“ผนึก!”
ฉับพลันหูสองข้างของเขาก็ถูกปิดผนึกเอง รูทวารทั้งเจ็ดคือจุดรับรู้ของดวงวิญญาณเทพกับโลกภายนอก ในเมื่อปิดสองตาแล้วยังไม่อาจข่มกลั้นได้ก็ปิดอีกสองหู!
เมื่อหูถูกปิดผนึก พลังปราณก็ถูกระงับลงในทันที ไม่ให้มันแผ่ขยายออกไปมากเกินไป ร่างกายของเขาส่งเสียงคำราม ก่อนที่รอยร้าวทั่วจักรวาลจะค่อยๆ หายไป
ส่วนกระบวนการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟเซียนนั้นก็ได้ทำให้เกิดมวลคลื่นลูกใหญ่ไปทั่วทั้งจักรพิภพสำนักเสริม
ดวงดาวทุกดวงต่างกำลังสั่นสะเทือนและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างจิตใจสั่นสะท้าน จะความว่างเปล่าก็ดี เศษฝุ่นผงก็ช่าง ในวินาทีนี้ล้วนราวกับได้รับอิทธิพลรุนแรง และขอบเขตของอิทธิพลนี้ยังทะลุจักรพิภพสำนักเสริมไปยังจักรพิภพใจกลาง
ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยที่กำลังถือสันโดษรวบรวมวงแหวนชะตาอยู่ในจักรพิภพใจกลางสังเกตเห็นในทันที เขาหับขวับมองไปทางจักรพิภพสำนักเสริม ดวงตาไหวคลอน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนไปทั่วทั้งจักรวาลได้อย่างชัดเจน ความรุนแรงของความผันผวนนี้ทำให้เต๋าชะตาของเขาสั่นคลอนไม่น้อย
“เป็นหวังเป่าเล่อ!” ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ความสั่นไหวในดวงตาจะค่อยๆ หายไป แต่ความเคร่งขรึมก็ค่อยๆ ปรากฏแทนที่ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นถอนหายใจเบาๆ
ระดับของหวังเป่าเล่อในตอนนี้คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดแม้ยามหลับ แต่เขาก็รู้ดีว่าเต๋าของตนหยุดก้าวหน้าไปแล้ว ตอนนี้ทำได้แค่ถอนหายใจเล็กน้อยและจิตใจเขาก็โล่งขึ้น
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตของตนหลอมวงแหวนชะตาอีกแล้ว หายนะที่โลกศิลากำลังจะต้องเผชิญมีคนที่เหมาะสมกว่าปรากฏตัวแล้ว หากอีกฝ่ายยังไม่สามารถหยุดยั้งหายนะได้ ต่อให้เขาสละชีวิตตนไปก็เปล่าประโยชน์
และขนาดตัวเขายังได้รับอิทธิพลขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในจักรพิภพใจกลางที่ต่างกำลังสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของร่างกายตนอยู่ในขณะนี้
นั่นคือความผันผวนจากเพลิงชีวี ไฟแบ่งออกเป็นจริงและปลอม และเพลิงชีวีนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของไฟ อันที่จริงในระหว่างธาตุทั้งห้าดูเหมือนจะแยกจากกัน แต่หลังจากถึงจุดสูงสุดแล้วก็ยากที่จะแยกธาตุใดเป็นธาตุใด และมีจุดเชื่อมโยงกันในท้ายที่สุด
มหาเต๋าเป็นเช่นนี้ วิถีการฝึกตนก็เป็นเช่นนี้
เวลานี้ท่ามกลางเสียงร้องคำรามจากจักรพิภพใจกลาง และการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟของหวังเป่าเล่อ ยังมีอีกคนที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ นั่นคือร่างแยกมหาเทพที่กำลังต่อสู้กับฝ่ามือหลัวอยู่ในความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มชุดแดงที่เป็นร่างแยกนั้นกำลังต่อกรกับฝ่ามือหลัว ในฉับพลันก็สังเกตเห็นพลังปราณที่มาจากโลกศิลาก็อดหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
ก่อนหน้านี้ยามที่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสเซียนของหวังเป่าเล่อก็ตกตะลึงมากแล้ว ตอนนี้ยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากไฟนั่น โดยเฉพาะพลังปราณที่บรรจุอยู่ข้างในไฟจนเขารู้สึกกลัวนั่นทำให้สีหน้าเด็กหนุ่มชุดแดงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นเช่นนี้ต่อไปการจะสยบที่นี่และหวนคืนกลับมาคงไม่อาจทำได้เป็นแน่…จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” เด็กหนุ่มชุดแดงสีหน้าบิดเบี้ยว ความกังวลที่หาได้ยากยิ่งผุดขึ้นในใจ แววตายิ่งทวีความดุดัน ร่างกายส่งเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะกลายร่างเป็นหมอกเลือดเข้มข้นเข้าห่อหุ้มฝ่ามือหลัวไว้ด้วยท่าทางบ้าคลั่ง
เวลาผ่านไปพลังปราณของหวังเป่าเล่อยังคงแทรกซึมและแผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่อง ทุกสรรพสิ่งยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้น การหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟสำเร็จไปสี่ส่วน ห้าส่วนและหกส่วน!
การหลอมเมล็ดพันธุ์ก้าวหน้าไปพร้อมกับระดับการฝึกตนของเขาที่ก็กำลังก้าวหน้าไม่หยุดและมาถึงจุดสูงสุดที่โลกศิลาจะรับได้อีกครั้ง รอยร้าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ได้ปรากฏแค่รอบตัวหวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่แทรกซึมพลังปราณของมันครอบคลุมจักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพใจกลาง
นั่นทำให้ผู้ฝึกตนในจักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพใจกลางที่กำลังสั่นสะท้านกลายเป็นอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณและความรู้สึกถึงวันโลกาวินาศผุดขึ้นในใจพวกเขาในทันที
“จักรวาล…จักรวาลจะแตกสลายแล้ว!”
“นี่มันอะไรกันแน่ ท้องฟ้าแตกร้าวไปหมด!!”
ท่ามกลางความโกลาหลของทุกขีวิต หวังเป่าเล่อในจักรพิภพสำนักเสริมก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
“ผนึก!”
คราวนี้เขาปิดผนึกจมูกตัวเอง!
รูทวารทั้งเจ็ดถูกปิดผนึกไปแล้วหก วิธีนี้ทำให้รอยร้าวไม่ขยายเพิ่มในท้ายที่สุด แต่พลังปราณในร่างกายเขายังคงปะทุและน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรากฐานแห่งเต๋าของเขาแข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นผิดปกติแล้ว!
พลังปราณของเขาได้แทรกซึมไปทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางแล้วและเริ่มแผ่ขยายไปยังจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย การหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟก็สำเร็จไปเจ็ดส่วนแล้ว!
จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเป็นสถานที่ที่รากฐานของหวังเป่าเล่อตั้งอยู่ สถานที่แห่งนี้ถูกครอบครองโดยระบบสุริยะมานานแล้ว ดังนั้นในพริบตาที่พลังปราณไฟเซียนของหวังเป่าเล่อมาถึง เหล่าผู้ฝึกตนในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทุกคนจึงไม่ได้เคราะห์ร้ายมากนัก แต่กลับนั่งขัดสมาธิลงและสัมผัสถึงความผันผวนของร่างกายตนอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกันดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววกระตือรือร้น
ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มชุดแดงที่ต่อสู้กับฝ่ามือหลัวอยู่นั้นก็บ้าคลั่งถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าเขาใช้เคล็ดวิชาใด แต่มันส่งผลต่อร่างกายของเขาอย่างเห็นได้ชัด อานุภาพจึงยิ่งน่าอัศจรรย์ ร่างกายส่งเสียงคำรามและก่อตัวเป็นตราประทับสีเลือดซึ่งทำให้ฝ่ามือหลัวสั่นสะท้านจนเผยช่องโหว่ในพริบตา
เด็กหนุ่มชุดแดงอาศัยช่องโหว่นั้นแปลงเป็นแสงเลือดเข้มข้นแล้วพุ่งจากความว่างเปล่าไปยังแกนกลางของโลกศิลาทันที
“หวังเป่าเล่อ ภารกิจของข้าคือกวาดล้างเจ้า ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้สูญเสียอักขระเชื่อมต่อระหว่างตัวข้ากับร่างต้นแบบเพื่อปราบฝ่ามือหลัว ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไปได้!” ใบหน้าเด็กหนุ่มชุดแดงกลายเป็นแสงสีเลือด ดวงตาดูบ้าคลั่งและแฝงจิตสังหารถึงขีดสุด ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจักรวาลโลกศิลา!
ตอนนั้นเองภายในโลกศิลาในจักรพิภพสำนักเสริม หวังเป่าเล่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สองหู สองตาและจมูกถูกเขาปิดผนึกด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการรับรู้ของเขา
เขาสัมผัสได้ว่สไฟเซียนของตนหลอมสำเร็จไปแปดส่วนแล้ว
และสัมผัสได้ว่าในความว่างเปล่า มีพลังปราณเลือดสายหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้โลกศิลาอย่างรวดเร็ว!
……………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท