แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 507 เดินทางไปคุยธุรกิจ

ตอนที่ 507 เดินทางไปคุยธุรกิจ

ตอนที่ 507 เดินทางไปคุยธุรกิจ

หลินม่ายโทรหาเถาจืออวิ๋นทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ขอให้หล่อนช่วยจัดอบรมคอร์สอนการแต่งกายระยะสั้นให้กับพนักงานขายทุกคนก่อนวันชาติ

เถาจืออวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของปลายสาย “การฝึกอบรมระยะสั้นคงไม่ให้ผลอะไรมากหรอก เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้ต้องให้พวกเขาค่อย ๆ ซึมซับเหมือนน้ำที่หยดลงหินถึงจะเกิดผล ฉันจะลองจับคู่ชุดทั้งหมดแล้วพิมพ์ลงในหนังสือภาพสวย ๆ เอาไปวางไว้ตามร้านค้าในเครือและร้านค้าสาขาต่าง ๆ ให้ลูกค้าอ่านโบรชัวร์แล้วเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับพวกเขาด้วยตัวเอง เธอว่าแบบนี้เป็นไง?”

หลินม่ายที่ถือหูโทรศัพท์อยู่พยักหน้าตามความเคยชิน “ดีเหมือนกัน”

จากนั้นเธอก็บอกเถาจืออวิ๋นว่าถุงน่องที่เคอจื่อฉิงส่งมาจากโกดังด่านศุลกากรจะมาถึงเจียงเฉิงในอีกไม่กี่วันนี้ ฝากให้หล่อนช่วยเป็นคนเซ็นรับของให้หน่อย ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าทันทีที่ถุงน่องมาถึง ให้กระจายสินค้าส่งไปตามร้านเสื้อผ้าและร้านค้าในเครือ แล้วกำชับให้พนักงานเสนอขายถุงน่องควบคู่ไปกับการขายเสื้อผ้าให้ได้มากที่สุด

หลังจากวางสาย หลินม่ายก็ทบทวนสิ่งที่ตัวเองยังต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

ในที่สุดเธอก็จำได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ไปขึ้นศาลเพื่อยื่นฟ้องแม่หรงข้อหาโจมตี Unique ในที่สาธารณะ กล่าวหาว่าแบรนด์ของเธอลอกเลียนแบบเสื้อผ้าซีม่าน

ต่อให้ยายป้านั่นจะติดคุกด้วยข้อหาอื่น แต่เธอก็ปล่อยหล่อนไปไม่ได้ ยังมีในส่วนของค่าชดเชยที่เธอควรได้รับ รวมถึงบทลงโทษที่ยายป้านั่นสมควรโดนมากกว่าที่เป็นอยู่ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เลย

หลินม่ายออกไปที่ศาลพร้อมกับเอกสารที่เกี่ยวข้อง

ศาลพิจารณาจากหลักฐานที่เธอนำมาแสดงประกอบ

ไม่ว่าจะเป็นคำตัดสินของศาลในคดีหมิ่นประมาทระหว่างเธอกับกวนหย่งหัว ภาพถ่ายของหนิวลี่ลี่ตอนที่แม่หรงไปยืนชูป้ายหมายทำให้Uniqueเสื่อมเสียชื่อเสียงในที่สาธารณะหลายแห่ง บทสัมภาษณ์ของแม่หรง รวมถึงบทสัมภาษณ์จากผู้คนในที่เกิดเหตุ

หลักฐานเหล่านี้สามารถพิสูจน์ความผิดฐานหมิ่นประมาทของแม่หรงได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์

ศาลแค่ต้องพิจารณาตัดสินว่าแม่หรงควรจ่ายค่าชดเชยให้กับUniqueฐานทำให้ประสบความสูญเสียทางเศรษฐกิจ รวมถึงกำหนดโทษทางกฎหมายของหล่อนในข้อหาหมิ่นประมาทUnique

สหายในศาลขอให้หลินม่ายกลับไปรอฟังข่าว คาดการณ์ว่าคำพิพากษาจะถูกประกาศเร็วที่สุดก่อนถึงวันชาติ

อย่างช้าที่สุด คำพิพากษาจะถูกประกาศไม่เกินห้าวันหลังวันชาติ

เมื่อไปรับประทานอาหารกลางวันที่วิลล่าตอนเที่ยง หลินม่ายก็บอกคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และฟางจั๋วหรานให้รับรู้ว่าเธอกำลังจะเดินทางไปทำธุรกิจที่จิ่วเจียง มณฑลเจียงซีตอนบ่ายสองโมง

คุณปู่ฟางถามด้วยความประหลาดใจ “จวนจะถึงวันชาติอยู่แล้ว เธอยังต้องเดินทางไปคุยธุรกิจอีกเหรอ? รอให้ผ่านวันชาติแล้วค่อยจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้หรือยังไงกัน? ลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอกับจั๋วหรานกำลังจะจัดงานเลี้ยงหมั้นในวันชาติที่จะถึงนี้?”

หลินม่ายรีบขอโทษ “ฉันไม่ได้ลืมค่ะ แต่สิ่งที่ฉันสามารถทำได้คือพยายามรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด ถ้าฉันกลับมาไม่ทันภายในสามวันก่อนจะถึงวันชาติ เราคงต้องยกเลิกงานเลี้ยงหมั้นไปก่อน งานนี้ค่อนข้างเร่งด่วนมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด”

จากนั้นเธอก็มองไปที่ฟางจั๋วหรานอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ…”

การยกเลิกงานเลี้ยงหมั้นอาจไม่ส่งผลกระทบต่อคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ เท่าไหร่นัก แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นฟางจั๋วหราน

ถึงใจจริงฟางจั๋วหรานจะไม่อยากให้หลินม่ายเดินทางไปคุยธุรกิจในเวลานี้ แต่เขาก็สนับสนุนเรื่องงานของเธออย่างไม่มีเงื่อนไข

เขายิ้ม “ไม่เป็นไร ผมยังไม่ได้ส่งคำเชิญให้คนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องยกเลิกหรอก แค่เลื่อนวันก็ได้แล้ว”

งานเลี้ยงหมั้นอาจเลื่อนวันได้ แต่ยกเลิกไม่ได้เด็ดขาด เพราะเขาต้องการประกาศความสัมพันธ์ของตัวเองกับสาวน้อยให้โลกรู้

หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ถือเป็นเรื่องดีที่คำเชิญยังไม่ถูกส่งออกไป ต่อให้งานเลี้ยงงานหมั้นถูกยกเลิก อย่างน้อยก็ไม่มีใครรู้ ฟางจั๋วหรานจะได้ไม่เสียหน้า

เธอพยักหน้าอย่างอ่อนโยน “ค่ะ”

คุณย่าฟางถาม “ทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนี้ล่ะ”

หลินม่ายอธิบายกับพวกเขาว่าเธอกำลังจะเดินทางไปหานักแสดงที่ชื่อจางอวี้เพื่อเชิญหล่อนมาถ่ายทำโฆษณา หลังจากนั้นยังต้องไปที่เมืองหลวงเพื่อประสานงานกับทาง CCTV ขอออกอากาศโฆษณาดังกล่าวก่อนจะถึงวันชาติ

ฟางจั๋วเยวี่ยออกจากโรงพยาบาลมาลาพักฟื้นอยู่ที่บ้านแล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึง “พี่สะใภ้งานยุ่งขนาดนี้เลยเชียวเหรอ?”

คุณปู่ฟางเหลือบมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “เธอคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเองหรือไง อายุยังไม่เท่าไหร่ก็ทำตัวเหมือนปลดเกษียณซะแล้ว”

ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างเสียไม่ได้ “ใช่ว่าผมอยากมีชีวิตอยู่แบบเฉื่อยชาซะที่ไหนกันครับ ต้องโทษประสิทธิภาพหน่วยงานของผมที่ย่ำแย่ต่างหาก จนทำให้ผมไม่มีงานทำ”

หน่วยงานของเขาเหมือนปิดตัวไปแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนอยู่ที่ทำงานเขาแทบไม่มีอะไรทำเลย ไม่เห็นต่างกับการปลดเกษียณเลยสักนิด!

คุณย่าฟางถามหลินม่ายอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรไปตามหานักแสดงคนนั้นที่สำนักงานต้นสังกัดของหล่อนสิ ทำไมต้องถ่อสังขารไปถึงจิ่วเจียง มณฑลเจียงซีด้วย?”

หลินม่ายไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้

เหตุผลที่เธอไปจิ่วเจียง มณฑลเจียงซีเพื่อเชิญจางอวี้มาถ่ายทำโฆษณา เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ อันโด่งดัง ซึ่งกำกับโดยผู้กำกับหวงที่มีชื่อเสียงในชาติที่แล้วของเธอ เริ่มถ่ายทำในจิ่วเจียง มณฑลเจียงซีเวลานี้

ยุคนี้ข้อมูลข่าวสารยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างแพร่หลาย สื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น นิตยสารบันเทิง ก็ไม่ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์มากนัก ดังนั้นจึงแทบไม่มีใครรู้เรื่องนี้

แต่ถึงแม้ว่าจะมีรายงานข่าว คุณย่าฟางก็ไม่ชอบอ่านนิตยสารประเภทดังกล่าวเท่าใด ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้

หลินม่ายกลัวถูกจับโป๊ะได้ จึงโกหกไปว่า “ฉันรู้จากแหล่งข่าวหลายสำนักว่าจางอวี้กำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ที่ภูเขาหลูซานในจิ่วเจียงค่ะ”

คุณปู่ฟางถามด้วยความกังวล “ภูเขาหลูซานกว้างใหญ่ออกปานนั้น เธอรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของกองถ่ายหรือเปล่า?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันอาจไม่รู้สถานที่ถ่ายทำที่แน่นอนก็จริง แต่ฉันรู้ว่าพวกเขาพักอยู่ที่โรงแรมไหน”

สาเหตุที่หลินม่ายรู้ ก็เพราะชื่อโรงแรมที่ทีมงานในกองถ่ายพักอยู่เคยปรากฏอยู่ในรายงานข่าวของนิตยสารบันเทิงก่อนที่ ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ จะเข้าโรงในชาติที่แล้ว

เธอหวังว่าชาตินี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นมีโอกาสที่เธอจะคว้าน้ำเหลวสูงมาก

คุณปู่ฟางถาม “โฆษณาจำเป็นต้องออกอากาศทางช่อง CCTV แค่อย่างเดียวหรือ? ออกอากาศทางสถานีท้องถิ่นในเมืองหูหนานของเราก็ได้นี่นา ถ้าออกอากาศทางสถานีท้องถิ่นเมืองหูหนาน ค่าโฆษณาย่อมถูกกว่าของ CCTV แน่นอน”

คุณปู่ฟางมีเหตุผลเป็นของตัวเอง

ตราบใดที่มีการถ่ายทำโฆษณาและออกอากาศทางสถานีท้องถิ่นเมืองหูหนาน หลินม่ายก็ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปเมืองหลวง และรีบกลับมาจัดงานเลี้ยงงานหมั้นได้

เขาคาดหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างหลานชายของเขากับหลินม่ายขยับเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยการหมั้นหมายโดยเร็วที่สุด

หลินม่ายยิ้มพลางส่ายหน้า “สถานีท้องถิ่นเมืองหูหนานมีแค่พวกเราชาวเมืองหูหนานเท่านั้นที่มองเห็น อิทธิพลของมันจึงนับว่าน้อยเกินไป ต่างจากช่อง CCTV ที่มีโครงข่ายสัญญาณครอบคลุมทั้งประเทศ ซึ่งมีอิทธิพลสูงมาก”

ยุคสมัยนี้ สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นไม่สามารถกระจายสัญญาณครอบคลุมทั่วประเทศได้เหมือนกับสถานีโทรทัศน์ส่วนกลาง แต่ครอบคลุมเฉพาะภายในเมืองหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้หลินม่ายถึงได้ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมการออกอากาศโฆษณาที่สูงกว่า ให้มีการแพร่ภาพผ่านทางช่อง CCTV โดยตรง

ในขณะที่ฟางจั๋วหรานกำลังครุ่นคิดว่าผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างหลินม่ายต้องทำหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงต้องเดินทางในระหว่างทำธุระบ่อยเกินไป ก็รู้สึกเป็นกังวลมาก

เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายและพูดว่า “ในเมื่อคุณต้องเข้าเมืองหลวงเพื่อทำธุระต่าง ๆ มากมาย งั้นให้จั๋วเยวี่ยตามไปด้วยคนสิ เดินทางไปที่ภูเขาหลูซานก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยไปที่เมืองหลวง”

ฟางจั๋วเยวี่ยพยักหน้าหงึกหงัก

หลินม่ายตอบ “นอกจากจะพาจั๋วเยวี่ยไปด้วยแล้ว ฉันจะขอให้เฉินเฟิงจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสักสองคนให้ติดตามไปด้วย”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “เดินทางไกลทั้งที พาบอดี้การ์ดสองคนตามไปด้วยเพื่อความปลอดภัยก็ดีเหมือนกัน”

หลินม่ายอธิบาย “ถ้าพูดถึงความปลอดภัย แค่จั๋วเยวี่ยคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่เหตุผลหลักคือฉันจำเป็นต้องพกเงินสดหลายแสนหยวนติดตัวไปด้วยเวลาเดินทางไกล เพื่อที่จะได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ถึงต้องพาคนไปด้วยอีกสองสามคน”

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินแบบนั้น

หลังอาหารเย็น หลินม่ายใช้โทรศัพท์ของวิลล่าโทรหาเฉินเฟิง ขอให้เขาช่วยจัดสหายน้องชายสองคนให้มาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้หน่อย

เฉินเฟิงตอบกลับว่าไม่เห็นเป็นไรเลย แถมยังอาสาทันทีว่าเขายินดีที่จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเธอ

ถึงฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายจะยืนอยู่ห่างกันเกือบสองเมตร แต่เขาก็ได้ยินทุกคำพูดของเฉินเฟิง

สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปจากเดิมก็จริง แต่หูกลับผึ่งตั้งเหมือนเรดาร์ตรวจจับ

หลินม่ายรีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “นายไปกับฉันไม่ได้ นายต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลไซต์งาน อย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดกับโครงการก่อสร้างสะพานต่างระดับเด็ดขาด ในอนาคตเราจะได้รับผิดชอบโครงการของรัฐอีกหรือเปล่า ล้วนขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของโครงการนี้”

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เฉินเฟิงไม่ได้ดันทุรังอีก แต่เขากลัวว่าบอดี้การ์ดแค่สองคนอาจไม่เพียงพอ อย่างน้อยเธอควรพาบอดี้การ์ดไปด้วยสักสี่คน

หลังจากฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้น ในที่สุดหัวใจของเขาก็หล่นลงไปอยู่ที่ช่องท้อง ใบหูที่ตั้งขึ้นเหมือนเรดาร์กลับมาเป็นปกติเพราะรู้สึกโล่งใจ

เฉินเฟิงแสดงออกชัดว่าชอบผู้หญิงของเขามาโดยตลอด เขาเลยไม่อยากให้อีกฝ่ายเดินทางไปคุยธุรกิจกับหลินม่าย

หลังจบการสนทนา หลินม่ายก็ขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อเตรียมสัมภาระในการเดินทาง

ฟางจั๋วหรานส่งเธอออกไป เมื่อเดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งก็หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา แล้วยกหูโทรศัพท์ขึ้น…

หลินม่ายเตรียมสัมภาระสำหรับตัวเองน้อยมาก ในกระเป๋ามีแค่เสื้อผ้าสองชุด รวมกับชุดที่เธอต้องสวมใส่ในวันเดินทางเป็นสามชุด

ถึงอย่างนั้นเสื้อผ้าทั้งสามชุดนี้ก็มีสไตล์ล้ำสมัย แฟชั่นไม่ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าของชาวฮ่องกงและไต้หวัน บางทีอาจจะดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ เธอยังเตรียมรองเท้าสำหรับตัวเองไว้แค่สองคู่ ครีมไข่มุกเพียนจื่อหวงที่ผลิตในประเทศ รวมถึงแชมพูและครีมนวดผมเฟิงฮวา

ทั้งยังพกลิปสติกนำเข้าจากด่านศุลกากรไปอีกสองแท่ง

ความจริงแล้วผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและแชมพูซึ่งผลิตในประเทศมีคุณภาพไม่ด้อยไปกว่าผลิตภัณฑ์นำเข้าเลย แต่ของจำพวกเครื่องสำอางยังเทียบไม่ติดจริง ๆ

แน่นอนว่าเธอยังพกหนังสือเรียนระดับชั้นมัธยมปลายไปด้วย

ไม่ว่าเธอวางแผนจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม การเรียนก็ยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ เธอต้องรีบเร่งเรียนแข่งกับเวลา

ถึงสัมภาระส่วนตัวของหลินม่ายจะมีแค่ไม่กี่อย่าง แต่ข้าวของอย่างอื่นที่ต้องขนติดไปด้วยกลับมีมากมายหลายอย่าง

นอกจากเงินสดจำนวนหลายแสนหยวนแล้ว ยังมีเสื้อผ้าตัวอย่างที่เถาจืออวิ๋นเพิ่งจะออกแบบและตัดเย็บให้เป็นพิเศษ

เธอตั้งใจนำเสื้อผ้าตัวอย่างพวกนี้ติดตัวไปด้วยเพื่อใช้ในการถ่ายทำโฆษณา

หลินม่ายสูง 1.65 เมตร เธอเรียนรู้จากนิตยสารบันเทิงที่เคยผ่านในชาติที่แล้วว่าจางอวี้เองก็สูงประมาณนี้เช่นเดียวกัน หมายความว่าหล่อนสามารถสวมเสื้อผ้าตัวอย่างทั้งหมดนี้ได้

นอกจากเสื้อผ้าแบรนด์Uniqueสำหรับจางอวี้เพื่อใช้ในการถ่ายทำโฆษณาแล้ว หลินม่ายยังเตรียมเครื่องประดับแฟชั่นต่าง ๆ ของไป๋เหอจิวเวอรี่ไปด้วย

‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ เป็นภาพยนตร์แฟชั่นเรื่องแรกของจีนแผ่นดินใหญ่ การที่นางเอกเปลี่ยนชุดถึงสี่สิบสามชุดในภาพยนตร์แค่เรื่องเดียว กลายเป็นประเด็นที่คนชอบพูดถึง

ความจริงนอกจากเสื้อผ้าแล้ว นางเอกของเรื่องยังสวมเครื่องประดับมากมายในระหว่างถ่ายทำ แต่นั่นไม่ค่อยดึงดูดความสนใจจากผู้ชมสักเท่าใด

หลินม่ายต้องการให้จางอวี้สวมใส่เสื้อผ้าของUnique ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังอยากให้อีกฝ่ายใส่เครื่องประดับจากไป๋เหอในขณะที่ถ่ายทำโฆษณาด้วยเช่นกัน

เธอจ่ายค่าโฆษณาไปแค่หนึ่งรายการ แต่กลับโฆษณาสินค้าได้ถึงสองรายการในคราวเดียว

หลินม่ายยังเตรียมนำนาฬิกาข้อมือนำเข้าที่เคอจื่อฉิงช่วยขนส่งมาจากโกดังด่านศุลกากรติดไปด้วยหลายเรือน

การแจกนาฬิกาข้อมือจำนวนสามสิบเรือนเมื่อคราวที่แล้ว นอกจากจะทำให้ผู้ปฏิบัติงานต่างประหลาดใจ เธอยังเก็บนาฬิกาบางส่วนไว้สำหรับเป็นของขวัญในโอกาสอื่น ๆ

ซึ่งมันเป็นประโยชน์สำหรับเธอเมื่อเดินทางไปทำธุระในครั้งนี้

ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังนำเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนำเข้าจำนวนมากไปมอบเป็นของขวัญให้กับจางอวี้ ซึ่งผู้หญิงอย่างอีกฝ่ายต้องชอบแน่อยู่แล้ว

พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีโอกาสได้เดินทางเข้าเมืองหลวงทั้งที หลินม่ายก็ฉุกคิดว่าเธอพอจะหาเวลานัดเจอกับไป๋ลู่ได้หรือเปล่านะ

ก่อนหน้านี้เธอเคยสัญญากับไป๋ลู่ว่าจะติดต่อกับอีกฝ่าย

แต่เพราะงานของเธอยุ่งมาก แถมเธอทั้งสองแค่บังเอิญได้รู้จักกันระหว่างทางเท่านั้น พอไม่มีอะไรจะคุย ก็พลอยลืมติดต่อกันไปเสียสนิท

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอต้องเดินทางไปคุยธุรกิจที่เมืองหลวงพอดี เห็นทีคงไม่ได้ติดต่อกับหญิงสาวในเร็ว ๆ นี้แน่

แต่เมื่อหลินม่ายไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อค้นหาช่องทางติดต่อที่ไป๋ลู่ทิ้งไว้ให้ หาเท่าไรก็หาไม่เจอเสียที ดังนั้นจึงต้องล้มเลิกความคิดไป

ถึงอย่างไรมิตรภาพระหว่างพวกเธอก็เป็นแค่เพื่อนร่วมทางระยะสั้น ๆ ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีเวลานัดเจอกันหรือไม่

หลินม่ายเก็บสัมภาระทั้งหมดเสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานกับน้องชายของเขาก็มาหาเธอถึงบ้าน

หลินม่ายถามฟางจั๋วหรานด้วยความประหลาดใจ “คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ ทำไมถึงมาฉันที่บ้านล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะน้อย ๆ ของหลินม่าย “ผมมาที่นี่ก็เพราะอยากเจอคุณน่ะสิ”

ฟางจั๋วเยวี่ยผู้ถูกบังคับให้กินอาหารสุนัขได้แต่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายหัวเราะ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องเดินทางไกลซะหน่อย มีอะไรให้น่าเป็นห่วงกันคะ แถมครั้งนี้ฉันยังพาบอดี้การ์ดไปด้วยตั้งหลายคน ดังนั้นไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องฉันเลย”

ฟางจั๋วหรานไม่พูดอะไรมาก ยืนยันว่าจะไปส่งเธอขึ้นรถไฟ

ทั้งสามคนเดินลงไปข้างล่าง เห็นว่าสหายน้องชายสี่คนที่เฉินเฟิงส่งมายืนรอกันอยู่ที่สวนหลังบ้านแล้ว

ทันทีที่เห็นหลินม่าย สหายน้องชายทั้งสี่ที่รับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดก็เดินเข้ามารับของจากมือของคนทั้งสาม

หลินม่ายถามพวกเขาว่าในบรรดาสี่คนนี้ ใครมีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด

สหายน้องชายอีกสามคนชี้ไปที่สหายน้องชายคนหนึ่งพร้อมกัน “พี่หนานครับ”

หลินม่ายจึงยื่นกล่องบรรจุเงินสดในมือให้กับพี่หนาน “ฝากนายรับผิดชอบเงินสดในกล่องนี้ด้วยนะ”

ที่หลินม่ายกล้าส่งมอบกล่องใส่เงินสดให้กับพี่หนาน ก็เพราะเธอเชื่อใจว่าเฉินเฟิงเลือกคนไม่ผิด

เขาไม่มีทางจัดสรรลูกน้องที่มีพละกำลังน้อยนิดหรือไม่มีความจงรักภักดีมากพอมาเป็นบอดี้การ์ดของเธอแน่

พี่หนานรับกล่องบรรจุเงินสดไปถือไว้ ทำท่าทางราวกับตัวเองได้รับตราแผ่นดินหยก รู้สึกว่าความรับผิดชอบนี้ช่างหนักอึ้ง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่หมอร่ำๆ จะทุบไหน้ำส้มแล้วนะม่ายจื่อ สังเกตอาการพี่หมอหน่อย

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

  1. แวะมาบ่น พูดว่า:

    งง ึนตกหลุมรักนางเอกไปได้ยังไง ปากบอกรักพระเอก รัดปู่ฟางย่าฟาง แต่พอถึงเวลาก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาความต้องการของตัวเองมาก่อนทุกคนเสมอ ไม่เห็นเคยเสียสละอะไรให้คนอื่น ที่ให้คือที่ตัวเองเหลือๆ แล้วก็ไม่ได้ฉลาดนะ เห็นยกยอนางเอกกันจัง คือถ้าไม่ได้คนรอบตัวช่วยคือ สติปัญญาธรรมดามาก ส่วนพวกตัวร้ายโง่แบบ อิหยังวะมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท