ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้…
สืออีเหนียงหน้าแดงก่ำ
นางกอดคอสวีลิ่งอี๋และขยับหน้าตัวเองเข้าไปแนบกับใบหน้าของเขา
สืออีเหนียงขี้อายขนาดนั้น แล้วเขาก็ถามเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงคำตอบ เกรงว่านางคงจะเขินอายจนตอบไม่ถูก…
คิดเช่นนี้ จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกไม่สบายใจ…เขาอดไม่ได้ที่จะกอดสืออีเหนียงแน่น
เช่นนี้นั้นมองไม่เห็นดวงตาที่สดใสของนาง แค่สัมผัสได้ถึงรูปร่างที่งดงามของนาง…ไม่แปลกที่สืออีเหนียงมักจะหน้าแดงแล้วมุดหัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาเสมอ!
“มั่วเหยียน…”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสงสัย ลังเล และเนิ่บนาบ แล้วยังมีความไม่สบายใจ…ไม่ใช่สวีลิ่งอี๋ที่ยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ และก้าวเดินอย่างน่าเกรงขามอีกแล้ว…
หรือว่าเพราะคำพูดของตน ทำให้เขาเปลี่ยนไปเช่นนี้?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงแอบปิติดีใจ
******
“คนที่ครอบครัวมาหาเช่นนั้นหรือ?” เหวินอี๋เหนียงสวมเสื้อคลุม มองดูหยางอี๋เหนียงที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างตัวเอง
หยางอี๋เหนียงพยักหน้า ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาแล้วพูดเสียงสะอึกสะอื้น “บอกว่ามีอันธพาลเห็นว่าสกุลหยางถูกกวาดล้าง จึงฉวยโอกาสโจมตี ตั๋วยืมเงินสามพันตำลึงแต่กลับต้องคืนเงินสามหมื่นตำลึง ไม่เช่นนั้น จะไปฟ้องบิดาของข้าที่ศาล ท่านพ่อไม่มีทางเลือก จึงส่งคนมาหาข้า อยากให้ข้าขอร้องให้ท่านโหวช่วยออกหน้าแทนเจ้าค่ะ…”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว
ทันทีที่คนจากไปชาก็เย็น แต่พระราชโองการของฮ่องเต้ยังไม่ได้ป่าวประกาศ คนเหล่านี้ก็ทนรอไม่ไหวแล้ว
นางคิดถึงมารดาที่ยังไม่มีข่าวคราวอะไร…ไม่รู้ว่าบิดาของชิวหงจะเกลี้ยกล่อมให้ท่านแม่ออกไปจากสกุลเหวินได้หรือไม่
คิดเช่นนี้ เหวินอี๋เหนียงก็แอบถอนหายใจในใจ
หยางอี๋เหนียงเห็นดังนั้น นางก็พลันโล่งใจ
เหวินอี๋เหนียงคนนี้รักเงินมากที่สุด นางกลัวว่าเหวินอี๋เหนียงจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเสียมากกว่า
คิดเช่นนี้ นางก็เช็ดน้ำตาสองสามครั้งแล้วพูดเบาๆ “คนอื่นไม่รู้ แต่ว่าพี่หญิงรู้ดี ตั้งแต่ข้าแต่งเข้ามา… เคยคุยกับท่านโหวแค่ไม่กี่ประโยค แล้วท่านโหวก็เย็นชากับข้านัก ไม่เหมือนกับฮูหยินและพี่หญิง เขาอ่อนโยนและเป็นมิตร มีเรื่องอันใดเขาก็ดูแล ยิ่งไปกว่านั้น ในนามแล้วข้าถือเป็นอนุภรรยาของท่านโหว เรื่องใหญ่เช่นนี้ ก็ควรปรึกษากับฮูหยินก่อน” พูดจบ นางก็ทำหน้าเศร้า “แต่ว่าตอนนี้สกุลหยางถูกกวาดล้าง จะเป็นตายร้ายดีเช่นไรก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าฮูหยินอยากช่วย แต่เกรงว่านางคงต้องรักษาชื่อเสียงและอนาคตของสกุลสวี จะยอมสูญเสียผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ไปเพียงเพราะกำไรแค่น้อยนิดได้เช่นไรเจ้าคะ…ข้าจึงไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือจากฮูหยิน…”
เหวินอี๋เหนียงนึกถึงตัวเอง
ตอนนั้นนางก็นอนพลิกตัวไปมาตั้งหลายคืน กว่าจะรวบรวมความกล้าไปหาฮูหยิน…แต่คิดไม่ถึงว่าฮูหยินจะตอบตกลงอย่างง่ายดาย แล้วสุดท้ายก็ยังหาวิธีให้นาง
“หลังจากคิดเช่นนี้ ข้าเดินไปถึงหน้าประตูลานแล้วก็เดินกลับมา กลับมานั่งที่เรือนก็ไม่สบายใจ สุดท้ายถึงได้ข้อเท้าพลิกเจ้าค่ะ” หยางอี๋เหนียงเหยียดข้อเท้าที่ห่อด้วยผ้าฝ้ายสีขาวราวกับบ๊ะจ่างให้เหวินอี๋เหนียงดู “คิดว่ามันดึกแล้ว ฮูหยินไม่สบาย ไปหาฮูหยินก็กลัวว่าจะทำให้ฮูหยินตกใจ ท่านป้าเตือนเช่นนี้ ข้าจึงมาขอยานวดจากพี่หญิง”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินดังนั้นก็รีบถามถึงข้อเท้าของนาง พอรู้ว่าไม่ร้ายแรงอะไร นางก็พูดปลอบใจหยางอี๋เหนียง “ยานวดอันนี้ใช้ดีมาก! เจ้าพักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้เชิญท่านหมอมาสั่งยาให้เจ้าทานสักสองสามถ้วย ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น!”
หยางอี๋เหนียงพยักหน้า แต่กลับพูดว่า “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องเท้าของข้า ค่อยๆ รักษา ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ” พูดถึงตรงนี้ นางก็ก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบา “ข้าเป็นห่วงคนในครอบครัว…พวกอันธพาลบังคับให้ท่านพ่อของข้าคืนเงิน ผ่านมาสิบวันแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง ท่านพ่อของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา หากเขาไม่ยอมอันธพาลพวกนั้น…” นางร้องไห้อีกครั้ง “ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป…ถึงแม้ว่าข้าจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบาย…แต่เกรงว่าชาตินี้ข้าคงจะนอนไม่หลับแน่นอนเจ้าค่ะ…”
“ไม่เป็นอะไรหรอก!” เหวินอี๋เหนียงช่วยนางวิเคราะห์ “คนพวกนั้นก็แค่อยากได้เงิน! บังคับเขาจนถึงที่สุดแล้วไม่ได้อะไร ทุกคนก็แยกย้ายกันไป มันไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขา ข้าคิดว่า เจ้าอย่าคิดมากไปเลย กลับไปนอนพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าเราไปขอร้องฮูหยินด้วยกัน ดูว่าฮูหยินพูดเช่นไรแล้วค่อยตัดสินใจ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ฮูหยินเป็นคนใจกว้าง แล้วยังเข้าใจหัวอกคนอื่น คนในจวนมีเรื่องอันใดก็ชอบไปปรึกษาฮูหยิน หากนางช่วยได้ นางต้องช่วยเจ้าแน่นอน เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
“จริงหรือเจ้าคะ!” หยางอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย นางยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อของเหวินอี๋เหนียง “เช่นนั้น เราไปขอร้องฮูหยินตอนนี้เลยได้หรือไม่”
เหวินอี๋เหนียงตกใจ
“พี่หญิงอาจจะไม่รู้” หยางอี๋เหนียงร้องไห้อีกครั้ง “ข้านอนไปแล้ว แต่เมื่อหลับตาลงก็ฝันว่ามีคนมายึดบ้าน ท่านพ่อถูกทุบตี ท่านแม่และน้องของข้าเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ทานข้าวก็ไม่อิ่มท้อง ร้องไห้บอกให้ข้าช่วยพวกเขา…” นางซบเข่าเหวินอี๋เหนียงแล้วร้องไห้ “ข้ายังจะนั่งติดได้เช่นไรกัน…นึกขึ้นมาได้ว่าพี่หญิงจริงใจกับทุกคน ดีกับข้าเหมือนข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่หญิงนอนแล้ว แต่ข้าก็ยังหน้าด้านมาหาพี่หญิง…” นางเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมา “พี่หญิงเจ้าคะ พี่หญิงโปรดเห็นแก่ข้าที่แต่งเข้ามาก็เรียนรู้กฎเกณฑ์กับพี่หญิง พี่หญิงไปหาฮูหยินกับข้านะเจ้าคะ…ไม่ว่าฮูหยินจะยอมเจอเราหรือไม่ แต่ข้าจะได้สบายใจ…ไม่เช่นนั้น ข้ามักจะคิดว่าตัวเองไม่ยอมไปขอความช่วยเหลือจากใคร เพราะความปลอดภัยของตัวเอง…”
เรื่องของสกุลเหวินเองก็ยังไม่เรียบร้อย แน่นอนว่าเหวินอี๋เหนียงย่อมเข้าใจความรู้สึกของนาง แต่ว่าไปหาสืออีเหนียงตอนนี้…
“แค่ไปดูเฉยๆ ก็พอ” หยางอี๋เหนียงอ้อนวอนอย่างขมขื่น “หากฮูหยินนอนแล้ว เราก็จะไม่รบกวนฮูหยิน!”
บิดาของหยางอี๋เหนียงเป็นสกุลญาติ ถึงแม้ว่าสกุลหยางจะถูกกวาดล้าง แต่มันก็ผ่านไปตั้งหลายวันแล้ว และบิดาของหยางอี๋เหนียงก็ไม่ถูกคุมขัง คิดว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวอะไรกับครอบครัวของหยางอี๋เหนียง แล้วก็เหมือนที่หยางอี๋เหนียงพูด จะช่วยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับฮูหยิน
เหวินอี๋เหนียงนึกถึงความมีเมตตาที่สกุลเหวินเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลหยาง แต่สืออีเหนียงก็ยังยื่นมือช่วยนาง…
“ก็ได้!” นางเรียกตงหงมาแต่งตัวให้นาง “เราไปดูกันก่อน หากฮูหยินนอนแล้ว เราก็จะไม่รบกวนฮูหยิน!”
สีหน้าของหยางอี๋เหนียงเต็มไปด้วยความดีใจ นางพยักหน้าซ้ำๆ “พี่หญิง ข้ารู้ว่าพี่หญิงใจกว้าง ความรู้สึกของข้าตอนนี้ นอกจากพี่หญิงแล้วก็ไม่มีใครเข้าใจข้าแล้วกระมัง…”
******
สวีลิ่งอี๋ค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเม็ดเหงื่อที่ขมับให้สืออีเหนียงอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ถามนางเบาๆ “เหนื่อยหรือไม่”
สืออีเหนียงหลับตาลง ปล่อยให้เขากอดตัวเองแล้วตอบกลับ “เจ้าค่ะ” อย่างแผ่วเบา
นัยน์ตาของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารีบสำรวจมองสีหน้าของสืออีเหนียง
เมื่อเห็นนางหน้าแดง สวีลิ่งอี๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่สืออีเหนียงกลับขยับตัว “ตัวของข้ามีแต่เหงื่อเจ้าค่ะ…”
เขารู้ว่านางรักความสะอาด แล้วเขาก็ชอบความสะอาดของนาง แต่ครั้งนี้ เขากลับกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน “รอก่อน ประเดี๋ยวข้าช่วยเช็ดตัวให้เจ้า!”
เขาอยากกอดนางเช่นนี้อีกสักพัก
สืออีเหนียงไม่อยากขยับแม้แต่นิ้วมือ เห็นเขายืนกรานเช่นนี้ นางจึงหลับตาแล้วซบลงบนตัวของเขา
อาจจะเป็นเพราะว่าเหนื่อยเกินไป ทันทีที่นางหลับตาลงก็ผล็อยหลับไปทันที
สืออีเหนียงอยู่ในความงุนงง แต่กลับได้ยินเสียงของจู๋เซียงดังขึ้นมา “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ขันทีในพระราชวังได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้มาเชิญท่านโหวไปเข้าเฝ้าเจ้าค่ะ!”
ตัวของสวีลิ่งอี๋กระตุก
“ท่านโหวเจ้าคะ!” สืออีเหนียงตื่นขึ้นมาแล้วรีบกอดสวีลิ่งอี๋
แตกต่างจากความอ่อนโยนเมื่อครู่ ตอนนี้นางเป็นห่วงและไม่สบายใจ
เหตุใดจู่ๆ ถึงเชิญสวีลิ่งอี๋ไปเข้าเฝ้าตอนนี้!
เจี้ยนหนิงโหว โซ่วชังปั๋วแล้วยังมีเก๋อเหล่าอีกสองคนที่ถูกคุมขังอยู่ อีกทั้งหันซิ่นยังถูกสังหารในพระราชวัง!
รู้สึกถึงตัวที่แข็งทื่อของสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ก็รีบกอดนางอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! ช่วงนี้ฮ่องเต้กำลังยุ่งเรื่องการปฏิวัติระบอบการปกครอง!”
สืออีเหนียงครุ่นคิด คิดว่าคำพูดของสวีลิ่งอี๋มีเหตุผล
จู่ๆ ก็โจมตีเก๋อเหล่าสองคน ราชสำนักกำลังวุ่นวาย ฮ่องเต้ไม่มีทางทำอะไรสวีลิ่งอี๋ตอนนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสวีลิ่งอี๋มีคนของตัวเองอยู่ในพระราชวังตั้งมากมาย หากฮ่องเต้คิดจะทำอะไรเขาก็ต้องรู้ แล้วสวีลิ่งอี๋ก็ยังสังเกตการเคลื่อนไหวในราชสำนักตลอด เขาคงจะต้องได้ยินข่าวลือบ้างไม่มากก็น้อย!
นางถอนหายใจ
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางเป็นห่วงตัวเอง เขาจึงพูดหยอกล้อนาง “ทำไมกัน ไม่อยากให้ข้าไปเช่นนั้นหรือ!”
สืออีเหนียงหน้าแดง
โชคดีที่เขาพูดอ้อมค้อม ไม่เช่นนั้นหากเขาพูดออกมาตรงๆ นางคงจะเขินอายอย่างมาก
“ใช่เจ้าค่ะ!” นางรู้ว่าเขากำลังหยอกล้อตัวเอง “ไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
เขาอดหัวเราะไม่ได้
“ไม่อยากให้ข้าไป…” เขาใช้หน้าผากตัวเองแตะหน้าผากของนางแล้วพูดเบาๆ มีกลิ่นอายของความรักและเอ็นดู “เช่นนั้นข้าก็จะอยู่กับเจ้าที่เรือน!”