ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองเลี่ยวจือฝู่ก่อนจะละสายตาไป จากนั้นเขาจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกับเป็นที่ปรึกษาจริงๆ แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า ”ใต้เท้าเว่ย ข้าขออนุญาตเบิกตัวพยานที่ศาลาว่าการพบเข้ามาขอรับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของชายหนุ่ม แล้วจึงกระตุกริมฝีปากบางของตัวเองขึ้น ”อนุญาต”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนตัวกลับไป ขาเพรียวปักหลักยืนตัวตรง ดวงตามืดมิดราวกับรัตติกาล ความเย็นชาที่ชวนให้รู้สึกกดดันแผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างรุนแรง ”พวกเจ้า ไปพาผู้ดูแลจวนสองคนจากจวนเยี่ยนเข้ามา”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างสี่ร่างก็พลันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันที่ด้านนอกของศาลาว่าการ พวกเขาทุกคนล้วนแต่แต่งกายในชุดสีดำสนิท รูปร่างของพวกเขาใกล้เคียงกัน และเพียงแค่ผลักครั้งเดียว ผู้ดูแลจวนสองคนที่ว่านั้นก็ถึงกับถลามาข้างหน้า!
ใบหน้าของเยี่ยนต้าจ้าวซีดเผือดในทันใด!
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ รีบลุกขึ้นแล้วไสหัวกลับไปที่จวนซะ!”
ใบหน้าของผู้ดูแลจวนทั้งสองคนบวมช้ำจนแทบจำไม่ได้ ริมฝีปากของพวกเขาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งในดวงตาของเขาก็ยังมีน้ำตาเอ่อคลออยู่อีกด้วย พวกเขาเองก็อยากกลับไปที่จวนเช่นกัน
แต่กลุ่มชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังของพวกเขานั้นน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก!
หลังจากผู้ดูแลจวนทั้งสองถูกเปิดโปงว่าให้เงินติดสินบนพยาน ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่ถูกอัดจนน่วม แต่กระทั่งครอบครัวของพวกเขาก็ยังพลอยถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดด้วย ถ้าทั้งสองปฏิเสธที่จะปรากฏตัวขึ้นให้การในชั้นศาล ชายกลุ่มนั้นก็จะตามไปจัดการกับครอบครัวของพวกเขา!
ต่อให้พวกเขาจะอยากกลับไปเพียงใด แต่พวกเขาก็กลัวเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้!
เมื่อเยี่ยนต้าจ้าวเห็นว่าผู้ดูแลจวนทั้งสองตัวแข็งอยู่กับที่เช่นนั้น เขาก็รีบเดินเข้าไปกระชากแขนของหนึ่งในนั้น!
“เยี่ยนต้าจ้าว!” เฮ่อเหลียนเวยเวยขึ้นเสียงและหยุดการกระทำของเขาไว้อย่างรวดเร็ว เสียงของนางดังฟังชัดและทรงอำนาจ ”เจ้าคิดจะทำอะไรพยาน อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้ายืนอยู่ในเขตของศาลาว่าการ ต่อให้เจ้าจะมีคนหนุนหลัง แต่เจ้าก็ไม่ควรทำตัวล้ำเส้น”
นางพูดเช่นนั้นพลางมองไปที่เลี่ยวจือฝู่
ใบหน้าของเลี่ยวจือฝู่เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำต่อหน้าทุกคนเพราะเห็นสายตาที่นางมองมา เขาไม่มีทางเลือกนอกจากตะโกนใส่เยี่ยนต้าจ้าวว่า ”มารยาทของเจ้าหายไปไหนหมด! กลับมาเดี๋ยวนี้!”
“แต่…” นายท่านเยี่ยนยังพยายามปกป้องตัวเอง
ใบหน้าของเลี่ยวจือฝู่ยิ่งดูหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขามองชายอีกคนอย่างดุร้ายก่อนจะหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกล่าวว่า ”ใต้เท้าเว่ย ท่านต้องให้ข้าเตือนท่านอีกครั้งหนึ่งหรือว่าเพราะความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างท่านกับหลิวอิน ท่านจึงไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ตัดสินคดีในครั้งนี้ ท่านควรส่งต่อสิ่งที่ตัวเองตรวจสอบให้กับขุนนางคนอื่นๆ จากเมืองหลวงประจำมณฑลเป็นผู้ตัดสินแทนเสีย”
“ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างข้ากับหลิวอินหรือ ข้ากับหลิวอินมีความสัมพันธ์อันใดกันรึ” สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเย็นชา แล้วเอ่ยต่ออย่างเยือกเย็นว่า ”นอกจากนี้ เลี่ยวจือฝู่ ท่านไม่เห็นพยานสองคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นหรือ ท่านยังไม่ทันได้ถามสิ่งที่พวกเขารู้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับเอาแต่ใช้อำนาจของตัวเองปกป้องเยี่ยนต้าจ้าว และพยายามขัดขวางไม่ให้ข้าสอบสวนต่อ ข้าคิดว่าแค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วมิใช่หรือว่าเวลานี้ คนที่มีจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวคือใครกันแน่!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ก็มีเสียงของชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาสมทบว่า ”ใต้เท้าเว่ยพูดถูก! คนที่มีจุดประสงค์เห็นแก่ตัวแอบแฝงอยู่คือใต้เท้าเลี่ยวต่างหาก!”
“ใช่แล้ว! เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขากำลังปกป้องเยี่ยนต้าจ้าวอยู่! เยี่ยนต้าจ้าวกับเลี่ยวจือฝู่มีความเกี่ยวข้องกันอยู่มิใช่หรือ”
พลังของชาวบ้านที่รวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถประมาทได้เลยทีเดียว หลังจากมีคนแสดงความคิดเห็นออกมาคนหนึ่ง คนอื่นๆ ก็เริ่มส่งเสียงตามมา!
บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดเอาไว้เมื่อครู่
พวกเขาไม่อยากรอให้ถึงวันที่บุตรสาวของตัวเองต้องถูกรังแก และไร้ซึ่งสถานที่ที่ให้ร้องขอความเป็นธรรม!
เมื่อเห็นว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่คิดสู้กลับ บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลจึงจำต้องก้าวออกมาทำให้ประชาชนสงบลงด้วยตัวเอง ”ข้าขอให้ทุกคนเชื่อการตัดสินใจของชั้นศาล และเชื่อในใต้เท้าเลี่ยวด้วย เขาเพียงพยายามที่จะจัดการคดีนี้เท่านั้น”
“ใต้เท้าเว่ยเองก็ต้องการจัดการคดีนี้เหมือนกัน ทำไมท่านไม่ปกป้องเขาล่ะ” เฉินเหลียงไม่ได้เปิดเผยใบหน้าของตนออกมา มีแต่เสียงของเขาเท่านั้นที่ดังขึ้นมาท่ามกลางฝูงชน ”จากความเห็นของข้า พวกท่านทุกคนคงได้ผลประโยชน์จากใต้เท้าเลี่ยวล่ะสิ พวกท่านถึงได้เอาแต่ปกป้องเขา!”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ใต้เท้าเฉินซึ่งเป็นผู้ว่าการสามมณฑลก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง แม้กระทั่งเจ้าลูกชายโง่เขลาของเขาก็ยังรู้เลยว่าสิ่งใดไม่ควรทำ แต่เจ้าขุนนางพวกนั้นกลับโง่เหมือนห่านไม่มีผิด!
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนพลันพุ่งเป้าไปอยู่ที่บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑล ในเวลานี้พวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะสามารถปกป้องเลี่ยวจือฝู่ได้อีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ทำตามเสียงของประชาชนและเอ่ยเสียงดังว่า ”ทุกคนคิดกับพวกข้าเช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งเดียวที่พวกข้าต้องการทำก็คือการค้นหาความจริง พวกข้าไม่ได้ตัดสินเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกท่านถึงไม่ยอมให้ใต้เท้าเว่ยไต่สวนคดีนี้ต่อล่ะ”
เสียงพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นราวกับคลื่นที่ซัดโถม ในไม่ช้าบรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลเหล่านั้นก็เริ่มกลัวขึ้นมาว่าพวกเขาจะถูกล้อมเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้ง พวกเขาสบตากัน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า ”พวกข้าไม่ได้บอกว่าจะห้ามไม่ให้ใต้เท้าเว่ยทำการไต่สวนต่อ พวกข้าเพียงแต่คิดว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะทำคดีนี้ เพราะการทำเช่นนั้นอาจส่งผลต่อคำตัดสินสุดท้ายได้ก็เท่านั้น” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็เว้นวรรคไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ในเมื่อชาวบ้านขอให้ท่านอยู่ต่อ เช่นนั้นใต้เท้าเว่ย คดีนี้จึงยังอยู่ในการตัดสินของท่าน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกข้าต้องขอพูดให้ชัดเจน นั่นคือท่านต้องทำให้พวกเรามั่นใจด้วยว่าท่านจะตัดสินคดีนี้อย่างซื่อสัตย์และยุติธรรม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แม้แต่จะปรายตามองสีหน้าราบเรียบอันแสนจอมปลอมของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ นางยืนขึ้นแล้วเดินไปทางเด็กสาวสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ ทุกย่างก้าวอันสง่างามของนางเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์และดูองอาจกล้าหาญยิ่งนัก
ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่พวกเสี่ยวชุ่ยที่ไม่กล้าสบตานางด้วยซ้ำ ”ข้าจะถามพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย พวกเจ้าต้องการกลับคำให้การต่อเยี่ยนต้าจ้าวจริงหรือ”
เด็กสาวหนึ่งในสองคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ แต่อีกคนกลับเงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความลังเล ”ข้า.. ข้า…”
เพียงแค่อ้าปาก นางก็ถูกญาติของตัวเองคว้าตัวกลับไปด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลจนน่าตกใจ
ญาติของนางจ้องนางอย่างโกรธเกรี้ยว สายตาดุร้ายนั้นเต็มไปด้วยความหมายลึกล้ำที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้
เสี่ยวชุ่ยหยุดพูดในทันที นิ้วอันงดงามของนางกำเสื้อของตัวเองแน่นพร้อมกับก้มหน้าลงอย่างเงียบๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ในสายตา จากนั้นดวงตาของนางก็พลันล้ำลึกยิ่งขึ้น
แต่เยี่ยนต้าจ้าวกลับหัวเราะอย่างเบิกบาน ไม่มีอะไรที่เจ้าจะสามารถทำได้อีกแล้ว! เจ้าจับผู้ดูแลจวนสองคนนั้นมาแล้วจะทำอะไรได้หรือ ตราบใดที่ไม่มีใครคิดจะพูดความจริงออกมา เจ้าคนแซ่เว่ยนี่จะทำอะไรข้าได้
มองแค่ปราดเดียวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มองความคิดของชายคนนั้นออก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโน้มตัวลง แล้วใช้มือที่สวมถุงมือคว้าผู้ดูแลจวนคนหนึ่งขึ้นทันที!
“บอกทุกอย่างที่เจ้ารู้มา ไม่อย่างนั้น…” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงยิ้มอยู่ แต่ทุกคนกลับรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
โดยเฉพาะกับผู้ดูแลจวนคนนั้นที่ถูกคว้าตัวขึ้นเหนือพื้น ใบหน้าของเขาซีดจนกลายเป็นสีขาว เขากลัวว่าตัวเองจะถูกบีบคอตายไปทั้งอย่างนั้น ดังนั้นเขาจึงขอร้องด้วยเสียงอันสั่นเทาว่า ”ข้ายอมพูดแล้วขอรับ ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง! ก…ก่อนหน้าการไต่สวนนี้ ที่ปรึกษาจางกับนายท่านเยี่ยนวางแผนกันว่า…”
“ใส่ร้าย! นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีกันชัดๆ!” ทันทีที่ผู้ดูแลจวนคนนั้นเอ่ยขึ้น ใจของเยี่ยนต้าจ้าวก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในเวลานั้นเขานึกโมโหยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงวิ่งเข้าไปหาผู้ดูแลจวนคนนั้นและพยายามจะทำให้เขาหยุดพูด!
แต่ร่างในชุดดำสองร่างที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้นกลับทำตัวเหมือนกับกำแพงไม่มีผิด ไม่ว่าเขาจะพยายามยื่นมือออกไปเพียงใด เขาก็ไม่สามารถแตะตัวผู้ดูแลจวนคนนั้นได้แม้แต่นิดเดียว!
ผู้ดูแลจวนคนนั้นกลัวว่าหลังจากนี้เยี่ยนต้าจ้าวจะโทษว่าเป็นความผิดของเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักหลังจากพูดประโยคแรกจบ
แต่มีหรือที่องค์ชายจะยอมให้ผู้ดูแลจวนคนนั้นกลับคำพูด นิ้วที่กำอยู่รอบคอของชายคนนั้นยิ่งรัดแน่นขึ้นอีก เขาถามขึ้นด้วยท่าทางโหดเหี้ยมว่า ”แผนการอะไร”