หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1276 ห้าธาตุสำเร็จ!

บทที่ 1276 ห้าธาตุสำเร็จ!
“จะมาแล้วหรือ” “หวังเป่าเล่อที่ปิดผนึกดวงตา หูและจมูกกำลังเงยหน้า ประสาทสัมผัสของเขาครอบคลุมไปทั้งโลกศิลาและเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณเลือดที่ดูเหมือนจะกำลังทะลุจักรวาลมาด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
ในการรับรู้ พลังปราณนี้ก่อตัวเป็นตะขาบขนาดมหึมา ความโหดร้ายและความบ้าคลั่งที่ไม่อาจบรรยายได้เผยออกมาตลอดทางที่ข้ามผ่านความว่างเปล่า ราวกับจะฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้า
คนที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เหมือนกันคือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์
เมื่อทั้งสามสัมผัสได้ถึงพลังปราณเลือดก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันใด ร่างแต่ละคนกะพริบและหายไปจากสถานที่ถือสันโดษทันที
ตอนนี้เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟของหวังเป่าเล่อเพิ่งหลอมไปได้แปดส่วน อีกสองส่วนที่เหลือยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเสร็จสิ้น อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ถึงว่าแม้รูทวารทั้งเจ็ดของตนจะเหลืออีกหนึ่งรูที่ยังไม่ได้ปิดผนึก แต่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
ต่อให้ปิดผนึกทั้งหมดก็ยังไม่อาจสกัดการปะทุและการก้าวหน้าของระดับการฝึกตนได้ ขีดจำกัดที่โลกศิลาจะรับได้ก็จะถูกทำลายเช่นกัน
แต่สีหน้าหวังเป่าเล่อยังไม่เปลี่ยนมากนัก ก่อนที่เขาจะหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟ เขาได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว ตอนนี้เขายังไม่ทำอะไรเพื่อหยุดการก้าวหน้าของระดับการฝึกตน แต่หลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟต่อไปและระดับการฝึกตนก็ยังปะทุไม่หยุด
ในไม่ช้าพลังปราณของเขาก็ครอบคลุมไปทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและการคลอบคลุมไปถึงเต๋าฝั่งซ้ายได้ย่อมหมายถึงทั้งโลกศิลาตกอยู่ในอาณาเขตพลังปราณของเขาแล้ว
สำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้าย จักรพิภพใจกลางล้วนถูกพลังปราณของหวังเป่าเล่อแทรกซึม ทุกชีวิตและผู้ฝึกตนที่ฝึกตนตามวิถีกฎแห่งไฟต่างร้องคำรามอยู่ในใจ นั่นก็เพราะเต๋าแห่งวิถีการฝึกตนของพวกเขามีต้นกำเนิดแล้ว
ต้นกำเนิดนี้กลายเป็นที่สุดแห่งเต๋าของพวกเขา
จักรวาลแผดเสียงคำราม โลกศิลาสั่นสะเทือน ในที่สุดเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟตรงหน้าหวังเป่าเล่อสำเร็จไปเก้าส่วน เหลืออีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น…
ระดับการฝึกตนของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง รอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นวงกว้าง คราวนี้มันแตกร้าวไปทั่วทั้งโลกศิลาจนทุกชีวิตแหงนหน้ามอง
ความรู้สึกถึงวันโลกาวินาศผุดขึ้นในจักรวาล เมื่อเห็นว่าโลกศิลากำลังจะรับไม่ไหว หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาแตะหว่างคิ้ว
ทันทีที่แตะลงไป ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม และเกิดเงาซ้อนทับบนร่างกายเขาทันที ขณะที่ตัวสั่นเทิ้มนั้นเอง เงาร่างมายาที่ซ้อนทับอยู่นั้นก็ผุดลุกขึ้นและเดินไปรอบๆ
มีทั้งหมด 10 ร่าง ล้วนเป็นร่างแยกของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น
กระบวนท่าสารัตถะ!
กระบวนท่านี้สืบทอดมาจากเฉินชิง หลังจากหวังเป่าเล่อชำนาญแล้วมันก็ช่วยเขาได้มากทีเดียว อย่างในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้มันก็ได้สำแดงอานุภาพสูงสุดแล้ว
แบ่งระดับการฝึกตน!
วินาทีต่อมาเมื่อร่างสารัตถะเดินออกมา ในร่างต้นแบบจึงไม่อาจข่มกลั้นระดับการฝึกตนได้อีกต่อไป มันไหลเวียนและผสานเข้าไปในร่างแยกทั้งสิบ ทำให้ร่างแยกทั้งสิบระเบิดระดับการฝึกตนขึ้นในพริบตา ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็สูงถึงระดับที่น่าทึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่หวังเป่าเล่อยังไม่มีเซียนไร้พันธนาการ
ร่างแยกทั้งสิบก็เช่นกัน
หากมีใครเห็นภาพนี้คงจะตกตะลึงสุดขีด ร่างแยกทั้งสิบในตอนนี้มีพลังต่อสู้ที่ทรงพลังมาก ถึงอย่างไรก่อนที่หวังเป่าเล่อจะรู้แจ้งเซียนไร้พันธนาการ ร่างของเขาก็ถึงจุดสูงสุดด้านพลังต่อสู้ของโลกศิลาอยู่ก่อนแล้ว
ร่างแยกทั้งสิบต่างเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็เกิดจากระดับการฝึกตนส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ซึ่งหากคำนวณดูแล้ว พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้ไปถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว
ขณะเดียวกันระดับการฝึกตนของร่างต้นแบบหวังเป่าเล่อถูกแบ่งแยกออกไปและปิดผนึกรูทวารทั้งหก ความผันผวนภายในร่างกายที่ทำให้โลกศิลาไม่อาจรับได้ก็อ่อนลงในที่สุด รอยร้าวเริ่มประสานตัว
โลกศิลาก็เหมือนบอลลูนลูกหนึ่ง สิ่งที่จะทำให้มันระเบิดไม่ได้มีแต่อากาศข้างใน ยังมีวัตถุด้วย อย่างเช่นพ่อของหวังอีอีหรือหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็เหมือนกับดาบยาวอันแหลมคมที่ซึ่งความยาวของมันเกินขอบเขตของบอลลูนไป ดังนั้นทันทีที่มันปรากฏขึ้นก็จะทะลวงและพังทลายทุกอย่าง
แต่หากดาบยาวเล่มนี้แบ่งแยกเป็นหลายเล่ม ความยาวของมันก็ย่อมลดลง ดังนั้นแม้จำนวนจะเพิ่มมากขึ้น แต่โลกศิลาก็ยังพอรับได้
เพียงแต่การรับนี้ก็มีขีดจำกัด อีกทั้งผู้ฝึกตนจากข้างนอกกับผู้ฝึกตนท้องถิ่นก็แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อของหวังอีอีจึงไม่อาจเข้ามาได้ เพราะระดับความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่เหมือนกับระดับของสิ่งมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่โลกศิลาจะรับได้
ขณะที่กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อกำลังทำงานอยู่นั้น ร่างแยกจากดวงจิตเทพของมหาเทพก็ทะลวงผ่านกำแพงกั้นระหว่างจักรวาลโลกศิลาและความว่างเปล่าเข้ามาในโลกศิลาพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
และในพริบตาที่เขาก้าวเข้ามานั้นเอง จักรวาลพลันบิดเบี้ยว ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และยกมือขวาขึ้นทันทีโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นก็มีกระบองยักษ์ปรากฏขึ้นพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มชุดแดง
กระบองยักษ์นี้ต่างจากแต่ก่อน มันถูกล้อมรอบด้วยดวงดาวที่หดเล็กลงจำนวนมากทำให้อานุภาพของมันพุ่งถึงขีดสุด เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น จักรวาลพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกันร่างของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็ก้าวออกมาด้วยสายตาแน่วแน่ สองมือทำผนึกมุทรา เคล็ดวิชาแห่งชะตาพลันไหลเวียนในร่างกายและมีกำยานปรากฏขึ้นตรงหน้าและติดไฟทันที ก่อตัวเป็นเส้นยาสูบจำนวนมากพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มชุดแดง
เส้นยาสูบเหล่านี้บรรจุชะตาอนันต์ ฟันได้ สยบได้ ผนึกได้!
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เพียงพริบตาเดียวพวกเขาทั้งสองก็คำรามขึ้นพร้อมกัน
“ไสหัวไป!” เด็กหนุ่มชุดแดงกำลังหัวเสียอย่างหนักและวิตกกังวลมาก หลังจากเข้ามายังโลกศิลาแล้วความรู้สึกของเขาก็ยิ่งทวีความชัดเจนขึ้น ความผันผวนจากจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นเหมือนกับเปลวไฟลูกใหญ่ในคืนมืดมิด สะท้านฟ้าสะเทือนดิน และน่าสยดสยอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อันตรายครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เฉินชิงนำมาให้เขาเสียอีก
ดังนั้นเขาจึงโบกมือเพื่อสำแดงเคล็ดวิชาลับโดยไม่ลังเล ร่างกายแปลงเป็นพายุสีเลือดกวาดล้างไปทั่วทุกสารทิศ กระบองยักษ์พังทลาย เส้นยาสูบชะตาถูกตัดขาด ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยต่างกระอักเลือดสดออกจากปาก และไม่สามารถหยุดเด็กหนุ่มชุดแดงได้อีกต่อไป
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผลอะไรเลย ฉับพลันที่พวกเขาทั้งสองล้มกลิ้ง แสงดาบพลันสว่างวาบบนจักรวาล ส่องสว่างพร่างพรายราวกับจะทำให้ทั้งจักรวาลสว่างไสว มันปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่มชุดแดง
ดาบนั้นกวาดไปหนึ่งครั้งทำให้ร่างเด็กหนุ่มชุดแดงที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าต้องถอยร่นไปกะทันหัน แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นจึงถูกแสงดาบนั้นฟันลงบนร่างกายจนร่างกายแยกเป็นสองส่วน แต่ในไม่ช้ามันก็กลับมารวมตัวกัน ยิ่งทำให้สีหน้าปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่มาพร้อมกับแสงดาบนั้นเคร่งขรึมมากขึ้น
“ดาบนี่…คุ้นๆ นะ…” เด็กหนุ่มชุดแดงที่ร่างกลับมาเป็นเช่นเดิมแหงนหน้ามองปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์อย่างบ้าคลั่ง
“แต่ยังไม่พอหรอก!” ระหว่างที่พูด ร่างของเด็กหนุ่มชุดแดงก็แยกออกจากกันเอง ฉับพลันเงาร่างตะขาบสีเลือดก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมแผดเสียงกรีดร้องสะท้อนไปในจิตใจทุกคน มันพุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนทันที
จักรวาลพลันปั่นป่วน หวังเป่าเล่อกำลังหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟซึ่งกำลังจะสำเร็จจากเก้าส่วนเป็นสิบส่วน ทำให้หลังจากสำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้ายและจักรพิภพใจกลางถูกห่อหุ้มแล้วก็เกิดรอยร้าวแผ่ขยายไปทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างรวดเร็ว
ระดับการฝึกตนของเข้าก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง พลังปราณของเขากว้างขวางและสง่างาม!
ส่วนร่างแยกนั้นก็ถูกเขาแยกออกมาอีกสิบร่างล้อมรอบร่างของเขาไว้ราวกับกลุ่มดาวล้อมรอบดวงจันทร์!
เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟก็เร่งความเร็วในการหลอมขึ้นในทันที เก้าจุดหนึ่ง เก้าจุดสาม เก้าจุดห้า…
จนกระทั่งเก้าจุดเก้า…
……………………………
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท