สืออีเหนียงไม่คิดว่าที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
นางยิ้มแล้วกอดสวีลิ่งอี๋
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ดิ้นแล้วลุกขึ้น “ข้ารับใช้ท่านโหวเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่าเจ้าคะ!”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ขยับตัวแล้วโอบกอดนางอย่างแนบแน่นขึ้น มองไปที่นางด้วยสายตาที่แวววับพลางตะโกนถามคนที่อยู่นอกม่าน “คนในพระราชวังที่มาคือใครกัน”
“คนในพระตำหนักเฉียนชิงเจ้าค่ะ” จู๋เซียงตอบกลับด้วยความเคารพ “บอกว่ามาหาท่านโหวตามรับสั่งของฮ่องเต้เจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว!” เขามองดูสืออีเหนียงอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นก็ลูบหน้าผากนางเบาๆ “ไปบอกผู้ดูแลจ้าว บอกให้พาเขาไปดื่มชาที่เรือนหน่วนเก๋อด้านหลังห้องโถงใหญ่”
จู๋เซียงขานรับแล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋จูบขมับสืออีเหนียงด้วยท่าทีที่ไม่อยากลุกขึ้น
สืออีเหนียงลังเล “ท่านโหว หรือว่าท่านรู้ว่าฮ่องเต้เรียกท่านไปเข้าเฝ้าเพราะเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
มือของสวีลิ่งอี๋วางอยู่ตรงส่วนโค้งอันบอบบางแต่กลับงดงามของนาง “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องของฮองเฮา ท่านโหวที่ไม่มีอะไรทำอย่างข้า ไม่ต้องไปยุ่งกับคนในราชสำนักเหล่านั้นจะดีกว่า”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้า
นางไม่ได้ใจเย็นเหมือนเขา! รู้ว่ามีคนรออยู่ข้างนอกแล้วยัง…
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงผลักเขาออก “ท่านไปดูดีกว่าเจ้าค่ะ!” ทันทีที่พูดจบ ก็มีเสียงของจู๋เซียงดังออกมาจากข้างนอก “ท่านโหวเจ้าคะ ผู้ดูแลจ้าวขอพบท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพลันตัวแข็งทื่อ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ เขารู้ว่าวันนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว!
เขาแอบคิดเสียดายในใจ
สืออีเหนียงไม่ได้มีอารมณ์เช่นนี้บ่อยๆ…ทำลายบรรยากาศเสียจริง!
เขาพลิกตัวมานั่งบนหัวเตียงแล้วตะโกนออกไป “มีเรื่องอันใด”
“ท่านโหวขอรับ” ถึงแม้ว่าจะมีม่านกั้นอยู่ อีกทั้งเสียงของผู้ดูแลจ้าวก็ไม่ดังมากนัก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน เขาพูดอย่างกระชับ “ก่อนที่ขันทีจะมาประกาศพระราชโองการ เฉินเก๋อเหล่าและใต้เท้าหวังต่างก็อยู่ที่พระตำหนักเฉียนชิง เมื่อเฉินเก๋อเหล่าและใต้เท้าหวังออกมาจากพระราชวัง ฮ่องเต้ก็ให้ขันทีมาประกาศพระราชโองการเชิญท่านเข้าไปในพระราชวังทันทีขอรับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องที่ฝูเจี้ยน แต่เนื้อหาคืออะไร ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดแจ้ง แต่ยามอิ๋นน่าจะมีข่าวคราวขอรับ”
“สกุลโอวมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
“คุณชายสี่และคุณชายหกสกุลโอวยังต่อต้านกันเหมือนเดิม คุณชายเจ็ดที่เป็นบุตรของภรรยาเอกและคุณชายห้าที่เป็นบุตรของอนุภรรยายืนอยู่ฝั่งคุณชายสี่ คุณชายสอง คุณชายสามที่เป็นบิดาของหวงกุ้ยเฟยสกุลโอวและคุณชายเก้ายืนอยู่ฝั่งคุณชายหกขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าพอใจแล้วตอบกลับว่า “ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นผู้ดูแลจ้าวก็ขอตัวออกไป
“ท่านโหว ท่านออกไปดูเถิด!” สืออีเหนียงกอดผ้าห่มแน่น “ช่วงนี้ราชสำนักกำลังวุ่นวาย บางทีฮ่องเต้อาจจะมีเรื่องด่วนก็ได้เจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่าการที่ขันทีออกมาจากพระราชวังจะมีขั้นตอนวุ่นวาย อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร ไปช้าหน่อยฮ่องเต้ก็ไม่มีทางว่าอะไร แต่ว่ามีขันทีที่มาประกาศพระราชโองการ หากมีข่าวลืออะไรแพร่กระจายออกไป สวีลิ่งอี๋อาจจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง เพิกเฉยพระราชโองการของฮ่องเต้
จะทำให้เสียเรื่องใหญ่เพราะเรื่องเล็กได้เช่นไร!
นางไม่รอให้สวีลิ่งอี๋พูดอะไรก็สวมเสื้อคลุม ลงจากเตียงแล้วเรียกจู๋เซียง “บอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามารับใช้ท่านโหวเปลี่ยนชุด!”
จู๋เซียงตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่ดีใจ
นางก็กลัวว่าท่านโหวจะสนใจแต่สืออีเหนียง ทำให้สืออีเหนียงเสื่อมเสียชื่อเสียง
สวีลิ่งอี๋มองดูท่าทีที่เคร่งขรึมของสืออีเหนียง เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วบิดจมูกนาง “ดูเหมือนว่าข้าอยากเป็นขุนนางทรยศคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย!”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม “เพราะว่าตอนที่ขุนนางทรยศมีชีวิตอยู่เขามีชีวิตที่สุขสบายเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ จับเส้นผมที่ตกลงมาตรงแก้มของนาง นึกถึงกลิ่นหอมที่แผ่กระจายอยู่บนหน้าอกของตัวเองเมื่อครู่ หัวใจของเขาก็พลันเต้นแรง เขาจับหน้านาง หอมแก้มนางแล้วพูดเสียงกระซิบ “รอข้ากลับมา!”
สืออีเหนียงหน้าแดงทันที
*****
ท่านป้าที่เฝ้าประตูเห็นว่าคนที่มาคือเหวินอี๋เหนียง นางก็ยิ้ม “อี๋เหนียงมาทำอะไรหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็มองดูหยางอี๋เหนียงที่อยู่ข้างหลังเหวินอี๋เหนียงด้วยความสงสัย
“ฮูหยินนอนแล้วหรือยัง” เหวินอี๋เหนียงถามอย่างไม่มีความคาดหวังอะไร
ทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าวันนี้หยางอี๋เหนียงจะลำบาก แต่ก็รับประกันไม่ได้ว่าวันไหนนางจะสูงส่ง การที่นางมาหาสืออีเหนียงครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่หยางอี๋เหนียง
“อี๋เหนียงโชคดีเสียจริงเจ้าค่ะ!” ท่านป้าเฝ้าประตูได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างประจบสอพลอ “มีคนของพระราชวังมาเชิญท่านโหวเข้าไปในพระราชวัง ฮูหยินพึ่งจะส่งท่านโหวออกไป ตอนนี้น่าจะยังไม่นอน!”
สีหน้าของเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงพลันเปลี่ยนไป พวกนางหันมามองหน้ากัน
เข้าไปในพระราชวังกลางดึกดื่นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย?
เหวินอี๋เหนียงรีบพูด “ท่านป้าไปรายงานให้ข้าหน่อยเถิด” จากนั้นนางก็ยัดเงินสองสามตำลึงให้ป้ารับใช้คนนั้น
ป้ารับใช้คนนั้นคิดว่าเหวินอี๋เหนียงคืออี๋เหนียงที่มีหน้ามีตาที่สุดของสืออีเหนียง…จึงรับเงินมาใส่ไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงรอสักครู่ บ่าวจะไปบอกแม่นางจู๋เซียงประเดี๋ยวนี้”
“รบกวนท่านป้าแล้ว!” เหวินอี๋เหนียงพูดด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถงกับหยางอี๋เหนียง รอในที่ที่ไม่มีลมพัด
“พี่หญิง พี่หญิงคิดว่า ฮ่องเต้เชิญท่านโหวเข้าเฝ้าตอนนี้ เพราะเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หยางอี๋เหนียงถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
ตอนแรกกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง ถึงตอนนั้นคงจะลำบาก แต่คิดไม่ถึงว่า สวีลิ่งอี๋จะเข้าไปในวัง…หรือว่านี่คือเจตนาของสวรรค์ แต่ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋เล่าเรื่องที่นางไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นให้สืออีเหนียงฟังหรือไม่…แต่ถึงแม้จะเล่าแล้วก็ไม่เป็นไร ด้วยนิสัยของสวีลิ่งอี๋ เขาไม่มีทางเล่าให้นางฟังอย่างละเอียดแน่นอน…แต่ตอนนี้กลัวแค่ว่าจะไม่เจอนาง ไม่มีแม้แต่โอกาส…
เหวินอี๋เหนียงคิดว่านางกำลังเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋ จึงไม่สงสัยอะไร ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” ด้วยสีหน้าที่สับสน
ตั้งแต่สืออีเหนียงพูดกับนางชัดเจนแล้ว ความคิดบางอย่างที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของนางมาหลายปีก็เปลี่ยนแปลงไป จู่ๆ นางก็เริ่มสับสนในตัวเอง และยิ่งไม่กล้าออกความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นางแค่ขอให้สวีลิ่งอี๋ไม่เป็นอะไรก็พอ ไม่อย่างนั้น คนสกุลนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นไร…
อีกด้านหนึ่ง จู๋เซียงได้รับรายงานจากป้ารับใช้คนนั้น “เหวินอี๋เหนียงพาหยางอี๋เหนียงมาหาฮูหยินเช่นนั้นหรือ”
ป้ารับใช้คนนั้นยิ้มแล้วพยักหน้า เห็นแก่เงินสองสามตำลึงนั้นนางจึงพูดว่า “แม่นาง ข้าบอกว่าฮูหยินนอนแล้ว แต่เหวินอี๋เหนียงบอกว่า ถึงไม่ว่าอย่างไรก็ให้ข้ามาบอกแม่นาง!”
จู๋เซียงได้ยินดังนั้นก็บอกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “ข้าออกไปดูก่อน หากฮูหยินถาม เจ้าก็บอกว่าประเดี๋ยวข้ากลับมา!” จากนั้นก็ออกไปที่ห้องโถงกับป้ารับใช้คนนั้น
ทันทีที่เหวินอี๋เหนียงเห็นจู๋เซียง นางยิ้มแล้วเดินเข้าไป “หยางอี๋เหนียงมีเรื่องด่วนอยากเจอฮูหยิน ข้าจึงมาเป็นเพื่อน…”
นางกลัวว่าจะถูกท่านโหวส่งตัวไปอยู่ที่วัด ดังนั้นจึงถือโอกาสตอนที่เรื่องนี้ยังไม่แพร่กระจายออกไป มาหาฮูหยินกลางค่ำกลางคืนเพราะหวังว่าท่านโหวจะเปลี่ยนใจกระมัง แล้วเรื่องเช่นนี้ นางไม่มีทางพูดต่อหน้าคนอื่นแน่นอน!
จู๋เซียงยิ้มแล้วมองไปที่หยางอี๋เหนียง “ฮูหยินนอนไปแล้วเจ้าค่ะ หรือหากหยางอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดให้บ่าวไปรายงานให้ก็ได้เจ้าค่ะ!” นางปฏิเสธไปอย่างอ้อมค้อม
หยางอี๋เหนียงแอบก่นด่าในใจว่าจู๋เซียงนั้นวุ่นวาย แต่นางก็ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้
นางน้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดสะอึกสะอื้น “เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวของข้า จึงอยากขอร้องให้ฮูหยินช่วยข้าขอร้องท่านโหว…”
ท่านโหวจะส่งนางไปอยู่ที่วัดจึงนึกถึงฮูหยินขึ้นมา? แล้วก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา?
จู๋เซียงยิ้มอย่างแผ่วเบา “อีกสองสามชั่วยามก็จะเช้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ท่านโหวไม่อยู่ที่จวน ถึงแม้ว่าจะบอกให้บรรดาผู้ดูแลไปจัดการ ก็ต้องรอให้ฟ้าสว่างก่อนเจ้าค่ะ บ่าวคิดว่า ประเดี๋ยวอี๋เหนียงค่อยมาใหม่เถิด!”
การที่เหวินอี๋เหนียงมีวันนี้ได้ แง่มุมหนึ่งคือสืออีเหนียงให้เกียรตินาง อีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญคือนางสังเกตคนออกและอยู่เป็น ได้ยินเช่นนี้นางก็หันหน้ามายิ้มแล้วช่วยจู๋เซียงเกลี้ยกล่อมหยางอี๋เหนียง “แม่นางจู๋เซียงพูดถูก ประเดี๋ยวก็เช้าแล้ว ฮูหยินพึ่งจะพักผ่อน อีกทั้งท่านโหวก็ไม่อยู่ที่เรือน…”
เหวินอี๋เหนียงยังพูดไม่จบ ก็มีสาวใช้วิ่งหอบเข้ามา “พี่จู๋เซียง ฮูหยินบอกว่า เชิญเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงเข้าไปพบเจ้าค่ะ!”
จู๋เซียงตกใจ
เห็นได้ชัดว่าหยางอี๋เหนียงมีเจตนาที่ไม่ดี เหตุใดฮูหยินถึงยังอยากเจอนางเล่า
นางเป็นกังวล แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงยิ้มแล้วเชิญเหวินอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงเข้าไป “เชิญอี๋เหนียงตามบ่าวมาเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงคิดว่าเรื่องที่ตัวเองควรทำก็ทำแล้ว เรื่องที่เหลือนางไม่อยากมีส่วนร่วม แต่ว่าฮูหยินให้นางเข้าไปด้วย พูดเช่นนั้นตอนนี้มันคงจะไม่เหมาะสม นางจึงรีบเดินตามไป
หยางอี๋เหนียงดีอกดีใจ
ขอแค่สืออีเหนียงยอมเจอนางก็พอแล้ว…
*****
แสงไฟของเรือนหลักสว่างไสว สืออีเหนียงเอนตัวอยู่บนหมอนใบใหญ่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างด้วยสีหน้าที่เกียจคร้าน
นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “หยางอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดหรือ”
แต่กลับไม่บอกให้สาวใช้ยกของว่างและน้ำชา ยกเก้าอี้มาให้พวกนางนั่งเหมือนทุกครั้ง
เหวินอี๋เหนียงลอบสังเกตสืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง
ผิวที่ขาวอมชมพู สายตาที่อ่อนโยนและท่าทีที่สงบนิ่ง ดูแล้วนางน่าจะกำลังอารมณ์ดี
นางโล่งใจขึ้นมา
หยางอี๋เหนียงคุกเข่าลงต่อหน้าสืออีเหนียง
“ฮูหยินเจ้าคะ!” นางพูดด้วยความรู้สึกผิด “ข้าทำความผิด ตอนนี้ข้าเสียใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินโปรดเห็นแก่ข้าที่ไม่รู้ความ ช่วยข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!” พูดจบ นางก็ร้องไห้แล้วโขกหัวลงบนพื้นเสียงดัง
การเปิดฉากเช่นนี้ สดใหม่เสียจริง
เกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัว คิดว่าตนไม่มีความสามารถในการจัดการจึงแอบไปหาสวีลิ่งอี๋เป็นการส่วนตัว ก็พอเข้าใจได้ แต่ตนไม่ให้อภัย ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์ที่นางได้จากการไปหาสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่การช่วยเหลือครอบครัว แต่กลับส่งตัวเองไปอยู่ที่วัด หากสวีลิ่งอี๋อยากจะตัดความสัมพันธ์กับสกุลหยางเพียงเพราะสกุลหยางถูกกวาดล้าง เขาคงจะส่งหยางอี๋เหนียงไปอยู่ที่วัดตั้งนานแล้ว เขาจะรอให้ถึงตอนนี้เวลานี้ทำไม เกิดอะไรขึ้น สวีลิ่งอี๋ไม่พูดนางก็พอจะเดาออก…
หากสวีลิ่งไม่มีอำนาจ ไม่มีประสบการณ์และอายุยังน้อย ตอนจบมันจะเป็นเช่นไร เกรงว่าคงจะไม่มีใครบอกได้ แต่สุดท้ายสวีลิ่งอี๋นั้นตัดสินใจส่งนางไปอยู่ที่วัด และหลังจากที่นางรู้ว่าสวีลิ่งอี๋มาเจอกับตน นางยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อมาเจอตน แล้วยังทำท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตัว เข้ามาก็ก้มหัวยอมรับผิด…
ไม่ต้องพูดถึงจุดยืน แค่ความกล้าหาญเช่นนี้ก็หาได้ยากแล้ว!
สืออีเหนียงมองไปที่ม่านเตียง
พลันรู้สึกว่าความอบอุ่นในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ยังไม่จางหายไป
ทันใดนั้น นางก็อยากรู้ว่าหยางอี๋เหนียงจะพูดอะไรบ้าง!
นางนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“หยางอี๋เหนียงทำอะไรผิดเช่นนั้นหรือ” นางยิ้มอย่างสง่างาม “เหตุใดถึงต้องร้องห่มร้องไห้ขอร้องให้ข้าให้อภัยเช่นนี้เล่า”
หยางอี๋เหนียงได้ยินคำถามแล้วก็ตกใจ
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของสืออีเหนียงยังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แต่คำพูดที่พูดออกมากลับกระแทกแดกดันเช่นนี้
ทุกคนในห้องหันมามองหน้ากัน
ฮูหยินไม่เคยไม่ไว้หน้าใครเช่นนี้!