สืออีเหนียงมองดูหยางอี๋เหนียงเงียบๆ
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับเริ่มเหงื่อออกหลัง
หยางอี๋เหนียงไม่ได้มาร้องขอความเมตตา แต่นางมายอมรับผิดชัดๆ!
เหมือนกับที่ฮูหยินพูด หยางอี๋เหนียงทำอะไรกันแน่ แต่นางไม่เคยพูดให้ตัวเองฟัง
ไม่แปลกที่หยางอี๋เหนียงต้องพานางมาหาฮูหยินด้วย
ความไว้วางใจที่ฮูหยินมีต่อนาง ทุกคนในจวนต่างรู้ดี หากไม่มีนาง กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่ต้องบอกว่ามาหาฮูหยิน แม้แต่เดินผ่านห้องโถงนั้น หยางอี๋เหนียงก็ไม่มีทางทำได้
คิดเช่นนี้ นางก็โมโหจนหน้าแดง
ฮูหยินไม่เคยยอมรับน้ำใจของหยางอี๋เหนียงมาตลอด ที่แท้ฮูหยินก็มองยัยหมาป่าตาขาวอย่างนางออกตั้งนานแล้ว มีแค่ตนที่ราวกับคนตาบอด คิดว่าหยางอี๋เหนียงเหมือนตัวเอง ล้วนแต่เดือดร้อนเพราะครอบครัว จึงเห็นใจนาง…ถูกนางมองว่าเป็นเครื่องมือยังไม่พอ แล้วยังทำให้ฮูหยินลำบากอีก…
เหวินอี๋เหนียงอยากจะตบหน้าตัวเองสักสองฉาด
นางอยู่ในจวนมานานกว่าสิบปี แต่กลับต้องมาตกม้าตายเพราะหยางอี๋เหนียงคนนี้…
เหวินอี๋เหนียงเบิกตากว้างมองไปที่หยางอี๋เหนียง
ตอนนี้หยางอี๋เหนียงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ นางสนใจแค่สืออีเหนียง
การแก่งแย่งชิงดีของภรรยาเอกและอนุภรรยา ใช่ว่าตนจะไม่เคยเห็นมาก่อน นายหญิงบางคนโมโหอนุภรรยาแค่ไหนก็ต้องยอมอดทนอดกลั้น ใช่ว่าไม่มีวิธีจัดการอนุภรรยา และก็ใช่ว่าเพราะชื่อเสียง แต่เป็นเพราะกลัวว่าจะทำให้สามีไม่พอใจ ถูกสามีทอดทิ้ง ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของบุตรและการแบ่งแยกทรัพย์สมบัติ
สืออีเหนียงเป็นภรรยาเอกคนเดียว แต่ตนคืออนุภรรยาที่ไม่เคยรับใช้ท่านโหวเข้านอน สถานะแตกต่างกันราวกับฟ้าและเหว และสืออีเหนียงก็ทำท่าทีไม่สนใจใส่ตนเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้ สายตาที่สืออีเหนียงใช้มองตนนั้นทั้งเย็นชาและเฉียบแหลม
เรื่องราวชัดเจนขนาดนี้แล้ว ตอนที่สวีลิ่งอี๋กลับมาเขาก็คงเล่าให้สืออีเหนียงฟังหมดแล้ว แล้วอาจจะเล่าว่าตนนั้นทำอะไรและพูดอะไรไปบ้าง…
คิดมาถึงตรงนี้ นางก็น้ำตาไหล
“ฮูหยินเจ้าคะ! ข้าได้ยินคนในครอบครัวบอกว่า ตั๋วยืมเงินสองสามพันตำลึงของท่านพ่อต้องคืนเงินตั้งสามหมื่นตำลึง…ฮูหยิน ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะดอกเบี้ยที่ไหนจะเยอะขนาดนี้กัน” นางพูดพร้อมกับพยายามเค้นน้ำตาให้ออกมา “เดิมทีข้าคิดว่าคนเหล่านั้นถือโอกาสโจมตีครอบครัวของข้าเพราะเห็นว่าท่านปั๋วสองคนของสกุลข้าถูกคุมขังอยู่ในศาลต้าหลี่ หากเป็นเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าท่านพ่อไปแจ้งความที่ศาลแล้ว แต่ศาลกลับไม่สนใจเลยสักนิด…” นางมองไปที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เคียดแค้น “ฮูหยินเจ้าคะ ชาวบ้านในชนบทล้วนไม่รู้เรื่องของราชสำนัก ลมพัดต้นอู๋ถงจนโค่นล้ม ต้นไหนโค่นล้มก็เหยียบย่ำต้นนั้น แต่ว่าขุนนางในราชสำนักก็จะไม่รู้เช่นกันหรือเจ้าคะ ท่านปั๋วสองคนของข้า หนึ่งไม่มีโทษ สองไม่ได้ถูกจับเข้าคุก เหตุใดถึงมั่นใจว่าพวกเขาจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องทำตามคำสั่งใครสักคน เห็นว่าสกุลหยางถูกกวาดล้างจึงมาซ้ำเติม
ฮูหยินเจ้าคะ ตอนนั้นไท่เฮามอบหลานสาวสกุลเดิมให้เป็นอนุภรรยาของท่านโหว ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของมัน แต่คนเหล่านั้นกลับไม่สนใจ ราวกับมั่นใจว่าท่านโหวไม่มีทางออกหน้าช่วยข้า…ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน” นางทำสีหน้าเคร่งขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “บางทีอาจจะมีคนคิดร้ายกับสกุลสวีอยู่ก็ได้เจ้าค่ะ อยากถือโอกาสนี้โค่นล้มสกุลสวี เดิมทีข้าอยากมาขอร้องฮูหยิน แต่คิดว่าฮูหยินไม่สบาย ท่านโหวก็เป็นห่วงฮูหยิน แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในจวนก็ยังให้ไท่ฮูหยินเป็นคนจัดการแทน หากข้าเดาถูกก็เป็นเรื่องดี แต่หากเดาผิด เกรงว่าข้าจะกระต่ายตื่นตูมไปเอง ทำให้ฮูหยินเป็นกังวล หากท่านโหวตำหนิขึ้นมา ข้าคงต้องตายแน่นอนเจ้าค่ะ
ลังเลอยู่ตั้งนาน ข้าจึงตัดสินใจไปหาท่านโหว”
พูดจบ นางก็ร้องไห้ แล้วโขกหัวลงบนอิฐสีฟ้าอีกครั้ง “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโปรดช่วยข้าด้วยเถิด! ข้าเป็นสกุลญาติ จึงถูกเลือกให้มาเป็นอนุภรรยาของท่านโหว แต่ข้าไม่เคยคิดอะไรไม่ดีเลย แค่อยากตั้งใจรับใช้ฮูหยิน รับใช้คุณชายน้อยหก ตัวเองไม่ลำบากก็พอแล้ว…ฮูหยิน ข้าขอร้องท่านล่ะเจ้าค่ะ ชาติหน้าไม่ว่าข้าจะเกิดเป็นอะไรข้าก็จะมาตอบแทนบุญคุณของท่าน!”
บ่าวรับใช้ในห้องกลั้นหายใจตั้งแต่ตอนที่สืออีเหนียงอ้าปากถามหยางอี๋เหนียงแล้ว ทุกคนล้วนยืนก้มหน้าก้มตาราวกับเสาไม้ ทำให้เสียงโขกหัวที่กระแทกกับพื้นของหยางอี๋เหนียงดังเป็นพิเศษ บรรยากาศก็ยิ่งอึดอัด ทำเอาผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น
เหวินอี๋เหนียงและจู๋เซียงมองไปที่สืออีเหนียง
เห็นสืออีเหนียงเอนตัวพิงหมอนบนเตียงเตา ถือกระจกที่มีด้ามจับที่แกะสลักลายดอกไม้และวิหคโบยบินอยู่ในมือ สีหน้าของนางเรียบเฉย ความเสียใจ ความโมโห ความเคร่งขรึมและความกังวลของหยางอี๋เหนียงไม่มีผลอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย
พวกนางสองคนต่างก็ตกใจ
สืออีเหนียงพูดอย่างนิ่งเฉย “ไม่รู้ว่าหยางอี๋เหนียงทำอะไรผิด ถึงได้มาขอร้องให้ข้าให้อภัยเจ้า?”
เพียงแค่ประโยคเดียวกลับทำให้การกระทำทั้งหมดเมื่อครู่ของหยางอี๋เหนียงดูเป็นส่วนเกินและไม่จำเป็นโดยทันที
หยางอี๋เหนียงกระวนกระวายใจ
สืออีเหนียง บุตรีของอนุภรรยาที่สามารถแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอกของสวีลิ่งอี๋ได้ ต้องเป็นที่ชื่นชอบของไท่ฮูหยินและสาวใช้ในจวน นางไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ พอมีโอกาสก็ทำให้ตนลำบากใจ คิดว่าจะลงโทษตนเช่นไร…
นางยกหน้าผากที่แดงก่ำขึ้นมาแล้วพูดทั้งน้ำตา “ท่านโหวตำหนิว่าข้าไม่รู้จักหน้าที่ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของราชสำนัก ไม่จงรักภักดีต่อสกุลสวี ข้าไม่มีทางคิดเช่นนั้นแน่นอน แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าข้าจะเกิดในชนบท แต่ว่าข้าก็รู้จักคำพูดที่ว่า ‘หากตะกร้าไข่คว่ำ ไข่ทั้งหมดก็ย่อมแตก’ ข้าไม่มีทางไม่จงรักภักดีต่อสกุลสวีเพราะเรื่องสกุลเดิมของตัวเองแน่นอนเจ้าค่ะ… “
ไม่เพียงแต่ตอบอย่างอ้อมค้อม แต่กลับใช้จิตวิทยาเล่าเรื่องที่ทุกคนชอบฟังเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เล่าถึงเหตุการณ์หลังจากที่นางไปเจอกับสวีลิ่งอี๋ แล้วยังเล่าสาเหตุที่สวีลิ่งอี๋โมโห สาเหตุนั่นก็คือนางพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป
หากไม่มั่นใจในตัวของสวีลิ่งอี๋ หากตนเป็นคนขี้สงสัย ตนคงจะถามตามคำพูดของนางกระมัง
สืออีเหนียงเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนางถึงกล้ามาหาตัวเอง
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่การพูดการจาที่ฉลาดเฉลียวของนาง ก็คงทำให้นางมีความมั่นใจอยู่ไม่น้อย
“หยางอี๋เหนียง” นางวางกระจกที่มีด้ามจับในมือลงด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมแล้วขัดจังหวะการพูดของหยางอี๋เหนียงอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าพูดมาตั้งมากมาย แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าอยากให้ข้าให้อภัยเจ้าเรื่องอันใด หากจะบอกว่ากลัวข้าจะตำหนิที่เจ้าแอบไปหาท่านโหวเป็นการส่วนตัว เมื่อครู่เจ้าก็บอกชัดเจนแล้ว ว่ากลัวข้าจะกังวล จึงไม่ได้มาบอกข้าก่อน หากจะบอกว่าเพราะว่าท่านโหวตำหนิเจ้าแล้วกลัวท่านโหวจะตำหนิเจ้าอีก แต่ท่านโหวไม่ได้กักบริเวณเจ้า แล้วก็ไม่ได้บอกให้ป้าตู้ลงโทษเจ้า ข้าเลยไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดหยางอี๋เหนียงถึงต้องมาเจอหน้าข้าแล้วอ้อนวอนให้ข้าช่วยเจ้า” จากนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่องอย่างฉับพลัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ข่มขู่ “หรือว่าเรื่องทั้งหมดที่หยางอี๋เหนียงเล่ามาคือเรื่องที่อยากทำให้คนอื่นตื่นตระหนก! ข้าคิดว่า ท่านโหวพูดมีเหตุผล เจ้าทำเกินหน้าที่และไม่จงรักภักดีต่อสกุลสวี เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด กลับไปไตร่ตรองคำพูดของท่านโหวให้ดี ต่อไปจะได้รู้ว่าเรื่องอันใดควรทำ เรื่องอันใดไม่ควรทำ!” พูดจบ นางก็ยื่นมือออกไปยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ให้หยางอี๋เหนียงแบกรับความผิดทั้งหมด
ตั้งแต่ที่เหวินอี๋เหนียงรู้ถึงเจตนาของหยางอี๋เหนียง นางก็รู้สึกผิดมาโดยตลอด รู้สึกผิดจนถึงตอนนี้ เห็นสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ คิดว่านางเป็นคนพาหยางอี๋เหนียงมา นางจึงรีบเดินเข้าไปกอดแขนหยางอี๋เหนียงราวกับชดใช้ความผิดของตัวเอง “น้องหญิง ฮูหยินพูดถูก เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องของสตรีอย่างเรา เจ้าทำเช่นนี้มันไม่เหมาะสมจริงๆ ในเมื่อฮูหยินบอกให้เจ้ากลับไปไตร่ตรองให้ดี เช่นนั้นเราก็อย่ารบกวนฮูหยินพักผ่อนเลย…”
หากกลับไปเช่นนี้ แล้วทำไมตัวเองต้องพยายามมาหาสืออีเหนียงเล่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากตนเสียโอกาสนี้ไปก็อาจจะไม่มีโอกาสเป็นครั้งที่สองแล้ว
ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือตนต้องอยู่ที่นี่
หากยังมีภูเขาเขียวชอุ่ม ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน
หยางอี๋เหนียงรีบดันแขนของเหวินอี๋เหนียงออกทันที แล้วพูดกับสืออีเหนียงด้วยความกังวล “ฮูหยินเจ้าคะ คำพูดของท่านข้าจะจำเอาไว้ แต่ว่าท่านโหว… “ พูดจบ นางก็ปิดหน้าร้องไห้ “ท่านโหวจะส่งข้าไปอยู่ที่วัดเพราะเรื่องนี้เจ้าค่ะ!”
ฟังจากน้ำเสียงของหยางอี๋เหนียง การที่หยางอี๋เหนียงถูกสวีลิ่งอี๋ส่งไปอยู่ที่วัด ก็เพราะว่าตัวเองพูดเรื่องที่สตรีอย่างนางไม่ควรพูด ทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่พอใจ
จู๋เซียงและคนอื่นๆ ที่รู้ต่างก็ก้มหน้าก้มตา เหวินอี๋เหนียงและคนอื่นที่ไม่รู้ต่างก็มีสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงหัวเราะอย่างแผ่วเบา
หากนางไม่รู้จักสวีลิ่งอี๋ หากนางไม่ไว้วางใจสวีลิ่งอี๋…นางคงจะหลงเชื่อคำพูดของหยางอี๋เหนียงแล้วกระมัง!
“หากเจ้าพูดเช่นนี้” สืออีเหนียงจับจ้องไปที่หยางอี๋เหนียงด้วยสายตาที่เฉียบแหลม “ท่านโหวจะส่งเจ้าไปอยู่ที่วัดแต่กลับไม่ให้ข้าลงโทษเจ้า เจ้าไม่พอใจเช่นนั้นหรือ ไม่เช่นนั้น เหตุใดเจอข้าก็ขอร้องให้ข้าช่วยเจ้า!”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าไม่ใช่ไม่พอใจเจ้าค่ะ” หยางอี๋เหนียงรีบแก้ตัว “แต่ข้าแค่กลัวเจ้าค่ะ!” นางพูดพร้อมกลับคุกเข่าลงแล้วขยับไปจับขอบเตียงเตา “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเกิดในสกุลนักปราชญ์ กฎเกณฑ์เคร่งครัด ถึงแม้ว่าจะเคยไปวัดกับบิดามารดาหรือพี่น้องบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ต้องเลือกสถานที่สงบสุขและมีชื่อเสียง ดื่มชาและทานอาหารที่ลานวัด จะรู้เรื่องสกปรกของคนที่มีเจตนาร้ายพวกนั้นได้เช่นไรกัน…”
พูดจบ นางก็หน้าแดง
“มีคนที่เห็นว่าการบำเพ็ญเพียรของแม่ชีเหมือนพระภิกษุ พวกเขาก็ชอบไปดู เจอกับบรรดาสตรีที่ไปจุดธูปไม่เพียงแต่ไม่หลบแล้วยังวิพากษ์วิจารณ์พวกนาง มอบเงินให้ทำเรื่องส่วนตัวพวกนั้น แล้วยังมีคนที่จิตใจชั่วช้าถึงขั้นหาวิธีลักพาตัวพวกนางไปขาย ไม่ก็ลักพาตัวไปเป็นอนุภรรยา…แล้วพวกนางก็ยังเป็นคนที่มีครอบครัว มีบิดามารดา ยิ่งไปกว่านั้นหากเจอแม่ชีที่อยู่ตัวคนเดียวอีกทั้งยังไร้ครอบครัว ก็อาจจะวางยาแล้วพาพวกนางไปขายก็เป็นเรื่องปกติเจ้าค่ะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลานสาวของนักโทษที่ถูกสกุลสามีทอดทิ้งอย่างข้า”
พูดจบประโยคนางก็สะอื้นไห้ แล้วพูดต่อไปอีก
“ถึงแม้ว่าข้าจะต่ำต้อย แต่ก็ยังเคยอ่าน ‘บัญญัติสตรี’ และ ‘ตำนานปีศาจสาว’ ข้าไม่กลัวความยากลำบากในวัด แต่กลัวว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายพวกนั้น…” เดิมทีนางอยากพูดว่า ‘หากเป็นเช่นนั้น นางยอมตายเสียดีกว่า’ แต่คิดดูแล้ว หากสืออีเหนียงบอกให้สวีลิ่งอี๋ฆ่านาง นางก็คงหาเหาใส่หัวตัวเอง นางจึงหยุดชะงักไปสักพักหนึ่ง ก้มหน้าเช็ดน้ำตาแล้วไม่พูดประโยคนั้น “ฮูหยินเจ้าคะ ในเมื่อท่านโหวบอกว่าจะส่งข้าไปอยู่ที่วัด ข้าไม่กล้าปฏิเสธ แต่ขอให้ฮูหยินอนุญาตให้ข้าไปอยู่ที่วัดของวงศ์สกุลได้หรือไม่ ข้าจะได้ไม่ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ราวกับตายทั้งเป็นเช่นนั้น ทำให้ฮูหยินและท่านโหวต้องอับอายขายขี้หน้า แล้วข้ายังจะได้บำเพ็ญเพียรให้ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยและคุณหนู ขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องสกุลสวีให้เจริญรุ่งเริง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองเจ้าค่ะ”
“วัดของวงศ์สกุล!” สืออีเหนียงมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของนาง
นี่คือจุดประสงค์แท้จริงของนางใช่หรือไม่ หาทางอยู่ในสกุลสวีต่อให้ได้แล้วค่อยว่ากัน
แต่หลังจากเห็นฝีมือของนางแล้ว ตนจะกล้าให้นางอยู่ที่สกุลสวีต่อได้เช่นไร
บ้านนั้นควรเป็นที่พักผ่อน ไม่ใช่สนามรบ!
“อุโบสถในสวนหลังจวนมีหญิงเฒ่าที่ดูแลธูปเทียนอยู่คนหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นสถานที่สงบสุข” นางพูดเบาๆ “ข้าคิดว่า เจ้าไปอยู่ที่อารามต้าเจวี๋ยที่เฉียวอี๋เหนียงเคยไปอยู่ดีกว่า…เฉียวอี๋เหนียงเคยไป เรื่องอื่นข้าไม่รู้ แต่อย่างน้อยตอนนี้นางรู้จักทำตามกฎเกณฑ์แล้ว หยางอี๋เหนียง ที่นั่นน่าจะเป็นสถานที่ที่สงบสุขและมีชื่อเสียงที่ดีใช่หรือไม่”