เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา สืออีเหนียงที่ม้วนผมเป็นมวยและสวมชุดอ่าวสีเขียวลายดอกไม้ กำลังอุ้มจิ่นเกอ ป้อนข้าวต้มเขาอยู่
เมื่อได้ยินเสียง นางก็หันหน้ามาแล้วพูดว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
รอยยิ้มดูอ่อนหวาน
แต่กลับทำให้สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วยาม แต่สืออีเหนียงกลับดูไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จัก
สีหน้าของนางผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย อีกทั้งท่าทางยังดูร่าเริง ราวกับดอกไม้ที่ค่อยๆ เบ่งบานก็ไม่ปาน
สวีลิ่งอี๋งุนงงอยู่ไม่น้อย
สืออีเหนียงหันหน้ากลับไปแล้ววางช้อนลง ยื่นจิ่นเกอให้แม่นมกู้แล้วเรียกสาวใช้ตักน้ำเข้ามารับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา จากนั้นตัวเองก็ไปช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “ท่านโหวไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ท่านจะทานอะไรก่อนแล้วค่อยนอน หรือว่านอนก่อนแล้วค่อยตื่นมาทานเจ้าคะ”
อยู่ในพระราชวังพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เขาจะทานอิ่มนอนหลับได้อย่างไร!
“ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางเป็นห่วง เขากางแขนออกให้นางช่วยถอดเสื้อผ้าแล้วพูดสียงเบา “ฮ่องเต้เรียกข้าไปคุยด้วยทั้งคืน เขาต้องไปราชสำนักเช้า ข้าจึงกลับมาก่อน” แล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะเตียงเตามีอาหารวางอยู่ เขาจึงพูด “ทานก่อนก็ได้!”
สืออีเหนียงพยักหน้า บอกให้สาวใช้ยกอาหารเช้าเข้ามาใหม่ จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอป้อนข้าวต้มเขาต่อ
จิ่นเกอยังคงเป็นเหมือนเมื่อสักครู่ ปิดปากแน่น ไม่ว่าสืออีเหนียงจะเกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไม่ยอมทาน ร้องโวยวายแล้วบิดตัวดิ้นหนี
สืออีเหนียงเริ่มท้อใจ
แม่นมกู้เห็นแบบนั้นก็พูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ เด็กตัวแค่นี้ ทานแค่นมก็ได้…ไม่จำเป็นต้องทานข้าวต้มเจ้าค่ะ!”
ขณะที่นางกำลังพูด สวีลิ่งอี๋ก็เดินออกมา เขาได้ยินแค่ครึ่งประโยคหลัง “อะไรนะ นมไม่พอจึงต้องทานข้าวต้ม?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับไป จิ่นเกอที่อยู่ในอ้อมแขนยกแขนให้สวีลิ่งอี๋แล้วร้อง “แอ๊ๆ” ราวกับกำลังทักทายสวีลิ่งอี๋ แล้วแขนยังเกือบจะปัดโดนชามข้าวต้มบนโต๊ะ
สาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ คนหนึ่งรีบไปจับชามข้าวต้ม อีกคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาหาสืออีเหนียง ดูวุ่นวายอลหม่าน
แต่สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้กลับชอบใจ เขาอุ้มจิ่นเกอ “คิดถึงพ่อใช่หรือไม่”
จิ่นเกอฉีกยิ้มกว้างส่งให้สวีลิ่งอี๋ ทำเอาสวีลิ่งอี๋หัวใจราวกับจะละลาย เขาหันกลับไปถามสืออีเหนียง “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นหรือ”
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้เก็บชามข้าวต้มแล้วลุกขึ้น “อยากป้อนข้าวต้มซุปผักให้เขา แต่เขาไม่ยอมทานเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่แม่นมกู้
แม่นมกู้รีบพูด “ท่านโหวเจ้าคะ บ่าวทานไก่ ขาหมูและนกพิราบทุกวัน…น้ำนมยังเยอะอยู่ คุณชายน้อยหกทานเช่นไรก็ทานไม่หมดเจ้าค่ะ!”
“ในเมื่อน้ำนมเยอะแล้วจะทานข้าวต้มทำไม!” สวีลิ่งอี๋พูด “แล้วเขาก็ไม่ชอบทานข้าวต้ม!”
เด็กน้อยที่ครบเดือนแล้วต้องทานอาหารบำรุงร่างกายเพื่อเสริมภาวะขาดสารอาหาร
แต่ในสมัยโบราณคิดว่าอาหารที่ดีที่สุดคือน้ำนม เด็กบางคนทานนมจนถึงอายุเจ็ดแปดขวบด้วยซ้ำ
สืออีเหนียงจึงต้องยอมโอนอ่อน
สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอไปนั่งบนเตียงเตา
สืออีเหนียงตักข้าวต้มชามหนึ่งแล้วยื่นตะเกียบส่งให้เขา
จิ่นเกอก็เริ่มดิ้นไปมา เขาบิดตัวแล้วหันหน้าไปทางผ้าม่าน
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เมื่ออากาศดีสืออีเหนียงมักจะพาเขาไปเดินเล่นที่สวนหลังจวน แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน เขากลับไม่อยากอยู่ในเรือนแล้ว
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าเขาอยากออกไปข้างนอก ก็ยิ้มแล้วตบก้นจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็ยื่นจิ่นเกอให้แม่นมกู้ “พาเขาออกไปเดินเล่นสักประเดี๋ยวเถิด!”
แม่นมกู้ย่อเข่าคำนับ รับจิ่นเกอมา จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกับสาวใช้เจ็ดแปดคน
“จุนเกอและเจี้ยเกอไปเรียนแล้วหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วจัดอาหารให้สวีลิ่งอี๋ “พึ่งจะออกไปท่านก็กลับมาพอดีเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” แล้วไม่ปริปากพูดอะไรอีก จากนั้นก็ทานอาหารเช้า
หลังทานเสร็จ สืออีเหนียงรับใช้เขาเข้าไปนอนในห้องข้างใน
สวีลิ่งอี๋เอนตัวพิงหัวเตียง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ถูกเรียกเข้าไปในพระราชวังให้สืออีเหนียงฟัง “…ฝูเจี้ยนมีขนบธรรมเนียมที่แตกต่างจากเรา มีหมู่บ้านที่ชื่อว่าหมู่บ้านต้าอาน ทั้งหมู่บ้านมีร้อยกว่าหลังคาเรือน ถูกโจรสลัดญี่ปุ่นปล้นและสังหารตายกันหมด”
“ไอ๊หยา!” สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยความมตกใจ “หมดเลยหรือเจ้าคะ?”
“ทั้งหมดเลย!” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “พึ่งจะรู้ข่าวยามพลบค่ำ ฮ่องเต้เรียกเฉินเก๋อเหล่าและหวังลี่เข้าไปปรึกษาแผนรับมือในพระราชวัง หลังจากพวกเขาออกไป ฮ่องเต้ก็ไม่สบายพระทัย จึงเรียกข้าไปพูดคุยด้วย”
แม้สืออีเหนียงจะตกใจ แต่นางก็รู้สึกโล่งใจมากกว่า พูดขึ้นอย่างลังเล “เช่นนั้น ฝูเจี้ยนจะมีการสู้รบอย่างนั้นหรือ”
สวีลิ่งอี๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย “มันเกี่ยวอะไรกับการสู้รบอย่างนั้นหรือ”
“มีโจรสลัดญี่ปุ่นขึ้นฝั่งมาสังหารคนในหมู่บ้าน ฮ่องเต้จะไม่สนใจเช่นนั้นหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงสงสัย
“สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช้การสู้รบประมือ” สวีลิ่งอี๋เข้าใจที่นางพูดแล้ว “แต่ต้องคิดหาวิธีรับมือคนที่คัดค้านในราชสำนัก”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
สวีลิ่งอี๋อธิบาย “เจ้าลองคิดดู ยังมีเก๋อเหล่าสองคนที่คัดค้านการยกเลิกคำสั่งปิดทะเลถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น คนเหล่านั้นก็ต้องถือโอกาสเขียนฎีกาขอร้องให้ฮ่องเต้ออกคำสั่งปิดการค้าทางทะเล! ฮ่องเต้กังวลเรื่องในราชสำนักเช้าวันนี้ จึงเรียกเฉินเก๋อเหล่าและหวังลี่เข้าไปปรึกษาในพระราชวัง”
“เช่นนั้นเรื่องของหมู่บ้านล่ะเจ้าคะ…” สืออีเหนียงเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่า
“ถึงแม้ว่าจะปราบปรามโจรสลัดญี่ปุ่น แต่ก็จะปราบปรามตอนนี้ไม่ได้!” สวีลิ่งอี๋พูด “ทันทีที่เรื่องของ หมู่บ้านแพร่กระจายออกไป มันก็จะกลายเป็นข้ออ้างที่ดีของคนที่คัดค้านการยกเลิกคำสั่งปิดทะเล ประโยคที่วว่า ’คนที่ทำร้ายราษฎรเมืองข้า ไกลแค่ไหนก็ต้องตามไปฆ่า’ จะทำให้คนในราชสำนักโมโห จากนั้นก็จะเสนอให้ปิดประเทศ หากเป็นเช่นนั้นแล้วฮ่องเต้ยังจะยืนหยัดต่อไปเขาก็จะทำให้ราษฎรโกรธเคือง เช่นนี้ ความตั้งใจของฮ่องเต้จะสูญเปล่าทันที”
สืออีเหนียงรู้ว่าพวกเขาคิดถูก แต่หากยอมแพ้เช่นนี้…สืออีเหนียงยังคงรู้สึกไม่พอใจ
“หรือว่าฮ่องเต้อยากจะปิดข่าวเจ้าคะ?” นางพึมพำขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่มีทางปิดข่าวแน่นอน” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างสงบ สายตาของเขาเฉียบคม “วิธีที่ดีที่สุดคือการพิสูจน์ว่าโจรสลัดญี่ปุ่นพวกนั้นเป็นตัวปลอม หากดึงสกุลโอวเข้ามาเกี่ยวข้องได้ แล้วก็ดึงเก๋อเหล่าคนอื่นในราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็ตระหนักขึ้นได้ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ ตัวเองมีความรู้ราวกับเด็กน้อยก็มิปาน
นางลังเลที่จะพูด
เพราะนางเป็นสตรี…
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็จับมือสืออีเหนียงแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร ไม่ว่าคนที่ฆ่าคนในหมู่บ้านจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม ราชสำนักต้องมีคำอธิบายให้ราษฎรแน่นอน ฮ่องเต้เองก็ไม่สบายพระทัย เขาจึงอยากให้ข้าไปฝูเจี้ยน…”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ นางจับมือสวีลิ่งอี๋แล้วเอ่ยเรียกเขา “ท่านโหว…”
สีหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
กว่าจะถอนตัวออกมาได้ แต่ตอนนี้กลับเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอีกครั้ง
ไม่รอให้นางพูด สวีลิ่งอี๋ก็กอดนางแล้วชิงพูดขึ้นว่า “ข้าปฏิเสธฮ่องเต้อย่างอ้อมๆ ไปแล้ว แล้วโยนงานนี้ให้เจี่ยงอวิ๋นเฟยแทน!”
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไม่ต้องเป็นห่วง!” สวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงเป็นแบบนี้ ก็พลอยรู้สึกอุ่นใจ “ในเมื่อข้าถอยออกมาแล้ว ก็ไม่มีทางเข้าไปยุ่งอีกแน่นอน” พูดจบก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพึมพำขึ้น “แล้วยังมีองค์ไท่จื่อ…อย่าคิดว่าเขาเป็นหลานชายแล้วจะลืมสถานะของตัวเอง…ผ่านด่านนี้ไปได้ ถึงจะถือว่าผ่านไปได้จริงๆ…”
คำพูดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำพูดที่ฝังอยู่ในใจของสวีลิ่งอี๋กระมัง!
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะสั่งสอนลูกๆ เป็นอย่างดี!”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าภรรยาเข้าใจเจตนาของตัวเอง เขาก็ยิ้มอย่างโล่งใจ
สืออีเหนียงช่วยเขาจัดหมอนแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “เมื่อวานท่านโหวไม่ได้นอนทั้งคืน รีบนอนเถิด หากมีเรื่องอันใด ประเดี๋ยวค่อยว่ากันก็ไม่สาย”
สวีลิ่งอี๋ตอบรับ จากนั้นก็ล้มตัวนอนลงแล้วหลับไปอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงนั่งข้างเตียงครู่หนึ่ง มองดูสวีลิ่งอี๋ที่กำลังนอนหลับสนิท จู่ๆ นางก็เห็นว่าสีหน้าตอนนอนหลับของจิ่นเกอกับเขาคล้ายคลึงกันอย่างมาก
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามัดมุมผ้าห่มแล้ว แต่นางก็ยังจัดผ้าห่มให้สวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
แม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอที่หลับสนิทเดินเข้ามา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับตัวเขามา วางลงบนเตียงเตาเรือนหน่วนเก๋อ หอมแก้มเขา จากนั้นก็ห่มผ้าให้
จู๋เซียงเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
“ฮูหยินเจ้าคะ!” นางพูดเสียงเบา “เหวินอี๋เหนียงมาเจ้าค่ะ!”
หยางอี๋เหนียงได้ยินว่าตัวเองจะถูกส่งไปอยู่ที่อารามต้าเจวี๋ย ตอนนั้นสีหน้าของนางซีดขาว จับแขนเสื้อของสืออีเหนียงร้องไห้แล้วพูดว่า “ฮูหยินเจ้าคะ อารามต้าเจวี๋ยดีหรือไม่ มีชื่อเสียงเช่นไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเฉียวอี๋เหนียง ฮูหยินไม่สู้เชิญเฉียวอี๋เหนียงมาถามดีหรือไม่เจ้าคะ…” แต่นางยังพูดไม่จบ สืออีเหนียงก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้ว
จู๋เซียงจึงเชิญหยางอี๋เหนียงกลับไปพักผ่อนที่เรือนทันที
แต่หยางอี๋เหนียงไม่ยอมแพ้ นางดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงแล้วอยากจะพูดอะไรอีก แต่สืออีเหนียงกลับหันหลังเดินเข้าไปในห้องด้วยท่าทีที่หนักแน่น
แต่นางก็ยังไม่ยอมออกไป เหวินอี๋เหนียงจึงเรียกป้ารับใช้สองคนมาลากนางออกไป
สืออีเหนียงก็อยากเจอเหวินอี๋เหนียงเหมือนกัน
นางออกไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
เหวินอี๋เหนียงหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็คุกเข่าลงทันที “ฮูหยิน เรื่องเมื่อวานล้วนแต่เป็นความบุ่มบ่ามของข้าเจ้าค่ะ…”
ได้รับบทเรียนก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำให้นางไม่มีทางหนีทีไล่ขนาดนั้น
นางบอกให้จู๋เซียงพยุงเหวินอี๋เหนียงลุกขึ้น จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง
“เหตุใดฮ่องเต้ไท่จงถึงต้องตั้งศิลาจารึกที่ว่า ’วังหลังห้ามเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง’ ไว้ที่ตำหนักเจียวไท่ ก็เพราะว่าสตรีที่อยู่แต่ในเรือนอย่างเรามักจะไม่รู้เรื่องราวข้างนอก แต่กลับทำอะไรออกนอกหน้า สุดท้ายก็ทำให้เสียเรื่อง ถึงขั้นทำลายรากฐานของบรรพบุรุษ” สืออีเหนียงพูดเป็นนัย “ต่อไปอี๋เหนียงทำอะไรก็ต้องคิดให้มากๆ” จากนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่อง “ได้ยินมาว่าบิดาของชิวหงกลับมาที่เยี่ยนจิงแล้ว มีข่าวดีอะไรหรือไม่”
ไม่พูดเรื่องนี้อีก ถือว่าไว้หน้านางที่สุดแล้ว
เหวินอี๋เหนียงละอายใจ นางพูดเบาๆ “ท่านแม่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว บอกให้บิดาของชิวหงมารายงานข้าว่า ไม่ต้องสนใจเรื่องของสกุลเดิม ให้ข้าตั้งใจรับใช้ท่านโหวและฮูหยิน สำหรับเรื่องที่จะไปอยู่ที่วัด ต้องปรึกษากับท่านลุงสามก่อน ท่านลุงสามเคารพท่านแม่มาตลอด จู่ๆ ท่านแม่ก็จะย้ายไปอยู่ที่วัด เขากลัวว่าท่านแม่จะถูกผู้คนหัวเราะเยาะ จึงต้องค่อยๆ คิด” นาพูด “ร้านก็ขายออกไปแล้ว บิดาของชิวหงก็ไม่มีอะไรทำ ข้าให้เขาไปที่หยางโจว ไปรับใช้ท่านแม่ก่อนชั่วคราว หากมีเรื่องอันใดเขาจะได้ช่วยรับมือ”
ไม่ต้องพูดถึงแค่หยางโจว แม้แต่ต้าโจว สกุลเหวินนั้นถือเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง พี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็นม่ายจะย้ายไปอยู่ที่วัดกะทันหันเช่นนี้ หากไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล คงจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลต้องเสียหาย
สืออีเหนียงเอ่ยปลอบใจนาง “ในเมื่อเหวินไท่ฮูหยินรู้เรื่องแล้ว นางคงจะจัดการได้อย่างเหมาะสม”
เหวินอี๋เหนียงพยักหน้าซ้ำๆ
พวกนางสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง
จากนั้นอวี้ป่านก็เข้ามา
“ไท่ฮูหยินถามว่า เทศกาลซานเย่ว์ซานจะเชิญคณะเต๋ออินปาน คณะฉังเซิงปานหรือว่าคณะเจี๋ยเซียงตู้ดีเจ้าคะ ท่านจะได้บอกให้คุณชายห้าไปเชิญมาเจ้าค่ะ”