ทุกอย่างเป็นเพราะกระทิงหนุ่มตัวนั้นจากตระกูลเฉินที่คอยช่วยปกป้องเจ้าคนแซ่เว่ยเอาไว้ทุกวิถีทางตอนที่พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑล ทำให้เขาไม่สามารถหาโอกาสลงมือได้
ตอนนี้แม้แต่ผู้ว่าการเฉินก็ยังมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ด้วยตัวเอง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันยังไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายสำหรับพวกเรา…
“ท่านพ่อ…” คุณชายเลี่ยวคิดจะเตือนเลี่ยวจือฝู่
แต่เลี่ยวจือฝู่กลับยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยที่เห็นผู้ว่าการเฉินมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เงินบันดาลได้ทุกสิ่งจริงดังว่า ครั้งก่อนตอนที่เขาแวะไปที่เมืองหลวงประจำมณฑล เขาเคยเปรยเรื่องโครงการก่อสร้างถนนในเมืองฟู่ผิงกับผู้ว่าการเฉินไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่ด้วยตัวเองเร็วถึงเพียงนี้ ตอนนี้ในเมื่อเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าการเฉิน เขาก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีทางกำจัดเจ้าคนแซ่เว่ยนี่ไปให้พ้นทางได้!
“ใต้เท้าเฉิน เรื่องก็เป็นอย่างที่ท่านเห็นขอรับ มีบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองฟู่ผิง ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนอบรมสั่งสอนนายอำเภอคนใหม่ของที่นี่ เขาถึงได้กล้าทำร้ายผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้ได้” เลี่ยวจือฝู่แสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาขณะพูดถึงเรื่องนี้ ”พวกข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นเดียวกันขอรับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกข้าขอให้เขาละทิ้งอำนาจในมือไปเสีย”
“ไร้สาระ!” เฉินเหลียงกระโจนออกมาโดยไม่คิดซ้ำสองเมื่อเห็นว่าผู้เป็นบิดาอยู่ที่นี่ ”พวกเจ้าทุกคนต่างหากที่จัดฉากใส่ร้ายลูกพี่มาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้!”
คุณชายเลี่ยวตกใจจนหน้าซีดทันทีที่เขาเห็นว่าเฉินเหลียงเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน เขายื่นมือออกไปและพยายามกระตุกแขนเสื้อของเลี่ยวจือฝู่
โชคร้ายที่เลี่ยวจือฝู่ไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่บุตรชายพยายามทำ เขาเยาะยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า ”เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่ควรพูดจาส่งเดชเช่นนี้”
นอกจากเลี่ยวจือฝู่ ขุนนางคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นล้วนแต่เคยเห็นเฉินเหลียงมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ฐานะของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ตอนที่พวกเขาได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา พวกเขาก็แทบอยากบอกให้เลี่ยวจือฝู่หุบปากเสีย!
ผู้ว่าการเฉินมองเขา แล้วอ้าปากขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”ใต้เท้าเลี่ยว เจ้าหนุ่มคนที่ท่านกำลังพูดด้วยนั่นคือบุตรชายของข้า ข้าคงรับประกันเรื่องอื่นกับท่านไม่ได้ แต่ข้ารับประกันได้ว่านานทีปีหนเจ้าลูกคนนี้จะพูดจาส่งเดชสักที ท่านอาจจะกล่าวหาเขาแรงไปหน่อยกระมัง”
เลี่ยวจือฝู่ตกใจจนตัวแข็งกับคำพูดของเขา เขานึกไม่ถึงเลยว่าองครักษ์ที่เดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยต้อยๆ อยู่นั้น ความจริงแล้วจะเป็นถึงคุณชายของตระกูลเฉิน
สีหน้าของเขาช่างน่าขันยิ่งนัก
“โอ้ เช่น… เช่นนั้นท่านก็คือนายน้อยเฉินนี่เอง” เลี่ยวจือฝู่พูดตะกุกตะกัก รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีก ”มันเป็นความผิดของข้าเอง ปากข้านี่มันช่างพูดจาไม่ระวังจริงๆ!”
เฉินเหลียงพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง แล้วบอกว่า ”ที่พูดจาไม่ระวังไม่ใช่ปากของเจ้าหรอก ลูกพี่ของข้าทำความดีไปตั้งเท่าไหร่หรือตั้งแต่เขามาถึงเมืองฟู่ผิง ตอนที่เมืองฟู่ผิงเผชิญหน้ากับภัยแล้ง เขาทุ่มเททำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเอาชนะการแทรกแซงจากพวกขุนนางขี้โกงพวกนี้ จนกระทั่งสามารถติดตั้งท่อส่งน้ำเพื่อให้ชาวบ้านมีอาหารกินได้ แต่เจ้าไม่ได้เพียงแค่ปล่อยข่าวลือเรื่องเขาออกไป แต่ยังปลุกระดมชาวบ้านให้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเขาอีกด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่ พวกเจ้าทุกคนจะต่อว่าขยะอย่างเยี่ยนต้าจ้าว และทวงคืนความยุติธรรมกลับมาให้พวกแม่นางหลิวหรือ เจ้ามันสนใจแค่เงินทองเท่านั้น ถ้าใครจ่ายให้มากกว่าเจ้าก็จะช่วยคนนั้น!”
“คุณ คุณชายเฉิน ท่านพูดเช่นนั้นไม่ได้นะขอรับ ท่านไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นท่านอาจจะไม่รู้ว่า…” บรรดาขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลลุกขึ้นยืนเหมือนกัน พวกเขาต้องการล้างมลทินให้กับตนเอง
เฉินเหลียงมองพวกเขาอย่างโกรธเคือง แล้วขัดว่า ”ข้าจะไม่รู้อะไรได้อย่างไร ข้ามาถึงเมืองฟู่ผิงหนึ่งวันก่อนหน้านี้ คนที่ลูกพี่ไปพบที่เมืองหลวงประจำมณฑลก็คือข้า เพียงแค่วันเดียวข้าก็ได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองฟู่ผิงแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะลูกพี่ห้ามไม่ให้ข้าก้าวออกมา ข้าคงได้อัดพวกเจ้าทุกคนไปแล้ว เจ้าพวกขุนนางคดโกงกินแผ่นดิน!”
หนึ่งวันก่อนหรือ?!
นั่นมันก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเมืองฟู่ผิงอีกมิใช่หรือ
ร่างของเหล่าขุนนางจากเมืองหลวงประจำมณฑลชะงักค้างอยู่กับที่
จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ หันไปมองทางเฮ่อเหลียนเวยเวย
ถ้าเขาได้รับการสนับสนุนจากบุตรชายของท่านผู้ว่าการมานานแล้ว ทำไมเขาถึงไม่เรียกคุณชายเฉินออกมาให้เร็วกว่านี้ล่ะ
ถ้าเขาทำเช่นนั้นแต่แรก ตอนนี้พวกเขาก็คงไม่ทำความผิดพลาดเช่นนั้นลงไป
เดี๋ยวก่อนนะ!
ดูเหมือนว่าเจ้าคนแซ่เว่ยผู้นี้จะจงใจให้เป็นอย่างนี้!
ทันใดนั้นเหล่าขุนนางก็เริ่มตระหนักได้ว่าพวกเขาอาจจะติดกับเข้าให้แล้ว ทั้งยังเป็นกับดักที่ได้รับการวางแผนมาอย่างแยบยลตั้งแต่แรกอีกด้วย
อีกฝ่ายกำลังรอให้เวลานี้มาถึง เวลาที่พวกเขาทุกคนถลำเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพื่อที่จะได้จัดการพวกเขาทีเดียวพร้อมกัน!
ขุนนางเหล่านั้นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ความรู้สึกนั้นเป็นผลจากความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของพวกเขานั่นเอง
พวกเขาคิดว่านายอำเภอคนนี้เป็นเพียงแค่คนไร้ตัวตน และไม่มีฐานะอันใด เป็นคนที่พวกเขาสามารถหาผลประโยชน์ด้วยได้
เมื่อลองคิดดูให้ดีแล้ว ตั้งแต่มาถึงที่เมืองฟู่ผิง ทุกย่างก้าวของพวกเขานั้นล้วนแต่เป็นการเดินตามเกมของอีกฝ่ายทั้งสิ้น ทุกอย่างที่พวกเขาทำ และทุกคำที่พวกเขาพูดนั้นคือการก้าวเท้ามุ่งตรงเข้าสู่แผนการที่อีกฝ่ายวางไว้
ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เชื่อฟังคำพูดของเลี่ยวจือฝู่ และตกลงมาที่เมืองฟู่ผิงเพราะความโลภ
แต่สิ่งที่พวกเขาเสียใจยิ่งกว่าคือการได้มาเจอกับเจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้
พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าในราชสำนักมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย วิธีรับมือกับเรื่องต่างๆ ของเขานั้นรอบคอบเสียจนใครก็ตามที่คิดต่อต้านคงได้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
ถ้าก่อนหน้านี้มีคนลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น เขาคงถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชิงตัวไปแล้ว
แต่พวกเขามั่นใจว่าเจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้เป็นขุนนางหน้าใหม่ในราชสำนัก
ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้พวกเขาไม่ทันระวังตัว และติดกับดักนี้เข้าอย่างจัง…
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบจมูก เพียงแค่มองสีหน้าของพวกเขา นางก็รู้ว่าขุนนางพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาคงคิดว่านางเป็นปีศาจน่ากลัว
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าปัญหาทางการเมืองเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของนาง
การห้ามไม่ให้เฉินเหลียงปรากฏตัวออกมาก็ไม่ใช่ความคิดของนางเหมือนกัน
นางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ทหารอย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้นเคยกับการลงมือจู่โจมอย่างตรงไปตรงมา
แต่ความเจ้าเล่ห์ขององค์ชายสามนั้นแตกต่างออกไป
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ นางก็แอบชำเลืองมองไปที่ที่ปรึกษาส่วนตัวของตัวเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมสังเกตเห็นสายตาของนางเป็นธรรมดา ตอนที่ไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาก็ขยับแขนเสื้อขาวของตัวเองเล็กน้อย แล้วคว้ามือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวของนางเอาไว้ เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า ”มีอะไรหรือ ใต้เท้ามีอะไรจะสั่งข้าหรือขอรับ”
“ไม่มี” เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบสะบัดมือออกจากเขา พลางคิดในใจว่าถ้ามีคนเห็นภาพนี้เข้า พวกเขาคงได้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นต้วนซิ่วแน่ๆ!
คราวนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจรอยยิ้มกระวนกระวายของนาง ตรงกันข้าม เขากลับคิดว่าแก้มกลมๆ ทั้งสองข้างของนางดูเหมือนกระรอกกำลังร้องขออาหารกินไม่มีผิด เขาลดเสียงลงแล้วบอกว่า ”ทนอีกหน่อย หลังจากข้าฆ่าคนพวกนี้เสร็จแล้ว ข้าจะหาอะไรให้เจ้ากิน”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ข้าบอกตอนไหนว่าอยากกินหรือ ถึงนางจะรู้สึกหิวอยู่เล็กน้อยก็ตาม แต่องค์ชายพูดเรื่องฆ่าแกงขึ้นมาได้อย่างไม่สะทกสะท้านเกินไปหรือเปล่า…
เลี่ยวจือฝู่ไม่รู้ว่าเรื่องราวยังไม่จบแค่นี้ เขารีบแก้ตัวกับเฉินเหลียงว่า ”คุณชายเฉิน นี่เป็นเพียงแค่การเข้าใจผิดกัน พวกเราแค่เข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง เรื่องที่ใต้เท้าเว่ยวางท่อส่งน้ำนั้น พวกข้าไม่รู้จริงๆ ว่าน้ำจะไหลขึ้นสู่ที่สูงได้ และคิดว่าใต้เท้าเว่ยเพียงแค่เพ้อฝันไป มิหนำซ้ำพวกข้าก็ยังปรับความเข้าใจเรื่องนั้นกันไปแล้วด้วย คุณชายเฉินอย่ากล่าวหาว่าพวกข้าเป็นขุนนางที่โกงกินแผ่นดินเลย ข้าคงทนแบกรับผลที่จะตามมาไม่ไหว ไม่ไหวแน่ๆ!”
เฉินเหลียงเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา เขายังเด็ก ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเรื่องการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากได้ฟังคำพูดหน้าไม่อายของเลี่ยวจือฝู่ เขาก็อยากตรงเข้าไปถีบอีกฝ่ายยิ่งนัก!
โชคดีที่ผู้ว่าการเฉินอยู่ที่นั่นและปรามเขาเอาไว้ เขารู้ว่าบุตรชายของตัวเองคงไม่สามารถเอาชนะจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์อย่างคนแซ่เลี่ยวด้วยคำพูดได้
แต่ปัญหาในครั้งนี้ก็ซับซ้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หากพูดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เจ้าคนแซ่เลี่ยวนี่คงได้พยายามหาเรื่องทำให้ความผิดของตัวเองลดน้อยลงอีกแน่…
ขณะที่ผู้ว่าการเฉินกำลังชั่งน้ำหนักหาวิธีการรับมือกับเรื่องนี้อยู่ในใจ น้ำเสียงอันน่าฟังที่เต็มไปด้วยความสูงศักดิ์ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง มันเป็นเสียงอันราบเรียบและแผ่วเบา แต่กลับแผ่บรรยากาศแห่งความสูงส่งที่มีมาแต่กำเนิดออกมาได้อย่างชัดเจน…