เวลานี้เอง สืออีเหนียงจึงค่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยิน
เมื่อเจอหน้ากัน กานไท่ฮูหยินก็ได้ถามไถ่ถึงเรื่องจิ่นเกอขึ้นมา “วันสิบค่ำจิ่นเกอก็อายุห้าเดือนแล้วกระมัง หน้าตาเหมือนเจ้าหรือเหมือนท่านโหวมากกว่า ข้าเป็นหญิงหม้าย บุตรของเจ้าก็ยังเล็กมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้เจอกันสักที” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะมีเวลาว่าง แต่กลับเป็นคนไร้วาสนา กลัวว่าจิ่นเกอจะพลอยโชคร้ายไปด้วย ก็เลยวานให้หลานถิงช่วยจิ่นเกอทำเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งไปฝากเจ้า!” น้ำเสียงนิ่งสงบเป็นอย่างมาก
แต่สืออีเหนียงได้ยินแล้วกลับรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ระหว่างเราให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน เพียงแต่ว่าเด็กยังเล็กเกินไป อากาศของฤดูใบไม้ผลิเปลี่ยนแปลงไปมาค่อนข้างเร็ว ไท่ฮูหยินและท่านโหวก็เลยเป็นห่วงกลัวว่าจะโดนลมหนาวเข้า รอให้เขาโตขึ้นอีกสักหน่อย ข้าจะพาเขาออกมาให้ท่านดูอย่างแน่นอน”
กานไท่ฮูหยินได้ฟังแล้ว ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “บิดามารดามักจะรักและเอ็นดูบุตรชายคนสุดท้องที่สุด ท่านโหวก็เป็นเช่นคนอื่นเขาหรืออย่างไรกัน”
สืออีเหนียงไม่อยากให้ผู้อื่นพูดว่าสวีลิ่งอี๋ไม่เข้มงวดต่อบุตร ขาดซึ่งความน่าเกรงขาม จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะท่านโหวมีทายาทค่อนข้างน้อย” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องของจิ่นเกอขึ้นมา “…ไม่รู้ว่านิสัยใจคอเหมือนใคร วันๆ ก็เอาแต่เล่นอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่ยอมทานข้าว ไม่ยอมกลับไปนอนที่เรือน หากถูกขัดใจขึ้นมาก็จะโมโหโวยวายเสียยกใหญ่ ข้ากลัวว่าแม่นมจะเอาใจและให้ท้ายเขา ก็เลยเอามาดูแลเองเป็นส่วนใหญ่”
“ตระกูลอย่างเราๆ ไม่เคยต้องกังวลเรื่องอาหารการกินการอยู่ กลัวก็แต่ว่าลูกหลานจะถูกคนอื่นเอาใจและให้ท้ายจนเสียนิสัยนี่แหละ” กานไท่ฮูหยินเห็นด้วยกับความคิดของสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก “ถึงเวลานั้นไม่ว่าตระกูลจะมีกิจการการค้ามากมายเพียงใด สุดท้ายก็คงล้มเหลวจนหมดสิ้น” จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องของสวีซื่อจุนขึ้นมา “ตอนมาส่งดอกไม้ต้นไม้เมื่อคราวที่แล้ว ได้ยินมาว่าย้ายไปอยู่ที่ลานนอก เขาคุ้นชินหรือไม่”
“อย่าไปฟังป้าตู้พูดพล่ามเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้เขากำลังดีใจจะแย่!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เลิกเรียนแล้วก็ตรงดิ่งมาคารวะข้าที่เรือน จากนั้นก็รีบกลับเรือนทันที สั่งให้สาวใช้น้อยจัดโน่นวางนี่ไม่หยุด ตอนที่ข้ามายังบอกข้าว่าอยากจะปลูกต้นไห่ถังที่เรือนสักต้นอีกด้วย”
กานไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดัง “ก็ยังเป็นนิสัยของเด็กน้อย!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “เขาเป็นคนที่นิสัยใจคอซื่อสัตย์…”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็เห็นสาวใช้น้อยเปิดม่านชะเง้อหน้าเข้ามาจากด้านนอก
สืออีเหนียงจึงหยุดบทสนทนานั้นไป กานไท่ฮูหยินเองก็หันไปมองตาม จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น
“ไม่ต้องไปสนใจนาง!” กานไท่ฮูหยินพูดขึ้นเสียงเบา “นางเป็นสาวใช้ข้างกายของกานฮูหยิน” นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างรำคาญและเหลืออด
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก กานไท่ฮูหยินเป็นคนที่นิสัยใจคออ่อนโยนและโอนอ่อนผ่อนตาม น้อยมากที่จะแสดงสีหน้าอารมณ์เช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถามนางด้วยความเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
ใบหน้าของกานไท่ฮูหยินก็แดงก่ำขึ้นมาทันที “นางบอกว่าเงินในส่วนของลานนอกเอาออกไปร่วมทำการค้ากับสกุลกงหมดแล้ว ก็เลยให้ข้าเจียดเงินส่วนตัวออกมา เผื่อว่าฉุกเฉินจะต้องใช้”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” สืออีเหนียงเองก็ขมวดคิ้วตาม
“กว่าเจ้าจะได้มาหาข้าไม่ง่าย พวกเราไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องเละเทะยุ่งเหยิงพวกนั้นแล้ว” กานไท่ฮูหยินไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องนี้ “ตอนที่ข้าขนข้าวของออกจากเรือนหลัก นางตรวจค้นข้าวของของข้าทุกชิ้นเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้จะให้ข้าควักเงินส่วนตัวออกมา ข้าอยากจะย้อนถามนางกลับไปเหลือเกิน ข้าจะไปหาเงินส่วนตัวมาจากไหนกัน พูดไปพูดมา นางก็แค่อยากจะได้เงินส่วนแบ่งจากร้านขายของมงคลสมรสของข้าก็เท่านั้น”
“ท่านกับกานฮูหยิน อย่างไรก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี ท่านไม่จำเป็นต้องไปผิดใจกันเพียงเพราะเงินไม่กี่ตำลึง” สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างครุ่นคิด “หากว่าบอกปัดไม่ได้จริงๆ ก็ให้นางมาหาข้า บอกไปว่าข้าเป็นคนดูแลร้านขายของมงคลสมรส ข้าจะรอดูว่านางจะกล้าแค่ไหน!”
กานไท่ฮูหยินรู้สึกเกรงใจเป็นอย่างมาก นางจับมือของสืออีเหนียงมากุมไว้ “ทำเจ้าลำบากใจแล้ว ข้ารู้สึกผิดและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ข้าได้พูดกับนางไปแล้ว ว่าพี่ใหญ่ของข้าเป็นคนดูและเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างในร้านขายของมงคลสมรส แม้แต่เรื่องปันผลกำไร พี่ใหญ่ของข้าก็เป็นคนตัดสินใจ หากว่านางไม่เชื่อก็ให้นางไปถามพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าเอา”
พี่ใหญ่ของกานไท่ฮูหยินก็เป็นถึงขุนนางระดับสามของราชสำนัก มีเขาคอยช่วยหนุนหลัง สกุลกานจึงไม่ค่อยกล้าทำอะไรที่เกินขอบเขต
ทั้งสองก็พากันพูดถึงเรื่องงานแต่งหลานสาวของกานไท่ฮูหยินและบุตรชายของซื่อเหนียงขึ้นมา อารมณ์ที่โมโหเมื่อครู่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ปิติยินดี หลังจากที่สืออีเหนียงอยู่ทานอาหารเที่ยงกับกานไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยเดินทางกลับจวน
ช่วงบ่าย หลานถิงก็ได้มาหาพอดี
นางกำลังอุ้มจิ่นเกอ นั่งคุยกับสืออีเหนียงที่ห้องรับแขก
“แรงเยอะจริงเชียว!” นางยิ้มพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “ข้าจำได้ว่าตอนที่ถงเกออายุประมาณนี้ เขาพึ่งจะฝึกยืนเอง ไม่เหมือนจิ่นเกอ อุ้มอยู่แท้ๆ ทั้งดีดตัวทั้งกระโดด ไม่หยุดพักเลยแม้แต่ครู่เดียว”
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงนำเสื้อผ้าเด็กที่หลานถิงให้ไปเก็บ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนที่ข้าท้องเขา สุขภาพครรภ์ไม่ค่อยดี ข้ายังกลัวว่าร่างกายของเขาจะอ่อนแอและไม่แข็งแรง นึกไม่ถึงว่าเขาจะทานเก่งนอนเก่งและแรงเยอะขนาดนี้!” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “บังเอิญเสียจริง เช้านี้ข้าพึ่งจะไปเยี่ยมกานไท่ฮูหยิน! พอตกบ่ายเจ้าก็มาหาข้าพอดี หากเจ้ามาช่วงเช้า เราคงจะไม่ได้เจอกัน!”
หลานถิงได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนแรกข้าก็จะมาเยี่ยมเจ้าช่วงเช้าเหมือนกัน แต่พอดีข้าได้รับจดหมายจากพี่หญิงสาม ให้ข้าช่วยส่งของไปให้นางนิดหน่อย ข้าเลยต้องสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมของส่งไปที่ฝูเจี้ยน…มิเช่นนั้นข้าก็คงมาตั้งแต่เช้าแล้ว!”
สืออีเหนียงก็พูดขึ้นว่า “เฉาเอ๋อร์ส่งจดหมายมาหรือ ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ตอนนี้นางกำลังตั้งครรภ์” หลานถิงยิ้มเจื่อน “เห็นบอกว่าสุขภาพครรภ์ไม่ค่อยดี จึงย้ายไปอยู่ที่ชนบท ก็เลยให้ข้าช่วยส่งโสมกับรังนกที่คุณภาพค่อนข้างดีหน่อยไปบำรุงร่างกาย”
เป็นถึงนายหญิงใหญ่ แต่ต้องย้ายไปอยู่ที่ชนบทหรือ…
สืออีเหนียงได้แต่พูดขึ้นว่า “เมื่อมองไม่เห็นก็จะไม่เป็นกังวลใจ ย้ายไปอยู่ที่ชนบทสักพักก็ดีเหมือนกัน”
หลานถิงก็ฝืนยิ้มแหย นั่งคุยกันไม่นานก็ขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงเดินออกไปส่งนางที่ประตู โจวฮูหยินก็มาถึงพอดี
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
โจวฮูหยินแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ เห็นได้ชัดว่าพึ่งเข้าวังมา แต่สีหน้าของนางกลับซีดเผือด ราวกับว่าถูกทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก
นางส่ายหน้าเบาๆ เดินผ่านสืออีเหนียงตรงไปที่ห้องชั้นใน จากนั้นนางก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างแล้วค่อยๆ เริ่มร้องไห้ออกมา
สืออีเหนียงรีบให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในห้องถอยออกไปจนหมด จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยนางเช็ดน้ำตา “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่เก๋อเหล่ากำลังจะถูกประหารชีวิต บางตระกูลได้รับการเลื่อนขั้น บางตระกูลก็ถูกลดตำแหน่ง ทุกคนต่างก็รู้สึกกระวนกระวายใจไปตามๆ กัน เวลาที่เจอกับเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ก็มักจะตื่นตระหนกมากกว่าปกติเสมอ
โจวฮูหยินไม่ได้สนใจสืออีเหนียง นางร้องไห้ไปครึ่งค่อนวันกว่าจะยอมเงยหน้าขึ้น “ฟังเจี่ยเอ๋อร์คลอดแล้ว นางให้กำเนิดบุตรสาวอีกแล้ว!” พูดจบก็ฟุบหน้าลงกับหมอนอิงใบใหญ่แล้วร้องไห้อีกครั้ง
สืออีเหนียงเงียบงัน
นี่คือเรื่องที่ทำให้รู้สึกผิดหวังและจนใจอย่างที่สุด!
สืออีเหนียงนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนนางอยู่ครู่ใหญ่
โจวฮูหยินร้องไห้ไปยกใหญ่ จึงค่อยสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนั่งตัวตรงขึ้นมา “กลับไปยังจะต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มแสดงความปิติยินดีอีก…”
เพราะจวนองค์หญิงมีหูตามากมาย ไหนจะลุงป้าน้าอา ไหนจะพี่ไหนจะน้อง แล้วไหนจะเหล่าบรรดาสตรีในครอบครัวอีก หากถูกใครเห็นเข้าก็มีแต่จะเอาไปนินทาว่าร้าย เผยแพร่ข่าวลือในทางเสียๆ หายๆ
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงตักน้ำเข้ามา จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำช่วยนางเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยตัวเอง “ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ออกไปนอกบ้าน พี่หญิงมาหาข้าได้ทุกเมื่อ” สืออีเหนียงพูดกับโจวฮูหยินด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เพื่อบอกกับโจวฮูหยินว่าตนจะไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน
โจวฮูหยินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจแต่อย่างใด นางรับผ้าจากมือของสืออีเหนียงมาเช็ดหน้าเช็ดตา “หากข้าเห็นเจ้าเป็นคนอื่นคนไกล ข้าก็คงจะไม่มาหาเจ้าหรอก!” พูดจบ จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องของฟังเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมาอีกครั้ง “ว่ากันว่าถึงแม้จะมีชีวิตที่สูงส่งเพียงใด แต่ก็มีช่วงเวลาที่อันตรายและสั่นคลอนได้เหมือนกัน ตั้งแต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ของข้าเกิดจนถึงตอนนี้ ตอนเด็กๆ นางมีนัยน์ตาที่ดำขลับเหมือนเช่นองค์หญิง นางไม่เหมือนกับหลานสาวคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่หลานก็ยังเทียบไม่ติด พอโตขึ้นมาก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ร่าเริงกตัญญู ต่อมาก็ได้อภิเษกสมรสกับโอรสองค์โตของฮ่องเต้ ขึ้นมาเป็นไท่จื่อเฟย…แต่กลับไม่อาจทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายที่จะเป็นทายาทสืบทอดสายเลือดได้ เจ้าว่า…นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่า ‘ความมั่งคั่งและเกียรติยศอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไม่อาจเอื้อม’ หรือไม่”
หรือก็คือทานหวานก่อนแล้วค่อยมาเจอขม
ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่ตระหนักถึงความขมของชีวิตก่อนค่อยแล้วมาลิ้มรสความหวาน
สืออีเหนียงทำได้เพียงปลอบใจนาง “คนเราเวลาผ่านความลำบากและความโศกเศร้าแล้ว ก็จะพบเจอกับความสุขและความโชคดี พี่หญิงก็คิดเสียว่าฟ้าสวรรค์เห็นว่าชีวิตของฟังเจี่ยเอ๋อร์ราบรื่นจนเกินไป จึงให้นางประสบพบเจอกับความยากลำบากบ้าง เพื่อที่จะได้ตระหนักถึงความยากลำบากของดินแดนมนุษย์แห่งนี้”
โจวฮูหยินก็พยักหน้าเบาๆ “ก็คงต้องคิดเช่นนั้น!” จากนั้นนางก็กุมมือของสืออีเหนียงไว้ “ตอนที่จวิ้นจู่จัดงานพิธีสรงสาม หลังจากน้องหญิงเข้าเฝ้าฮองเฮาแล้ว ช่วยฟังเจี่ยเอ๋อร์ทูลคำพูดดีๆ สักหน่อย” พูดจบ น้ำตาของนางก็ไหลอาบแก้ม “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะได้จัดพิธีสรงสามหรือไม่ ตอนที่ฝ่าบาททรงทราบว่าเป็นบุตรสาว ก็ทรงตรัสแค่ว่า ‘ข้ารู้แล้ว’ เท่านั้น ไม่เหมือนเมื่อครั้งก่อนที่ทรงตั้งชื่อให้ทันที…”
“ดูพี่หญิงพูดเข้า เป็นบุตรชายหรือบุตรสาว จะไม่จัดพิธีสรงสามได้อย่างไรกัน!” สืออีเหนียงยกน้ำชาร้อนๆ มาให้นางดื่ม “ครั้งที่แล้วเป็นถึงหลานสาวคนโต ย่อมไม่เหมือนครั้งนี้อยู่แล้ว อย่าว่าแต่เป็นองค์หญิงเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นองค์ชาย ก็ไม่มีใครที่พึ่งคลอดออกมาแล้วได้รับชื่อพระราชทานทันทีทันใด พี่หญิงควรต้องสุขุมและหนักแน่นเข้าไว้จึงจะถูก มิเช่นนั้น ฟังเจี่ยเอ๋อร์จะพลอยเป็นกังวลใจไปด้วย คนเราเวลาที่กระวนกระวายใจก็มักจะทำอะไรผิดพลาดได้ง่าย หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ก็จะแก้ไขยากแล้ว”
โจวฮูหยินรีบพยักหน้าทันที
สืออีเหนียงโน้มน้าวนางอยู่ครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ จากนั้นก็ได้ถามไถ่ถึงสถานการณ์ของฟังเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อรู้ว่าทั้งแม่และเด็กปลอดภัยดี จึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา เมื่อโจวฮูหยินได้พูดคุยเรื่องนี้กับสืออีเหนียงแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก ยอมรับว่าเรื่องที่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาวนั้นเป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว จึงสูดลมหายใจเข้าลึก ล้างหน้าล้างตาแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็ได้ไปคารวะไท่ฮูหยิน แล้วจึงกลับจวนองค์หญิงไป
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาเบาๆ “ถึงแม้ว่าฮองเฮาจะรอได้ แต่เกรงว่าเหล่าบรรดาขุนนางในราชสำนักจะรอไม่ไหวแล้ว”
“มีฮองเฮาทรงค้ำจุน สถานการณ์ก็จะดีกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ตกกลางคืน สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ก็ได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
สีหน้าและแววตาของสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างเคร่งขรึม
สืออีเหนียงจึงหยอกล้อว่า “ท่านโหวคงจะไม่ได้รังเกียจฟังเจี่ยเอ๋อร์ที่ให้กำเนิดบุตรสาวหรอกกระมัง ข้าว่าได้บุตรสาวออกจะดี ข้ายังเตรียมจะมีบุตรสาวอีกสักคนเสียด้วยซ้ำ!”
สวีลิ่งอี๋กัดใบหูของสืออีเหนียงเบาๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “จริงหรือ! เจ้าเตรียมจะมีบุตรสาวให้ข้าจริงๆ หรือ!” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความคลุมเครือ
ใบหน้าของสืออีเหนียงพลันแดงก่ำขึ้นมาทันที นางค่อยๆ ผลักใบหน้าของเขาออกเบาๆ “ข้ากำลังจริงจังอยู่นะเจ้าคะ!” นางอดไม่ได้ที่จะจ้องเขาตาเขม็ง
“เด็กโง่!” สวีลิ่งอี๋ทำได้เพียงดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “หมอหลวงหลิวบอกแล้ว ว่าเจ้าต้องบำรุงรักษาร่างกายอีกหลายปี รออีกสักระยะเวลาหนึ่ง เจ้าค่อยคลอดบุตรสาวให้ข้าสักคน!”
ระดูของนางพึ่งจะหมดไป
สืออีเหนียงซุกหน้าเข้าไปในอ้อมอกของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋จึงหัวเราะเสียงดังออกมา “ก็ได้ ก็ได้…ล้วนเป็นความผิดของข้าคนเดียวพอใจเจ้าแล้วหรือยัง!” น้ำเสียงของเขาค่อยๆ เบาลงอย่างช้าๆ นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้มที่รักใคร่ทะนุถนอม แต่ร่างกายกลับทรยศต่อคำพูดและการตัดสินใจของเขาอย่างสิ้นเชิง
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้มพร้อมกับค่อยๆ ขยับแขนต่ำลงเรื่อยๆ
เล่นกับไฟ ก็จะถูกไฟลวก!
สวีลิ่งอี๋แอบหัวเราะในใจอย่างไร้ซึ่งสุ้มเสียง
สืออีเหนียงนับวันก็ยิ่งกล้ามากขึ้น
แต่ทว่าก็เป็นเพราะตนที่ให้ความเคยชินนางจนติดเป็นนิสัย
ในใจของตนนั้นพอใจเป็นอย่างมาก…แต่ไม่ใช่เวลานี้
เขายิ้มพร้อมกับจับมือของสืออีเหนียงเอาไว้ “ครั้งนี้สกุลโจวคงจะลำบากแล้ว!”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
สวีลิ่งอี๋กลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “องค์ไท่จื่อทรงเป็นองค์รัชทายาทของแว่นแคว้น เป็นความหวังของบ้านเมือง ไม่เพียงแค่ปกครองภายในราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังต้องเซ่นไหว้และสักการบูชาบรรพบุรุษด้วย ไท่จื่อเฟยเข้าวังมาร่วมสามปีแล้ว แต่กลับให้กำเนิดบุตรสาวติดต่อกันถึงสองคน ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงตรัสอะไร แต่ลึกๆ ในใจคงไม่ทรงปลื้มอย่างแน่นอน หากว่าสกุลโจวไปโน้มน้าวไท่จื่อในฐานะพ่อตาแม่ยายให้รับนางสนมแล้วให้กำเนิดโอรสคนโตขึ้นมา เรื่องก็จะยุ่งยากอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ถามไถ่เลย หากฮ่องเต้ทรงนึกขึ้นมาได้ จะทรงรู้สึกว่าสกุลโจวนั้นไม่รู้จักกาลเทศะ ไร้ซึ่งความน่านับถือ เกิดความไม่พอพระทัยในตัวไท่จื่อเฟยเอาได้…ถือเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งสองด้าน!”