โจวฮูหยินรู้ว่าสืออีเหนียงมีเรื่องจะพูดกับนาง นางจึงพยายามแสดงสีหน้าที่เรียบเฉยและไม่ได้หันกลับไปมอง รอให้เสร็จสิ้นพิธีสรงสาม นางก็อาศัยตอนที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างครึกครื้นไปยืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
สืออีเหนียงก็ได้พูดถึงเจตนาของสวีลิ่งอี๋และฮองเฮาให้นางฟังด้วยเสียงที่แผ่วเบา โจวฮูหยินดูโล่งใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รอให้ทางฝั่งฟังเจี่ยเอ๋อร์ออกมาแล้ว องค์หญิงฝูเฉิงก็ได้พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินที่เงียบมาโดยตลอด ใบหน้าก็ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
ไท่ฮูหยินกุมมือของสืออีเหนียงไว้พร้อมกับตบหลังมือของนางเบาๆ จากนั้นก็พูดคุยกับฮูหยินห้าและหวงฮูหยินพลางพากันเดินไปยังห้องโถงข้างพระตำหนัก
เมื่อกลับไปถึงเหอฮวาหลี่ก็ต้นยามโหย่วแล้ว คนที่ออกมารับพวกนางไม่ใช่แค่สวีลิ่งอี๋เท่านั้น แต่ยังมีหลัวเจิ้นซิ่งด้วย
“พี่ใหญ่!” สืออีเหนียงดีใจเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของหลัวเจิ้นซิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แจ่มใส เขาเดินเข้าไปหาน้องสาวพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน
“ในที่สุดท่านก็มา!” ฮูหยินห้ายิ้มพร้อมกับกล่าวทักทายหลัวเจิ้นซิ่ง “พี่สะใภ้สี่เอาแต่บ่นไม่หยุด ว่าเหตุใดท่านถึงยังไม่มา!”
ไท่ฮูหยินเองก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหตุใดจึงมาถึงเอาป่านนี้!”
“ทำไท่ฮูหยิน เซี่ยนจู่และน้องหญิงเป็นห่วงแล้ว!” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับตอบกลับไท่ฮูหยิน ราวกับว่าเป็นการอธิบายไปในตัว สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังน้องสาวของตัวเอง “ระหว่างทางมีเรื่องทำให้เสียเวลานิดหน่อย ก็เลยล่าช้าจากเวลาที่คาดการณ์ไว้ไปราวครึ่งเดือนขอรับ”
ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าไม่สะดวกจะถามมากไปกว่านี้ หน้าประตูฉุยฮวาก็ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะยืนคุยกัน ไท่ฮูหยินจึงเดินเข้าด้านในพลางพูดคุยกับหลัวเจิ้นซิ่งด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “กลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวให้เจ้าสี่เลี้ยงต้อนรับเจ้า เจ้าจะต้องดื่มสักจอกสองจอกให้หายเหนื่อย” จากนั้นก็ได้พูดขึ้นต่อไปว่า “ที่บ้านสบายดีหรือไม่ ได้ยินมาว่าภรรยาของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ เป็นอย่างไรบ้าง นางสบายดีใช่หรือไม่”
“ไท่ฮูหยินเมตตาแล้ว” หลัวเจิ้นซิ่งตอบกลับด้วยความนอบน้อม “ที่บ้านสบายดี ส่วนภรรยาของข้ามีอี๋เหนียงห้าคอยดูแลอยู่ ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงขอรับ”
หลังจากที่อี๋เหนียงหกเข้าเมืองเยี่ยนจิงมาแล้วก็ไม่ได้กลับไปเลย
สืออีเหนียงนึกถึงสีหน้าท่าทีที่เงียบๆ ไม่ค่อยพูดจาและไม่สู้คนของอี๋เหนียงห้าขึ้นมา ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หลัวเจิ้นซิ่งพูดมานั้นเป็นคำพูดที่เกรงใจหรือเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจกันแน่!
ทุกคนก็ได้ไปนั่งที่เรือนของไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง ไท่ฮูหยินเห็นว่าพี่น้องพึ่งจะได้เจอกัน อีกคนก็กำลังตั้งครรภ์ ก็เลยไม่ได้ให้ลูกสะใภ้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายต่อ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเพื่อที่จะส่งแขก
ฮูหยินห้าก็ได้กลับเรือนของนางไป ส่วนสืออีเหนียงก็ได้ไปนั่งที่ห้องตำรากับสวีลิ่งอี๋เป็นเพื่อนหลัวเจิ้นซิ่ง
ไม่รอให้สืออีเหนียงได้ทันเอ่ยถาม หลัวเจิ้นซิ่งก็เริ่มพูดก่อนว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป ที่บ้านไม่มีเรื่องอันใด เพียงแต่ว่าพ่อค้าร่ำรวยที่ตระกูลของเราเคยไปร่วมทำการค้าใบชาด้วย จู่ๆ ก็พาครอบครัวย้ายมาที่หังโจว ก็เลยมาขอร้องให้ข้าช่วยพวกเขาหาที่หาทางให้พวกเขาลงหลักปักฐานที่หังโจว”
สืออีเหนียงรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที “สถานการณ์ที่ฝูเจี้ยนย่ำแย่ขนาดนี้เชียวหรือ”
เรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องที่สตรีไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว
หลัวเจิ้นซิ่งจึงเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่ง
แต่สวีลิ่งอี๋กลับพูดขึ้นว่า “แย่กว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก ทางฝั่งฝูเจี้ยนแจ้งแต่ข่าวดีไม่แจ้งข่าวร้าย เรื่องการสังหารหมู่ของหมู่บ้านต้าอานปิดไม่มิดแล้ว ก็เลยมาแจ้งข่าว” สีหน้าของเขาค่อนข้างเรียบเฉย ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจอย่างไรอย่างนั้น
“เช่นนั้นก็หมายความว่าการที่ผู้บัญชาการหลี่อยู่ที่นั่น ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด สถานการณ์ของฝูเจี้ยนค่อยๆ ถูกควบคุม” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิด
หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นผลงานทางการทหารของหลี่จี้ก็…
สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับเสียงเบา “อืม” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับหลัวเจิ้นซิ่งว่า “เจ้ามาได้เวลาพอดี ข้ากำลังจะเขียนจดหมายไปให้เจี่ยงอวิ๋นเฟย เจ้าช่วยเล่าเรื่องพ่อค้าใบชาคนนั้นให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบเถิด”
สืออีเหนียงตั้งใจจะเงี่ยหูฟังเสียหน่อย แต่กลับเห็นหลัวเจิ้นซิ่งเหลือบมองตนอีกรอบ สืออีเหนียงจึงพึ่งรู้สึกตัวว่าตนนั้นกำลังเสียมารยาท
จึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าขอตัวไปชงน้ำชามาให้ท่านโหวและพี่ใหญ่ก่อน”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น “ให้สาวใช้น้อยไปชงแทนดีกว่ากระมัง! ส่วนเจ้าหากไม่อยากจะนั่งฟังเรื่องพวกนี้ ก็กลับเรือนไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน!”
จิ่นเกอตัวโตขึ้นเรื่อยๆ แต่สืออีเหนียงกลับชอบอุ้มเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เขาเป็นคนที่ซุกซนไม่อยู่นิ่ง สวีลิ่งอี๋จึงเป็นห่วงกลัวว่าสืออีเหนียงจะอุ้มจิ่นเกอจนแขนเมื่อยล้า แล้วพลั้งมือทำให้จิ่นเกอตกสู่พื้นได้
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็ตัดสินใจลุกออกมา
หลัวเจิ้นซิ่งรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
เวลาคนที่สำนักศึกษาฮั่นหลินพูดถึงสวีลิ่งอี๋ ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถึงแม้เขาจะเป็นคนรักสันโดษ พูดน้อยและค่อนข้างเก็บตัว แต่กลับฉลาดปราดเปรื่องเหนือกว่าผู้อื่นเป็นไหนๆ เวลาปฏิบัติหน้าที่ก็มักจะละเอียดรอบคอบและพิถีพิถันเสมอ นึกไม่ถึงเลยว่า…เขากลับยอมให้สืออีเหนียงอยู่ฟังบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของราชสำนักเช่นนี้
หลัวเจิ้นซิ่งก้มหน้าจิบชา พยายามปกปิดสีหน้าของเขาไว้ แต่สายตากลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองสืออีเหนียง
นางยืนหันข้างและกำลังสั่งอะไรบางอย่างกับสาวใช้น้อย
ร่างกายที่ผอมเพรียวราวกับต้นหลิวที่อรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าขาวเนียนราวกับกลีบดอกกล้วยไม้หยกที่พึ่งผลิบานก็ไม่ปาน สตรีที่สง่าและงดงามเช่นนี้ แต่ภายในกลับขาวสะอาดหมดจดเผยให้เห็นถึงความเปล่งประกายแพรวพราว พลอยทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกทึ่งไม่น้อย
หลัวเจิ้นซิ่งก็ได้หันกลับไปมองสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋กำลังพูดอยู่ “…ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่สำคัญ ผู้บัญชาการหลี่เชี่ยวชาญและมีความชำนาญในการคาดเดาพระประสงค์ของฝ่าบาท แต่กลับบิดเบือนเจตนาของฝ่าบาทไป ต้องรู้ว่าใต้หล้านี้ ล้วนเป็นแผ่นดินของจักรพรรดิทั้งสิ้น สิ่งที่ฝ่าบาททรงพระประสงค์ ก็คือสามารถช่วยเขาป้องกันและเฝ้าระวังยอดขุนพลของมณฑลฝูเจี้ยนไว้ แต่หลายต่อหลายครั้งที่เขากลับไปพัวพันเรื่องเล็กๆ กับสกุลโอว วิสัยทัศน์ถือว่าค่อนข้างคับแคบไปหน่อย!” เขาไม่ได้หันไปมองสืออีเหนียงแม้แต่นิดเดียว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลัวเจิ้นซิ่งกลับแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบตั้งสติแล้วพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ต่อ “ถือเป็นการวางหมากสลับหน้าหลังโดยแท้!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไป จากนั้นก็สั่งกับป้าอู๋ที่อยู่ในห้องครัวเล็กให้จัดเตรียมโต๊ะอาหารพร้อมสุราให้กับทั้งสอง จากนั้นนางก็กลับเรือนไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนไปสวมเสื้อกั๊กธรรมดาแล้วจึงนอนพักผ่อนไปครู่ใหญ่
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกที ทั่วทั้งผืนฟ้าก็สาดส่องไปด้วยแสงตะวันรอน
ด้านนอกก็มีเสียงของสวีซื่อเจี้ยดังขึ้น “อันนี้ทานไม่ได้นะ มันเอาไว้เล่นต่างหาก!” จากนั้นก็มีเสียงกลองป๋องแป๋งดังขึ้นสองสามครั้ง
หลายวันมานี้จิ่นเกอจับอะไรได้ก็มักจะเอาใส่เข้าปากเสมอ สืออีเหนียงกลัวว่าเขาจะกลืนสิ่งของจำพวกกระดุมลงท้อง จึงสั่งให้สาวใช้เก็บของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในเรือนให้หมด อีกทั้งยังได้กำชับอาจินให้สังเกตและระวังให้ดี
เมื่อรู้ว่าเป็นสวีซื่อเจี้ยที่เลิกเรียนแล้วแวะมาเล่นกับจิ่นเกอ ใบหน้าของนางก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา
หลังจากที่สวีซื่อจุนย้ายไปที่ลานนอก สองพี่น้องก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นที่ผ่านมา ในทุกๆ เช้าก็จะมาคารวะไท่ฮูหยินและสืออีเหนียง จากนั้นก็พากันไปเรียนหนังสือที่เรือนซวงฝู ช่วงเที่ยงก็จะทานข้าวและนอนพักกลางวันที่เรือนของไท่ฮูหยินหรือไม่ก็เรือนของสืออีเหนียง ช่วงเย็นหลังจากเลิกเรียนมาแล้ว สะใภ้หนานหย่งก็จะปฏิเสธคำชวนของสวีซื่อจุนอ้อมๆ แล้วจึงพาสวีซื่อเจี้ยกลับมาที่เรือนหลัก อาจารย์จ้าวก็จะสอนตำราสวีซื่อจุนตามลำพังต่ออีกครึ่งชั่วยาม เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งคู่ก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาเฉกเช่นเมื่อก่อน ยังดีที่สวีซื่อจุนใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเรียน ส่วนสวีซื่อเจี้ยก็มักจะมาเล่นกับจิ่นเกออยู่เสมอ จึงไม่ได้รู้สึกเหงาเท่าไรนัก
ตอนที่สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาแล้วไปยังห้องปีกทิศตะวันออก สวีซื่อเจี้ยก็กำลังเป่าขลุ่ยไม้ไผ่ให้จิ่นเกอฟังอยู่พอดี
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความรู้เรื่องดนตรีพื้นบ้านเท่าไรนัก แต่นางก็พอจะรับรู้ได้ว่าเสียขลุ่ยที่สวีซื่อเจี้ยเป่านั้นมีทักษะและไหวพริบที่ดี การเป่าขลุ่ยของสวีซื่อเจี้ยนั้นก้าวหน้ากว่าสวีซื่อจุนที่ฝึกเป่าพร้อมๆ กันค่อนข้างมาก
สวีซื่อเจี้ยเป่าขลุ่ยด้วยความตั้งใจ จิ่นเกอเองจึงหยุดความซุกซนแล้วมาจ้องมองพี่ชายเป่าขลุ่ยด้วยดวงตาที่กลมโตแทน
สืออีเหนียงยืนอยู่ตรงหน้าประตู ฟังสวีซื่อเจี้ยเป่าขลุ่ยจนจบบทเพลง จากนั้นก็ปรบมือด้วยความชื่นชม
“ฝีมือการเป่าขลุ่ยของเจี้ยเกอนับวันก็ยิ่งก้าวหน้า!”
“ท่านแม่!” สวีซื่อเจี้ยวิ่งไปกอดเอวของสืออีเหนียง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เก้อเขินว่า “ท่านอาจารย์บอกว่ายังต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ขอรับ!”
สืออีเหนียงลูบศีรษะของเขาเบาๆ จากนั้นก็หันไปอุ้มจิ่นเกอที่กำลังดีดตัวในอ้อมแขนของแม่นมกู้ “รีบไปทำการบ้าน ประเดี๋ยวเราจะไปทานข้าว แล้วไปคารวะท่านย่ากัน!”
สวีซื่อเจี้ยขานรับด้วยความนอบน้อมว่า “ขอรับ” จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งหน้าโต๊ะบนเตียงเตา แล้วจึงเริ่มท่อง ‘บทเรียนปฐมวัย’
เปิดภาคเรียนปีนี้ อาจารย์จ้าวได้ให้ความรู้ระดับสูงแก่สวีซื่อเจี้ยอย่างเป็นทางการ
จิ่นเกอฟังแล้วก็เริ่มหงุดหงิด เขาร้องอ้อแอ้พร้อมกับดึงต่างหูของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงตบก้นของบุตรชายไปหนึ่งที รอให้อาจินช่วยแกะมือของเขาออกจากต่างหูของสืออีเหนียงแล้ว สืออีเหนียงก็อุ้มจิ่นเกอไปยื่นให้กับแม่นมกู้ “คุณชายน้อยห้าจะท่องตำรา อย่าให้คุณชายน้อยหกรบกวนเขา”
แม่นมกู้ขานรับเสียเบาว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอไปยังเรือนหน่วนเก๋อ
หลังจากที่ตรวจการบ้านของสวีซื่อเจี้ยเสร็จเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็สั่งให้สาวใช้น้อยไปตั้งโต๊ะอาหาร หลังจากไปคารวะไท่ฮูหยินแล้ว สืออีเหนียงก็ไปยังห้องปีกทิศตะวันออกเพื่ออยู่เป็นเพื่อนสวีซื่อเจี้ยคัดตัวอักษรบนโต๊ะเตียงเตา
*****
ตอนที่สวีลิ่งอี๋กลับมา ท้องฟ้าก็มืดมากแล้ว ในเรือนเงียบสนิท เวลานี้ได้เปลี่ยนกะบ่าวรับใช้ที่เข้าเวรดึกจนหมดแล้ว
ไฟตะเกียงส่องสว่างกระทบไปยังหน้าต่างของห้องปีกทิศตะวันออก สะท้อนให้เห็นร่างเงาที่งดงามของสืออีเหนียงที่กำลังปักผ้าและสวีซื่อเจี้ยที่กำลังคัดตัวอักษร
สวีลิ่งอี๋ให้สาวใช้น้อยไม่ต้องไปแจ้งสืออีเหนียง เขายืนมองทั้งสองเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าไปเรือน
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบลงจากเตียงเตา
สวีซื่อเจี้ยเองก็รีบหันมาเรียกเขาว่า “ท่านพ่อ!” จากนั้นก็วางพู่กันในมือลง แล้วจึงเดินเข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ สายตาจับจ้องไปยังผ้านวมสีแดงสดที่อยู่ข้างโต๊ะเตียงเตา จิ่นเกอที่แก้มกลมๆ กำลังนอนหลับปุ๋ย
“การบ้านเสร็จแล้วหรือยัง!” เขายิ้มพร้อมกับหันมาถามสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ จิ่นเกอพลางช่วยจิ่นเกอดึงชายผ้านวมให้ตึง
“ยังเหลืออีกหนึ่งตัวขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เขากลัวว่าบิดาจะตำหนิติติงเขา
สวีลิ่งอี๋กลับยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า “เช่นนั้นก็รีบเขียนเถิด เขียนเสร็จแล้วจะได้รีบเข้านอน!”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบขานรับว่า “ขอรับ” รีบปีนขึ้นไปบนเตียงเตาทันที
สืออีเหนียงยกน้ำชาเข้ามาพอดี
สวีลิ่งอี๋จิบน้ำชาไปหนึ่งคำ จากนั้นก็กวาดสายตามองไปยังตะกร้าหวายเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างๆ เขายิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “กำลังทำอะไรอยู่หรือ”
สืออีเหนียงหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ สวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็ค่อยๆ จัดระเบียบของในตะกร้าหวาย “กำลังเย็บถุงเท้าฤดูร้อนให้ท่านโหวเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
นี่เป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงปักผ้าให้กับเขา ยิ่งไปกว่านั้นฉากบานพับที่ปัก ‘โคลงกลอน’ อยู่ก็ยังไม่เสร็จ…เขาจึงพูดขึ้นเสียงดังด้วยความสนใจว่า “ขอข้าดูหน่อย!”
สืออีเหนียงจึงยื่นถุงเท้าให้กับเขา
ผ้าเก๋อปู้เนื้อละเอียดสีเหลืองแก่ ถุงเท้าถูกปักด้วยลายเมฆสีดำ ให้ความรู้สึกสุขุมลุ่มลึก
สวีลิ่งอี๋รู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก เขาค่อยๆ สัมผัสเนื้อผ้าอย่างแผ่วเบาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นคืนให้กับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงก็ได้ถามถึงเรื่องของหลัวเจิ้นซิ่งขึ้นมา “พี่ใหญ่กลับไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“ยังไม่ได้กลับ” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “เขาดื่มสุราไปค่อนข้างเยอะ ข้าก็เลยให้เขานอนค้างแรมที่นี่” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “เจิ้นซิ่งพึ่งรับอนุภรรยาไปหนึ่งคน เจ้าไปเตรียมเครื่องประดับสักชุด พรุ่งนี้นำไปให้อี๋เหนียงคนใหม่เป็นของขวัญเจอหน้ากันครั้งแรก”
สืออีเหนียงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองตื่นตูมจนเกินไป ก็เลยรีบเบาเสียงลง “เรื่องตั้งแต่ตอนไหนหรือเจ้าคะ หลายวันมานี้เหตุใดพี่ใหญ่ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ในจดหมายที่เขียนส่งมาเลย”
“เรื่องไม่กี่วันที่ผ่านมา” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “เรื่องเช่นนี้ เขาจะสะดวกใจหยิบยกมาพูดถึงได้อย่างไรกัน”
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ
นายหญิงใหญ่เสียชีวิตลง คนที่จะขึ้นมาเป็นผู้ดูแลหลักของจวนก็คือคุณนายใหญ่สกุลหลัว นางจะต้องปรนนิบัติรับใช้นายท่านใหญ่สกุลหลัว ดูแลเรื่องอาหารการกิน จัดการธุระภายในจวน ปกป้องดูและอบรมสอนสั่งบุตรสาวและบุตรชาย ไม่สามารถติดตามหลัวเจิ้นซิ่งมาที่เมืองเยี่ยนจิงได้ แต่หลัวเจิ้นซิ่งก็ยังต้องมีคนคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกาย…
ความตกใจในตอนแรกค่อยๆ ผ่านไป ถึงแม้ว่านางจะสามารถเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ แต่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
บรรยากาศในเรือนเข้าสู่ความเงียบงัน
สวีลิ่งอี๋จ้องมองสีหน้าของสืออีเหนียงที่เมื่อครู่นี้ยังคงเงียบสงบ แต่ตอนนี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นเศร้าสลดขึ้นมาแทน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้พูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเป็นคนรับอนุเข้ามาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังเป็นญาติห่างๆ ของพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าด้วย บรรพบุรุษก็เคยเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ ถือว่าเป็นสตรีที่มีพื้นหลังขาวสะอาดและบุตรสาวที่ดีคนหนึ่ง”