แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 517 โฆษณาได้ออกอากาศแล้ว

ตอนที่ 517 โฆษณาได้ออกอากาศแล้ว

ตอนที่ 517 โฆษณาได้ออกอากาศแล้ว

พอได้นอนหลับฝันดี หลินม่ายก็ตื่นขึ้นในตอนเช้าด้วยความสดชื่น

สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากตื่นนอนคือซื้อข่าวค่ำปักกิ่งมาอ่าน ซึ่งเธอพอใจมากเมื่อเห็นว่าโฆษณาUniqueได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ตามที่ต้องการ

ขั้นตอนต่อไป คือการรอดูปฏิกิริยาตอบสนองจากผู้อ่าน ซึ่งหลินม่ายอดรู้สึกประหม่าไม่ได้

แต่ต่อให้กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอจึงอ่านหนังสือเรียนอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ต่อไปอย่างสบายใจ

ประมาณสิบโมงเช้า หัวหน้าฝ่ายโฆษณาของข่าวค่ำปักกิ่งก็โทรเข้ามา

เขาแจ้งข่าวให้หลินม่ายฟังด้วยความตื่นเต้นว่าผู้อ่านหลายคนโทรมาที่สำนักงานตั้งแต่แปดโมงเช้า ทุกคนต่างชื่นชมเสื้อผ้าUniqueของเธอเป็นเสียงเดียวกัน

บางคนถึงกับชมเปาะว่าหนุ่มสาวยุคใหม่ของประเทศจีนเรามีความสามารถยอดเยี่ยม การปฏิรูปและเปิดประเทศเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่เธอสามารถผลิตสินค้าที่ทันสมัยและสวยงามแบบนี้ได้แล้ว

เสื้อผ้าพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าแฟชั่นของฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศอื่นที่พัฒนาแล้วเลย ซึ่งพวกเขาก็ภาคภูมิใจมาก

ความคิดเห็นของผู้อ่านล้วนเป็นไปในเชิงบวกเกือบทั้งหมด

นอกจากนี้ พวกเขายังชื่นชมรูปแบบภาพโฆษณาบนหนังสือพิมพ์ที่จัดทำขึ้นเพื่อUniqueด้วย

ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พวกเขาสามารถผลิตโฆษณาสไตล์สากลประเภทนี้ได้ โดยใช้รูปภาพและเพิ่มข้อความโปรโมตลงไป แตกต่างจากกล่องโฆษณาที่มีแค่ตัวหนังสือธรรมดา ๆ

หลินม่ายแนะนำ “ฝ่ายโฆษณาสามารถฉวยโอกาสนี้โปรโมตในหนังสือพิมพ์ของตัวเอง เชิญชวนให้ลูกค้ารายอื่นมาติดต่อลงโฆษณากับสำนักหนังสือพิมพ์ของคุณได้ ฉะนั้นอย่าใจแคบเกินไป นอกจากพวกเขาจะได้พื้นที่โฆษณาแล้ว คุณยังได้โปรโมตหนังสือพิมพ์ไปในตัวด้วยนะคะ”

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาตาเป็นประกาย “จริงด้วย! ทำไมผมถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้นะ! คุณนี่หัวการค้าดีจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประสบความสำเร็จในการทำโรงงานตัดเสื้อตั้งแต่อายุยังน้อย!”

เดิมทีหัวหน้าฝ่ายโฆษณาไม่เคยมีความคิดที่จะขยายธุรกิจด้านโฆษณาของทางหนังสือพิมพ์มาก่อน

ถึงอย่างไรในยุคสมัยนี้ก็มีคนสนใจลงโฆษณาแค่ไม่กี่คน

หลินม่ายผุดไอเดียนี้ขึ้นมา ก็เพราะเธอเคยใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ จึงเอาประสบการณ์ในชาติที่แล้วของตัวเองมาปรับใช้

เธอรู้ดีว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า อุตสาหกรรมโฆษณามีแนวโน้มว่าจะรุ่งเรืองขึ้นมาก

หลินม่ายตอบกลับอย่างสุภาพ “ชมเกินไปแล้วค่ะ ชมเกินไปแล้ว”

จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง “สำนักหนังสือพิมพ์ของคุณลองใช้ประโยชน์จากคำชมของผู้อ่านที่มีต่อสินค้าแฟชั่น ไปทำการสำรวจความคิดเห็นตามท้องถนนดูสิคะ อยากรู้ว่าคนทั่วไปต่อต้านสินค้าแฟชั่น หรือต่อต้านสินค้าแฟชั่นที่นำเข้าจากต่างประเทศกันแน่”

หัวหน้าฝ่ายโฆษณาตอบกลับมาทางโทรศัพท์ “คุณหลอกใช้เราให้โปรโมตโฆษณาของคุณทางอ้อมอีกแล้ว”

ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เขาก็ยอมทำตามโดยดี

เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคม

ถ้าทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้คนตามท้องถนน เรียบเรียงเป็นบทความ แล้วตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ยอดขายหนังสือพิมพ์จะต้องพุ่งกระฉูดแน่นอน

หลังจากพูดคุยกับหัวหน้าฝ่ายโฆษณาเสร็จ หลินม่ายก็ไปที่สถานีโทรทัศน์ CCTV โดยไม่ลืมสะพายกระเป๋าไปด้วย

เธอขอเข้าพบผู้อำนวยการหยิ่นโดยตรง เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่าโฆษณาUniqueของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงข่าวค่ำปักกิ่งแล้ว ซึ่งเสียงตอบรับจากผู้อ่านดีมาก จึงหวังว่าทาง CCTV จะอนุมัติให้มีการออกอากาศโฆษณาUniqueของเธอด้วย

หลังจากที่ผู้อำนวยการหยิ่นตรวจสอบแล้ว พบว่าหลินม่ายพูดความจริง แต่เขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับเธอในทันที

หลินม่ายถูกขอร้องให้กลับไปรอฟังข่าว เพราะพวกเขาต้องประชุมหารือกันและตัดสินใจว่าจะออกอากาศโฆษณาของเธอดีหรือไม่

หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่เกสต์เฮ้าส์ แม้แต่อาหารมื้อเที่ยงก็ไม่มีอารมณ์จะกิน

โชคดีที่หลังบ่ายสองโมง ทางสถานีโทรทัศน์ก็โทรกลับมาหาเธอ

บอกว่าทางสถานีโทรทัศน์ตกลงที่จะออกอากาศโฆษณาของเธอ ให้เธอเข้ามาเซ็นสัญญาได้เลย

หลินม่ายรีบไปที่สถานีโทรทัศน์ CCTV อย่างไม่รอช้าโดยพาบอดี้การ์ดไปด้วยสองคน กับเงินสดอีกห้าหมื่นหยวน

เมื่อเธอมาถึงหน้าประตูสถานีโทรทัศน์ เธอขอให้บอดี้การ์ดทั้งสองรออยู่ข้างนอก ส่วนเธอเดินเข้าไปในสถานีตามลำพัง

เอกสารสัญญาได้รับการลงนามอย่างราบรื่น ภายในครึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็เดินกลับออกมา

พอกลับมาที่เกสต์เฮาส์ เธอได้รับข่าวดีอีกครั้งจากพนักงานขายหลายคนในเมืองหลวง

พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็สามารถเจรจาเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าทั้งหมดได้แล้ว ร้านUniqueสามารถเปิดตัวพร้อมกันได้ภายในวันพรุ่งนี้

ห้องพักส่วนตัวในเกสต์เฮาส์ไม่มีโทรทัศน์ มีโทรทัศน์แค่เครื่องเดียวซึ่งตั้งอยู่ที่ล็อบบี้

ทันทีที่เวลาล่วงไปถึงหนึ่งทุ่มตรง หลินม่ายและคนอื่น ๆ ก็ออกไปที่ล็อบบี้ของเกสต์เฮาส์เพื่อดูโทรทัศน์

พวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ออกมาดูโทรทัศน์ในล็อบบี้ ผู้พักอาศัยเกือบทั้งหมดในเกสต์เฮ้าส์ก็ออกมาดูเช่นเดียวกัน

โทรทัศน์จอขาวดำเครื่องเล็ก ๆ เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่นั่งรอชมกันอยู่ด้านหน้า

หลังจากรายการข่าวจบ ก็ถึงเวลาที่ละครจะออกอากาศ

ในอดีตก่อนที่ละครโทรทัศน์จะออกอากาศ หน้าจอทีวีจะว่างเปล่า หรือไม่ก็ตัดภาพไปที่ที่เขี่ยบุหรี่ซึ่งวางอยู่เฉย ๆ

วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่มีโฆษณามาคั่นระหว่างรายการ

เสื้อผ้าแบรนด์Uniqueนั้นทันสมัยและสวยงามมาก จางอวี้ที่เป็นผู้สวมใส่ก็สวยหวานจนไม่อาจละสายตา

นอกจากนี้โฆษณายังใช้เทคนิคการถ่ายทำขั้นสูง จนดูเหมือนเป็นแฟชั่นระดับบล็อกบัสเตอร์

ต่อให้เป็นปี 2020 เทคนิคดังกล่าวก็เป็นอะไรที่สะดุดตามากเหมือนกัน

ในล็อบบี้ของเกสต์เฮาส์ ผู้ชมที่กำลังจะแยกย้ายกันไปดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำถึงกับหยุดชะงัก เมื่อเห็นโฆษณาที่สวยงามแบบนั้นบนจอทีวี พวกเขาก็ถูกดึงดูดทั้งหมด

คนที่อยากดื่มน้ำถึงกับหยุดดื่ม ส่วนคนที่ไปเข้าห้องน้ำก็รีบทำธุระแล้วออกมาอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่ดูโฆษณาUniqueกันอยู่นั้น ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้

“ชื่อUnique? แบรนด์ของต่างประเทศหรอกเหรอ? เสื้อผ้าสวยมากเลย!”

“ต่อให้สวยแค่ไหนก็เป็นสินค้าของต่างชาติอยู่ดี ถ้าผลิตภายในประเทศเราเองยังว่าไปอย่าง คว่ำบาตร คว่ำบาตร”

ยังไม่ทันที่บทสนทนาของทุกคนจะจบลง โฆษณาในจอก็จบลงแล้ว

แต่ในตอนท้ายของโฆษณา ประโยคหนึ่งกลับปรากฏขึ้นบนหน้าจอ

‘เสื้อผ้าUnique เสื้อผ้าฝีมือชาวจีน สินค้าดีที่เราภาคภูมิใจ’

หลินม่ายนิ่งงันไปครู่หนึ่ง

เธอไม่ได้ขอให้พวกเขาเพิ่มสโลแกนที่ว่าเข้าไปในโฆษณา หมายความว่าทางสถานีโทรทัศน์เพิ่มเข้าไปเอง

คงเพราะกลัวว่าผู้ชมจะต่อต้านโฆษณาตัวนี้ จึงเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าแบรนด์Uniqueเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศ

ทันใดนั้นผู้ชมก็ตกอยู่ในความโกลาหล

ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เสื้อผ้าพวกนี้ผลิตในประเทศเราจริงเหรอ? ต้องล้อกันเล่นแน่ ๆ คนในประเทศเราจะคิดค้นแบบเสื้อที่ทันสมัยขนาดนี้ได้ยังไง?”

“ต้องเป็นความจริงอยู่แล้ว คุณไม่เห็นเหรอว่าเจ้าของแบรนด์นี้เป็นชาวเจียงเฉิงเชียวนะ?” คนที่ช่วยอธิบายแสดงสีหน้าภาคภูมิใจ

ยังมีบางคนที่สับสน “ในเมื่อมันเป็นผลิตภัณฑ์ในประเทศ แล้วทำไมถึงใช้ภาษาต่างประเทศมาตั้งชื่อล่ะ? ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นสินค้าจากต่างประเทศซะอีก!”

หลินม่ายรู้สึกละอายใจเล็กน้อย การใช้ภาษาต่างประเทศมาตั้งชื่อแบรนด์สินค้าภายในประเทศดูไม่เหมาะสมจริง ๆ ด้วย บางทีในอนาคตเธออาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาจีนเสียแล้ว

หลินม่ายเห็นว่าผู้ชมไม่แสดงท่าทางต่อต้านโฆษณาUniqueเลย ตรงกันข้าม พวกเขาต่างก็ภาคภูมิใจในสินค้าของเธอมาก

สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจว่าโฆษณาของเธอจะไม่ถูกถอนออกในภายหลัง

ในปักกิ่งไม่มีธุระใดที่หลินม่ายต้องจัดการด้วยตัวเองอีก ต่อให้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากมายอะไร พนักงานขายทุกคนสามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ถ้าปัญหาอยู่เหนือความสามารถของพวกเขาจริง ๆ ก็แค่ต่อสายโทรหาเธอ แล้วเธอจะสั่งการจากระยะไกล

หลินม่ายตัดสินใจเดินทางกลับเจียงเฉิงภายในวันพรุ่งนี้ เพราะเธอต้องรีบกลับไปสอบไล่ประจำเดือน

ถ้าเธอสอบไม่ผ่านตั้งแต่เดือนแรกที่เข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย อาจารย์หวังต้องไม่พอใจเธอมากแน่ ๆ

วันรุ่งขึ้น หลังอาหารเช้า หลินม่ายก็เก็บของแล้วพาฟางจั๋วเยวี่ยไปซื้อตั๋วเครื่องบินด้วยกัน

สหายน้องชายทั้งสี่ของเฉินเฟิงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที ถามอย่างมีความหวังว่าพวกเขาสามารถขึ้นรถไฟกลับไปได้ไหม

พวกเขายังหวาดกลัวกับประสบการณ์ที่ได้เจอบนเที่ยวบินล่าสุด ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากขึ้นเครื่องบินอีก

แต่หลินม่ายที่อยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุดยืนกรานว่าจะเดินทางกลับโดยเครื่องบินตามเดิม

ชายอกสามศอกทั้งห้าไม่สามารถต้านทานหญิงสาวบอบบางเพียงคนเดียวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำใจยอมรับ

พอไปถึงสนามบิน เธอเห็นว่าเที่ยวบินไปเจียงเฉิงเที่ยวแรกเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง

ยังเหลือเวลาอีกเยอะกว่าจะถึงสิบโมงครึ่ง

หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะซื้อของขวัญจำนวนหนึ่ง แล้วพาฟางจั๋วเยวี่ยแวะไปเยี่ยมคุณปู่จ้าว สหายเก่าของคุณปู่ฟางตามที่อยู่ที่คุณปู่ฟางเขียนไว้ให้

ถึงแม้คุณปู่จ้าวจะเกษียณอายุราชการแล้วก็ตาม แต่เนื่องจากสวัสดิการบำนาญ ถึงเขาจะเกษียณแล้วก็จริง แต่ยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการตามเดิม

สมัยที่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังไม่เกษียณ พวกเขาก็อาศัยอยู่ในบ้านพักข้าราชการในบริเวณเดียวกัน

ตอนที่ฟางจั๋วเยวี่ยเรียนอยู่ชั้นประถม เขามักจะแวะมาเยี่ยมคุณปู่และคุณย่าเกือบทุกวันหยุดช่วงฤดูร้อน ดังนั้นจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับละแวกนี้ดี

ทันทีที่เขาเดินนำหลินม่ายเข้าไปในละแวกนั้น ก็บังเอิญเจอกับเพื่อนเล่นสมัยเด็ก ๆ หลายคน

ทุกคนต่างเข้ามาล้อมรอบเขาและหลินม่าย พลางพูดจาหยอกล้อ “นายนี่ไม่เบาเลยนะ ได้แฟนสวยขนาดนี้เชียว!”

ฟางจั๋วเยวี่ยสะดุ้งโหยง รีบอธิบาย “อย่าพูดจาไร้สาระน่า เธอไม่ใช่แฟนฉัน แต่เป็นพี่สะใภ้ของฉันต่างหาก”

เพื่อนเก่าของเขาต่างพากันประหลาดใจ “พี่ชายนายมีแฟนใหม่แล้วเหรอ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยกลัวว่าเพื่อน ๆ ของเขาอาจเผลอพูดถึงแฟนเก่าของฟางจั๋วหรานโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจะทำให้หลินม่ายรู้สึกอึดอัดเสียเปล่า จึงทำเป็นต่อยและเตะเพื่อน ๆ ให้หลีกทางไป

เพื่อน ๆ พากันวงแตกด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นก็เดินวกกลับมาอีกครั้ง เพื่อเชิญฟางจั๋วเยวี่ยไปรับประทานอาหารมื้อเย็นด้วยกัน ไม่ลืมบอกให้เขาพาพี่สะใภ้ไปด้วย

แต่ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธความหวังดีของพวกเขาอย่างมีเหตุผล

หลินม่ายเดินตามฟางจั๋วเยวี่ยมาถึงบ้านของคุณปู่จ้าว ซึ่งคุณปู่จ้าวและภรรยาของเขาอยู่ที่บ้านพอดี

เคยมีคำกล่าวที่ว่า กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นผู้สูงอายุที่มีจิตใจดี คุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวเองก็ใจดีมากเหมือนพวกเขา

ทันทีที่พวกเขาเห็นฟางจั๋วเยวี่ย สองสามีภรรยาทั้งสองต่างก็ตะโกนลั่นด้วยความตื่นเต้น โผเข้ากอดฟางจั๋วเยวี่ยไว้อย่างแนบแน่น ถามไถ่ว่าสุขภาพร่างกายของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเป็นอย่างไรบ้าง

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นคุณย่าจ้าวก็หันมาถามว่าหลินม่ายเป็นใคร

ฟางจั๋วเยวี่ยจึงแนะนำพวกเขาและหลินม่ายให้รู้จักกันไว้

คุณย่าจ้าวตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินว่าเธอเป็นแฟนของฟางจั๋วหราน

เธอเดินเข้ามาจับมือหลินม่าย แล้วถามว่าเมื่อไรเธอกับฟางจั๋วหรานจะจัดงานแต่งเสียที

หลินม่ายหน้าแดง ตอบกลับว่า “ต้องรอให้ฉันเรียนจบก่อนค่ะ”

เมื่อคุณย่าจ้าวรู้ว่าเธอเพิ่งเริ่มเรียนชั้นมัธยมปลายเท่านั้น ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจฟางจั๋วหรานมาก บอกว่าเขาต้องอดทนมากทีเดียว

สองสามีภรรยาชราเชื้อเชิญให้ฟางจั๋วเยวี่ยกับหลินม่ายอยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่หลินม่ายปฏิเสธ

เธอให้เหตุผลว่าพวกเขาซื้อตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว ต้องกลับไปให้ทันขึ้นเครื่องเวลาสิบโมงครึ่ง จึงอยู่รับประทานอาหารกับพวกเขาไม่ได้

คุณปู่จ้าวและภรรยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้

หลังออกมาจากบ้านพักข้าราชการ พวกเขาเดินผ่านร้านเป็ดปักกิ่งที่เปิดโดยพ่อค้ารายย่อย ทันใดนั้นหลินม่ายก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เธอกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเจอกันเป็นครั้งแรก พวกเขาเคยร่วมโต๊ะกินเกี๊ยวด้วยกัน แล้วพวกเขาก็พูดถึงเป็ดปักกิ่งขึ้นมา

เธอเคยให้สัญญาไว้ว่า ถ้าตัวเองร่ำรวยขึ้นเมื่อไหร่ เธอจะพาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไปที่เมืองหลวงเพื่อกินเป็ดปักกิ่ง

น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอร่ำรวยแล้วก็จริง แต่อีกนานกว่าเธอจะมีเวลาว่างพาสองสามีภรรยาชรามาที่เมืองหลวงเพื่อกินเป็ดปักกิ่ง

รอบนี้เธอเลยเหมาเป็ดย่างสองถึงสามตัวจากร้านเฉวียนจวี้เต๋อ แล้วขนกลับบ้านไปให้คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเพื่อสนองความต้องการไปพลาง ๆ ก่อน

นอกจากนี้ยังซื้อผลไม้เชื่อม ขนมลากลิ้งตัว(1) สุราหอมหมื่นลี้ ฟู่หลิงเจียปิง(2) ซูถัง(3) หลากหลายอย่าง ขาหมูตุ๋นจากเทียนฟู่… นำกลับไปเป็นของฝากจากกรุงปักกิ่ง รวมกันแล้วเป็นจำนวนไม่น้อยเลย

……………………………………………………………………………………………………………..

ขนมลากลิ้งตัว หรือ หลีว์ต๋ากุ่น (驴打滚) เป็นแป้งข้าวเหนียวไส้ถั่วแดงที่ม้วนจนมีลักษณะคล้ายแยมโรล โรยด้วยถั่วเหลืองคั่ว

ฟู่หลิงเจียปิง ขนมของฝากยอดนิยมของปักกิ่ง เป็นแผ่นแป้งบางกรอบสีขาวประกบไส้อยู่ตรงกลาง

ซูถัง ไม่ใช่ชื่อขนม แต่เป็นประเภท คือถั่วหรือธัญพืชที่เอาไปเคี่ยวกับน้ำตาล ขนมตุบตับ ถั่วตัด ก็จัดอยู่ในหมวดนี้

สารจากผู้แปล

งานสำเร็จไปอีกอย่าง เดินทางกลับเจียงเฉิงดีๆ นะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท