ความแตกต่างที่เป็นพื้นฐานที่สุดระหว่างออกกฎตามคำพูดกับคำพูดกำหนดเต๋า ก็คือกฎเวทที่คนแรกรวบรวมมาทั้งหมด คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจทำได้ แต่บนความเป็นจริงล้วนเป็นกฎที่มีมาบนโลกแต่เดิมที
และคนหลัง ก็สร้างเรื่องขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อที่เข้าร่วมให้ได้ และ…เมื่อได้เข้าร่วม ก็จะคงอยู่ตลอดไป
ทั้งสองฝ่ายเป็นเช่นผู้สืบทอดและผู้ก่อตั้ง ดูคล้ายกัน เพียงแต่เป็นคุณสมบัติที่แตกต่าง
เวลานี้คำกำหนดเต๋าที่ชายหนุ่มสีโลหิตใช้ออกมา มีพลังจนน่าตระหนก ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งศิลายิ่งนัก ทำให้โลกแห่งศิลาสั่นไหวอย่างรุนแรง เรื่องที่กุขึ้นนั้นเป็นกฎที่เกิดจากความว่างเปล่า จากภายนอกสู่ภายใน มาบรรจบภายในโลกแห่งการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อ
ภายในโลกแห่งการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ เวลานี้เสียงคำรามก้องกัมปนาท ตะปูไม้ดำที่อยู่เหนือใบหน้ามหาเทพที่จำแลงมาจากชายหนุ่มสีโลหิตไปสิบจั้ง เวลานี้ก็สั่นอย่างรุ่นแรงเช่นกัน ราวกับจะรับไว้ไม่ไหว ตรงขอบของมันเริ่มเกิดรอยแตก คล้ายกับถูกทำลาย จนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายออกไปรอบด้านแล้วก็สลายไป เพียงไม่กี่อึดใจก็ถูกทำลายไปกว่าเจ็ดแปดส่วน
ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านมันกลายเป็นความขมุกขมัว ด้วยเพราะถูกฉาบไปด้วยการทะลายของไม้ขนาดใหญ่
โดยเฉพาะเป็นไม้มหึมานี้ เวลานี้เมื่อมองไปแล้ว ยากเกินกว่าที่จะเรียกมันว่าเป็นไม้มหึมาเหมือนเป็นท่อนไม้มากกว่า กระทั่งมองจากไกลๆ ก็มิใช่ตะปูอีกต่อไป เหมือนเป็นไม้ฝอยเสียมากกว่า
และยังคงแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนในเวลาไม่นาน ไม้ดำนี้ถูกพังทะลายจนเป็นเถ้าธุลี
เหตุการณ์จากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมองไป ต่างก็มองออกว่าหวังเป่าเล่ออยู่ท่ามกลางวิกฤตและความอ่อนแออย่างรุนแรง กระทั่งชีวิตก็อยู่บนเส้นด้าย
อย่างไรก็ตาม ไม้ดำเป็นร่างของเขา เมื่อไม้ดำถูกทำลายอยู่ตรงนี้ เช่นนั้นร่างของหวังเป่าเล่อเอง ก็ยากนักที่จะดำเนินต่อไปได้
โดยเฉพาะการพลิกกลับทั้งหมดนี้เร็วเกินไป ในโลกห้าธาตุสี่เต๋าก่อนหน้านั้น หวังเป่าเล่ออยู่เหนือการครอบครองอย่างชัดเจน แต่เวลานี้…ภายในเต๋าธาตุไม้สารัตถะของเขา นึกไม่ถึงว่าจะถูกล้มล้างลงอย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่า ทั้งหมดนี้ไม่สมเหตุสมผล และเรื่องเกิดอย่างผิดปกติ ต้องเป็นเพราะปีศาจ
อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มสีโลหิตที่จำแลงมาจากใบหน้าของมหาเทพ ก็กล่าวออกมา
“หวังเป่าเล่อ ท้ายที่สุดเจ้า…ก็เป็นเพียงซากวิญญาณ ครานี้…เจ้าไม่อาจชนะได้ เจ้ารู้หรือไม่ ที่จริงข้ารอคอยมาตลอด รอการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ของเจ้า ”
“นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าไม่ได้ใช้คำกำหนดพลังเทพนี้ออกมา ในสี่เต๋าของเจ้าก่อนหน้านั้น”
“ข้าดูเจ้าสำแดงการเวียนว่าย ดูเจ้าโดดเด่น ดูเจ้า…พังพินาศ หวังเป่าเล่อ ข้า…ชนะแล้ว!” ชายหนุ่มสีโลหิตที่กลายจากใบหน้ามหาเทพ เวลานี้อ่อนแอยิ่ง แต่กลับไม่ปรากฏความบ้าคลั่งบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงความสงบนิ่ง
ดูเหมือนความบ้าคลั่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องเท็จ ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เขาสังเกตว่าระดับฝึกตนของหวังเป่่าเล่อเพิ่มขึ้น และตั้งแต่เริ่มเข้าสู่โลกแห่งศิลา สิ่งที่ทำหรือสิ่งที่เป็นทั้งหมด ภายใต้ความบ้าคลั่งนั้น ล้วนเป็นเช่นที่ผ่านมา ความเงียบสงบที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
รอคอยเต๋าธาตุไม้และเทพจุติของหวังเป่าเล่ออย่างสงบ
สำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาในเต๋าธาตุไม้นี้อย่างสงบ หมัดเดียวกำหนดแพ้ชนะ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในโลกเต๋าธาตุไม้ รวมทั้งเวลานี้คำพูดที่ราบเรียบชองชายหนุ่มสีโลหิต ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นนอกโลก
เวลานี้ ท้องฟ้าจักรวาลใหญ่ที่นอกโลกแห่งศิลา สายตาแต่ละคู่จ้องมาจากท้องฟ้าพกพาความผันผวนแห่งอารมณ์ ด้วยพลังกดดันของผุ้ที่มองมา ท้องฟ้ารอบด้านโลกแห่งศิลาดูเหมือนจะรับไว้ไม่ไหว และเริ่มบิดเบี้ยว
และความบิดเบี้ยวนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น และแผ่ขยายไปถึงศิลา ทำให้ดูเหมือนมีสัญญาณว่าศิลาจะพังได้ทุกเมื่อ ยิ่งภายใต้การบรรจบกันของสายตาเหล่านั้น แล้วยังถูกสียงชราของบิดาหวังอีอีที่คำรามเย็นยะเยือกทะลายท้องฟ้าก่อนหน้านั้น เวลานี้แฝงไปด้วยความมืดมนและแผ่ออกไปรอบด้าน
“ขยะ!”
น้ำเสียงนี้พกความเย็นชา ยังมีความเคืองแค้น กระทั่งแฝงไปด้วยความเกียจชัง
เวลาเดียวกับคำพูดนี้ส่งออกมา ภายนอกโลกแห่งศิลานี้ เงาสายหนึ่งมาพร้อมกับเสียงสะท้อนก้องรวมกันออกมา นั่นคือชายชราผู้หนึ่ง ร่างสวมชุดคลุมยาวสีม่วง ร่างกายมีสภาพกึ่งลวงตา คล้ายกับสามารถหลอมรวมกับท้องฟ้า แต่ก็ยังถูกท้องฟ้าสะท้อนส่งจางๆ
ในขณะนี้เขาสามารถเห็นได้ถึงความมืดมนที่แสดงออกมาบนใบหน้าที่ไม่ชัดเจนนัก และยิ่งหลังจากคำกล่าว ชายชรานี้ก็หันหน้ามองไปทางบิดาหวังอีอี ที่นั่งอยู่บนเรือเดียวดาย
“สหายเต๋าหวังเรื่องได้มาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราก็ได้ให้โอกาสแก่เขาแล้ว หรือเจ้ายังต้องการรั้งข้าไว้รอให้แผนการล้มเหลวหรือ”
บนเรือเดียวดาย บิดาของหวังอีอีเงยหน้าขึ้น ดวงตาเย็นชา ไร้อารมณ์แอบแฝง ราวกับจิตใจเงียบสงบ ในขณะนี้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเสียเปรียบ และสามารถพลาดพลั้งได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพราะ…เวลานี้มีเสียงที่หนาวเหน็บ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการสังหาร ในขณะนี้…ได้ค่อยๆ แพร่กระจายออกมาจากภายในโลกแห่งศิลาอย่างฉับพลัน
“เจ้าบอกสิ ผู้ใดเป็นขยะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกไป บิดาของหวังอีอีมิได้มีสีหน้าไม่คาดฝันใดๆ หันหน้าไปมอง กระทั่งชายชราผู้นั้นถึงกับผงะไป รีบมองไปทางโลกแห่งศิลา วินาทีต่อมานัยน์ตาเขาก็พลันหรี่ลง
เห็นเพียง…เหนือศิลาขนาดมหึมาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า วินาทีนี้…พลันก็ปรากฎใบหน้าหนึ่งออกมา ใบหน้านี้…ก็คือหวังเป่าเล่อ
แต่ท่ามกลางการรับรู้ของชายชรา แยกแยะได้ชัดเจนว่าขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ของโลกแห่งศิลา ในการคำนวณของมหาเทพ เผชิญหน้ากับวิกฤตที่จะถูกกวาดล้าง แต่ใบหน้ามหึมาที่อยู่ตรงหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าเงาร่างในการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ กระทั่ง…มีคุณสมบัติในการกระตุ้นตนเองอีกด้วย
“เจ้า…” สีหน้าชายชราเปลี่ยนไป
“ที่ต่อสู้อยู่ภายในการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ เป็นเพียงร่างอวตารของเขา” ภายในเรือเดียวดาย บิดาของหวังอีอีกล่าวอย่างแผ่วเบา
“เจ้าเข้าใจว่า เขาต่อสู้กับมหาเทพอย่างเต็มกำลัง แต่อันที่จริง…”
“อาวุธนักรบในสายตาของเจ้า คือสหายน้อยในสายตาของข้า เห็นได้ชัดว่าได้มีการคาดการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นเขากำลังตกปลา โดยใช้ร่างอวตารมหาเทพเป็นเหยื่อล่อ…ปลาตัวใหญ่ที่พยายามส่งผลต่อเสรีภาพของเขา”
“สหายเต๋าจิว ขอบเขตความรู้ของเจ้ายังไม่เพียงพอ”
ขณะที่บิดาหวังอีอีกล่าวออกมา สีหน้าชายชรายิ่งไม่น่าดู สายตายังคงยังมีความยากที่จะเชื่อ มองไปบนศิลาที่เวลานี้มีใบหน้าหวังเป่าเล่อลอยอยู่
“ข้าไม่เชื่อ มหาเทพแม้จะถูกคุกคาม ถึงตอนนี้ก็ยังคงหลับไหล แต่สัญชาตญาณของเขาดวงจิตเทพที่จำแลง ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนสามัญจะสามารถต่อต้านได้ แม้ว่าจะเป็นนักรบแหล่งไม้ หากเป็นเพียงซากวิญญาณ ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดจึงจะได้”
“ดังนั้น เจ้าไม่อาจมีพลังหลงเหลือมาจำแลงอยู่ข้างนอก ขณะที่กำลังคุกคามดวงจิตมหาเทพอยู่ เจ้า…”
“เจ้าหมายถึงเขาหรือ” ใบหน้าหวังเป่าเล่อบนศิลา ไม่รอให้ชายชรากล่าว เอ่ยขัดจังหวะชายชราออกมาเบาๆ ราวกับกำลังสะบัดมือ ครู่ต่อมา ภายในโลกแห่งศิลา การเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ก็ราวกับลูกปัดลูกหนึ่ง และภายนอกลูกปัดนี้คือความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้ความว่างเปล่าก็ม้วนหมุนโดยตรง ทันใดนั้น…ความว่างเปล่าทั้งหมดก็เคลื่อนไหวขึ้นมา ครอบคลุมไปทางโลกเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของชายชรา ทำให้จิตใจของเขาคำรามก้อง เพราะยืนอยู่ที่มุมมองของเขามองไปที่โลกแห่งศิลาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้…ความว่างเปล่าที่ม้วนหมุนอยู่นั้น ก็คือฝ่ามือขนาดมหึมาข้างหนึ่ง
การครอบคลุมที่ว่า ในความเป็นจริงก็คือฝ่ามือมหึมานี้ กำเดียว…ก็สามารถหอบทั้งโลกเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ไว้ในฝ่ามือแล้ว
เวลาเดียวกับที่ไม่อาจทนการต่อสู้ได้อีกต่อไป ฝ่ามือมหึมานี้ แผ่ออกไปนอกโลกแห่งศิลา และปรากฎอยู่…ต่อหน้าชายชรา !
มองไปไกลๆ กำปั้นที่ยื่นออกมาบนศิลา กว้างใหญ่จนน่าตระหนก ความผันผวนกระจายออกจากมันเผยความหมายแห่งบุพกาลที่ไม่สิ้นสุด ราวกับมาจากบรรพกาลอันไกลโพ้น ยิ่งมีพลังชีวิตที่หนาแน่นกำลังระเบิดอยู่ภายใน
“หัตถ์แห่งหลัวหรือ เจ้า…เจ้าหล่อหลอมโลกแห่งศิลาแล้วรึ!” สีหน้าชายขราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อุทานอย่างไม่รู้ตัว
……………………