เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตรอบตัว และพบว่าลูกค้าในร้านนี้ไม่มีคนในพื้นที่เลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนล้วนแต่เป็นคนต่างถิ่นด้วยกันทั้งสิ้น
ขณะที่พวกนางกำลังทานอาหารกันอยู่นั้น มีชายสามสี่คนเดินเข้ามาในภัตตาคารหลังพวกนาง พวกเขามีสีหน้าเหมือนอยากพังร้านนี้ให้ราบเป็นหน้ากลองต่อหน้าเสี่ยวเอ้อร์คนนั้น
แต่พ่อค้าอย่างพวกเขายึดมั่นในหลักการที่ว่าเมื่ออยู่ไกลบ้าน จงหลีกเลี่ยงปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ต่อให้พวกเขาจะโกรธจนควันออกหูและอยากสอนบทเรียนให้เขาเท่าใด แต่พวกเขาก็ยังต้องฝืนใจทานอาหารมื้อนี้ให้หมด ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงสูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ และหากเป็นเช่นนั้นมันคงจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งขึ้นไปอีก
“ขายอาหารทะเลอย่างนี้เหมือนกับปล้นกันชัดๆ!” ลูกค้าคนหนึ่งบ่นขึ้นเสียงเบา ”เป็นอย่างที่คนพวกนั้นเคยบอกข้าเอาไว้ไม่มีผิด ข้าไม่น่ามาที่เมืองหลวงประจำมณฑลนี่เลย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนสายตาไปมองเขา และยิ้มออกมา ”พี่ชายท่านนี้คงรู้เรื่องอะไรอยู่ใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นว่าพวกนางก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายเช่นเดียวกัน เขาก็ฝืนยิ้มออกมา แล้วเล่าว่า ”ข้าก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก แต่ก่อนจะมาที่นี่ข้าบังเอิญพบเพื่อนร่วมอาชีพสองสามคนที่คิดจะมาซื้ออาหารทะเลเหมือนกัน พวกเขาเตือนข้าว่าอย่ามาที่นี่ดีกว่า เพราะที่เมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้เต็มไปด้วยกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และกับดักมากมายที่พร้อมจะรีดไถผู้คน แต่ข้าคิดว่าที่นี่เป็นเมืองติดชายฝั่งที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงที่สุด พวกเขาจะหลอกลวงผู้คนได้เท่าไหร่กันเชียว ข้าคิดว่าเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาคงไม่ได้ร้ายแรงมากนักเพราะระหว่างที่นี่กับวังหลวงห่างกันเพียงภูเขาลูกเดียวเท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่าพวกข้าเพียงแค่ยืนมองสัตว์ทะเลในตู้ปลาอยู่หน้าร้านเท่านั้น แล้วจู่ๆ พวกข้าก็ถูกบังคับให้สั่งอาหารมาตั้งหลายจาน อีกทั้งอาหารพวกนั้นยังแพงหูฉี่อีกด้วย! ก็อย่างที่เจ้าเห็น เขาบอกให้ข้าจ่ายเงินตั้งสี่สิบตำลึงเพื่อกุ้งตัวเล็กๆ แค่นี้ พวกข้าพกเงินมาแค่ร้อยตำลึง แต่อาหารมื้อนี้กลับทำให้พวกข้าต้องสูญเงินไปเกือบครึ่ง! ช่างโง่เง่าสิ้นดี!”
“แล้วไม่มีคนจากเบื้องบนมาจัดการพวกเขาเลยหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามต่อ
ชายคนนั้นส่ายหน้า และตอบว่า ”จะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไรล่ะ ถ้าเจ้าพวกนี้กล้าใช้วิธีนี้ทำมาหากิน นั่นย่อมหมายความว่าพวกมันมีคนหนุนหลังอยู่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินข่าวเรื่องนี้มาบ้าง และคิดว่าตัวเองคงไม่ตกหลุมพรางนี้แน่ๆ ข้าเป็นคนรอบคอบกับทุกอย่าง เวลาจะซื้ออะไรก็จะต้องถามราคาของสิ่งนั้นล่วงหน้าทุกครั้ง แต่ใครจะรู้ล่ะว่าอาหารที่พวกเขาทำมาจะแตกต่างจากที่ข้าสั่งลิบลับ”
“เอาล่ะ ช่างมันเถอะ พวกเราสู้ราคาอาหารทะเลที่นี่ไม่ไหวแน่ คงได้เวลาไปจากที่นี่เสียที” ชายอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
ชายคนนั้นมองเฮ่อเหลียนเวยเวยและเอ่ยขึ้นว่า ”น้องชาย พวกข้าต้องไปก่อนแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ายังเด็กอยู่ ดังนั้นจึงขอแนะนำอะไรสักเล็กน้อยก็แล้วกัน อย่าอยู่ในเมืองหลวงประจำมณฑลแห่งนี้นานเกินไป และอย่าไปมีเรื่องขัดแย้งกับคนพวกนั้นเข้าล่ะ เมื่อคราวก่อนข้าเคยเห็นคนจากศาลาว่าการมาที่นี่ พวกเขาให้ความเคารพเจ้าของภัตตาคารแห่งนี้มากทีเดียว บางทีสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็อาจจะมาจากการที่คนพวกนั้นปิดท้องฟ้าด้วยมือเดียวอยู่ก็เป็นได้ รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะสายเกินไป…”
“เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเล่นกับถ้วยชาที่อยู่ในมือ ”พี่ชาย ถ้าท่านเชื่อใจข้าละก็ ไปเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยมสักแห่งในเมืองหลวงประจำมณฑลและอยู่ต่ออีกสักสองวันสิ ข้ารับประกันกับท่านได้เลยว่าภายในเวลาสองวันนี้ ท่านจะได้เริ่มต้นทำธุรกิจอาหารทะเลอย่างที่หวังแน่นอน”
ชายคนนั้นเผยสีหน้าสับสนออกมาทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้า…”
“นี่ตั๋วเงินจำนวนสี่สิบตำลึง” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ”ตั๋วเงินใบนี้ใบเดียวก็เพียงพอให้พี่ชายหาที่พักในเมืองหลวงประจำมณฑลได้สองวันแล้ว”
ดวงตาของชายคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีที่เขาเห็นตราประทับบนตั๋วเงินใบนั้น ”เจ้า… เจ้า… เจ้าคือคนของเวยเจ๋อ…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้าด้วยรอยยิ้มสุภาพ
ชายคนนั้นพลันรู้สึกว่าตั๋วเงินใบนี้หนักอึ้งขึ้นมาในทันใด แต่ในฐานะพ่อค้า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการหาเงิน
แม้ไม่บอก แต่แทบทุกคนในวงการธุรกิจต่างก็รู้ดีว่าร้านเวยเจ๋อเป็นร้านค้าที่ประสบความสำเร็จจนสามารถโค่นร้านขายอาวุธร้านอื่นได้ทุกร้าน หากจะพูดให้ชัดๆ ก็คงต้องบอกว่าพวกเขาล้วนแต่อยากเปิดร้านแบบเดียวกับร้านเวยเจ๋อกันทั้งนั้น ที่ใดมีคนจำนวนล้นหลาม ที่นั่นย่อมมีร้านเวยเจ๋อ อีกอย่างหนึ่ง ใครๆ ต่างก็หลงใหลคลั่งไคล้ในอาวุธของพวกเขายิ่งนัก ไม่มีใครจินตนาการออกว่าพวกเขาต้องทรงอำนาจเพียงใดถึงทำธุรกิจไปจนถึงระดับนั้นได้ ยิ่งกว่านั้นยังไม่เคยมีใครเคยเห็นคนที่ทำงานให้กับร้านแห่งนั้นมาก่อน
“เช่นนั้นเจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบอะไรในร้านเวยเจ๋อหรือ” ชายคนนั้นถามขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาอยากนั่งลงเพื่อพูดคุยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยต่อ ”พวกข้าสามารถขอพบเจ้านายของพวกเจ้าได้หรือเปล่า”
ชายอีกคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่เขาก็ยังพอที่จะควบคุมสติเอาไว้ได้ ”เขายังเด็กเกินไป จะไปเคยเจอเจ้าของร้านได้อย่างไรกัน”
“อ่า นั่นสินะ” ชายคนนั้นถอนหายใจยาวอย่างผิดหวัง
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบจมูกตัวเอง นางบอกพวกเขาไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเจ้าของร้านแห่งนั้นก็คือนางเอง
“ในเมื่อน้องชายจากร้านเวยเจ๋อให้คำมั่นสัญญากับพวกข้าเช่นนี้ งั้นพวกข้าก็จะอยู่ต่อ” ชายคนนั้นส่งตั๋วเงินคืนให้เฮ่อเหลียนเวยเวย และพูดต่อ ”แต่พวกข้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ คนทำการค้าอย่างพวกข้าย่อมรู้ว่าผิดเป็นครู วันนี้พวกข้าจะถือว่ามันเป็นบทเรียนก็แล้วกัน น้องชาย เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดีๆ ล่ะหากคิดจะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่”
“อืม” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพลางมองส่งทั้งสองคนเดินออกไปจากภัตตาคาร ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา ”คนพวกนี้รู้ดียิ่งนักว่าจะเล่นกับกฎหมายได้อย่างไร”
อันที่จริง หากเป็นเวลาอื่นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงไม่รู้สึกโมโหถึงเพียงนี้
แต่ครั้งนี้ทุกอย่างล้วนแต่มีสาเหตุมาจากการที่เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นบังอาจมาทำร้ายจิตใจของเจ้าเจ็ดเข้า
เจ้าเจ็ดเป็นเพียงแค่เด็กไร้เดียงสาที่รักการกินเท่านั้น ต่อให้เขาจะสืบทอดความร้ายกาจจากบรรดาเชื้อพระวงศ์มาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น
การได้เห็นว่าผู้ใหญ่พวกนี้นำกฎหมายมาใช้อย่างไรทำให้นางรู้สึกรังเกียจยิ่งนัก มิหนำซ้ำในเวลานี้พวกเขายังพยายามนำชื่อของคนในราชวงศ์มาเป็นข้ออ้างเพื่อหาเงินด้วยการบอกว่าพวกเขาโปรดปรานอาหารทะเลพวกนี้อีกด้วย
หึ พวกเขาคิดว่าจะไม่มีใครกล้าแตะพวกเขาจริงๆ หรือ
“เอาเรื่องนี้ไปแจ้งกับผู้ว่าการเฉิน แล้วบอกให้เขาเรียกขุนนางทั้งหมดในเมืองหลวงประจำมณฑลมารวมกัน ให้เขาบอกเพียงแค่ว่ามีขุนนางคนใหม่จะเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงประจำมณฑลก็พอ” ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขาวางตะเกียบลงด้วยท่าทางสง่างามอย่างยิ่ง สายตาของเขาเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่ดวงตากลมโตแต่กลับดูน่าเกรงขามของเด็กชายตัวน้อย จากนั้นจึงถามขึ้นมาว่า ”ข้าบอกเจ้าไปกี่ครั้งแล้วว่าเจ้าควรทำอย่างไรเวลาที่ถูกรังแก”
“อัดมันให้น่วมขอรับ!” องค์ชายเจ็ดตัวน้อยตอบอย่างขึงขังมาก
บรรดาองครักษ์เงาตัวสั่นด้วยความตกใจ เอาล่ะสิ ฝ่าบาทสอนเรื่องที่ไม่ถูกต้องให้เขาอีกแล้ว!
ฝ่าบาท โปรดหยุดเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ถ้าองค์ชายเจ็ดไปอัดคนอื่นเข้าเพราะท่านเป็นคนบอกจริงๆ ละก็ สุดท้ายคนที่จะถูกอดีตฮ่องเต้ลงโทษก็คือพวกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!
ความทุกข์ใจของเหล่าองครักษ์เงานั้นลึกล้ำจนยากจะกลั่นออกมาเป็นน้ำตาได้ พวกเขามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเมตตาพวกเขาบ้าง
แต่พวกเขายังคงประเมินวิธีการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่ำเกินไป
“นั่นใช้ได้แค่กับตอนที่เจ้าอยู่ในวังหลวงเท่านั้น” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาช้าๆ ”ในเมื่อตอนนี้เจ้าอยู่นอกวัง เจ้าจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าวิธีการไหนคือวิธีที่จะทำให้คนที่รังแกเจ้าทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด เจ้าจะใช้กำลังแก้ไขปัญหาไม่ได้”
“พี่สาม ท่านกำลังบอกว่าแค่เอาชนะด้วยการอัดพวกเขายังไม่พอ แต่ต้องทำลายจิตใจของพวกเขาด้วย ข้าเข้าใจถูกหรือไม่ขอรับ” เด็กชายตัวน้อยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
บรรดาองครักษ์เงา : …
เฮ่อเหลียนเวยเวย :
สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่เสือที่กินคนเป็นอาหาร แต่เป็นเสือที่รู้จักวางแผนกินคนต่างหาก
เขาพยายามจะฝึกให้เจ้าเจ็ดชั่วร้ายกว่าตัวเองหรือ
ช่างน่าสงสารเจ้าเจ็ดยิ่งนักที่มีคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้เป็นพี่สาม
นี่คือความคิดที่แล่นเข้ามาในใจของเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เด็กชายหัวโล้นกลับไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกันกับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า ”ข้าจะขยี้เขาเองขอรับ! เขากล้าดีอย่างไรถึงได้เอาชื่อของเสด็จปู่มาก่อเรื่องชั่วช้าถึงที่นี่ได้!?”