สืออีเหนียงไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้มากมายเท่าไรนัก
อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องก่อนที่ชีเหนียงจะแต่งงาน โดยส่วนใหญ่แล้วผู้คนเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ โอกาสที่จะมีบุตรนั้นน้อยเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าจะมีก็จะระมัดระวังเป็นอย่างดี หากว่าสวีลิ่งอี๋เป็นงูจงอาง จูอานผิงก็เท่ากับเป็นงูท้องถิ่น คำกล่าวที่ว่างูที่แกร่งกว่าจะไม่ข่มงูท้องถิ่น ก็ยังไม่แน่ว่าสวีลิ่งอี๋จะสามารถสืบเจอหรือไม่
สวีลิ่งอี๋กลับรู้สึกว่าวิธีของสืออีเหนียงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
จูอานผิงฉลาดหลักแหลมและมากความสามารถ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีกลยุทธ์เป็นอย่างมาก เขาจะไปให้กำเนิดทายาทก่อนที่จะแต่งงานและทำลายชื่อเสียงส่งผลกระทบกับเรื่องใหญ่เช่นงานแต่งได้อย่างไรกัน
แต่เมื่อเห็นสีหน้าท่าทีที่กระตือรือร้นของสืออีเหนียง เขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรที่ทำให้นางเสียน้ำใจ จึงทำได้เพียงถามนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ถ้าเกิดว่าเขาไม่มีทายาทเล่า”
สืออีเหนียงจึงตอบกลับไปว่า “หากว่าไม่มีทายาทจริงๆ ชีเหนียงก็จะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม”
สวีลิ่งอี๋จึงค่อยเข้าใจเจตนาของสืออีเหนียงขึ้นมา
หากว่าจูอานผิงมีบุตรนอกสมรส สกุลหลัวก็จะสามารถใช้เหตุผลนี้มาอ้างได้ ถึงแม้ว่าชีเหนียงไม่สามารถมีบุตร แต่ก็สามารถจับจุดอ่อนของจูอานผิง อีกทั้งยังส่งผลดีต่อชีเหนียงและสามารถเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจได้ ด้วยปัญหาเรื่องบุตรนอกสมรส ชีเหนียงจะสามารถถืออำนาจที่เหนือกว่า แต่หากว่าจูอานผิงไม่เคยมีทายาทมาก่อน เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการดีเข้าไปใหญ่ เพราะชีเหนียงก็จะสามารถผลักภาระเรื่องการมีทายาทให้กับจูอานผิงทั้งหมดได้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจบอกกับสืออีเหนียงว่า “ข้าได้แนะนำจูอานผิงให้กับซุ่นอ๋อง เขาเองก็ได้แนะนำพ่อค้าแซ่วังคนหนึ่งที่อยู่ในซงเจียงให้กับซุ่นอ๋อง ต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ ซุ่นอ๋องได้เหมาธุรกิจผ้าทอที่ได้ทำการค้ากับซงเจียงของพ่อค้าแซ่วังคนนั้นไว้ทั้งหมด…”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “แล้วสกุลเหวินเล่า”
“บางทีการที่เราให้กำลังใจเขาสุ่มสี่สุ่มห้าอาจทำให้เขาจมลึกกว่าเดิม” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สกุลเหวินเย่อหยิ่งและรุ่งเรืองมากจนเกินไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องถอยลงมา” พูดจบเขาก็ทอดถอนใจออกมาเบาๆ “เพียงแต่ว่าสกุลเหวินยินยอมที่จะถอยออกมาดีๆ หรือไม่ก็เท่านั้น!”
“สกุลเหวินเป็นตระกูลที่ทำเกี่ยวกับการค้าเป็นหลัก เรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก ใช่ว่าจะเข้าใจเสมอไป” สืออีเหนียงนึกถึงสวีลิ่งอี๋ที่ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างทางฝั่งฮ่องเต้และทางสกุลเหวินตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางจึงกุมมือของสวีลิ่งอี๋ใต้ผ้าห่ม “ข้าว่าท่านโหวลองคุยกับเขาให้กระจ่างจะดีกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวโทษหรือรู้สึกขอบคุณ ขอแค่ท่านโหวไม่รู้สึกผิดต่อตนเองก็เป็นพอ!”
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนมาเป็นคนกุมมือของสืออีเหนียงแทน จากนั้นก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “อืม” แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
สืออีเหนียงจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จากนั้นนางก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องของชีเหนียงต่อ “ฟังจากน้ำเสียงของท่านโหวแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้จูอานผิงอาศัยท่านโหวทำการค้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“ไม่ถึงกับว่าอาศัยข้าทำการค้า” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “เพียงแต่ว่าทั้งสองตระกูลต่างก็ฉีกหน้ากันย่อยยับ สกุลจูคงจะเสียหายไม่น้อยอย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นนางก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกขำขึ้นมา
ตนกับสวีลิ่งอี๋มีนิสัยใจคอที่ค่อนข้างเหมือนกัน
ทั้งสองต่างก็เชื่อว่าผลกำไรนั้นแข็งแกร่งและยืนยาวกว่าความสัมพันธ์ แต่การกระทำกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง…
สืออีเหนียงหันไปหนุนแขนของเขา ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางขยับตัวเข้าหาเขา เขาก็ยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อของนาง ลูบแผ่นหลังที่เนียนละเอียดของนางอย่างเบามือ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนเพลียว่า “เจ้าแค่ไปบอกกับชีเหนียงสักคำก็พอ เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูดลึกจนเกินไป พลอยแต่จะทำให้จูอานผิงรู้สึกว่าเราทำดีเพื่อหวังผล จะกลายเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” นิ้วมือของสืออีเหนียงกำลังม้วนเชือกของเสื้อสวีลิ่งอี๋เล่น นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าเองก็ไม่อยากจะให้ชีเหนียงเข้าใจผิด คิดว่าที่พี่เขยเจ็ดปิดบังไม่ยอมพูดออกมาเพราะเรื่องเหล่านี้” พูดจบ จู่ๆ นางก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างจูอานผิงและชีเหนียงราวกับกลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่กลางน้ำและดวงจันทร์ที่ปรากฏอยู่ในกระจก ล่องลอยและคลุมเครือ ว่างเปล่าและลวงตา ส่วนนางและสวีลิ่งอี๋กำลังพยายามทำทุกอย่างให้สงบอย่างระมัดระวังอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อก่อนชีเหนียงเคยแกร่งกล้า แต่เหตุใดจู่ๆ ตอนนี้นางถึงเหยาะแหยะเช่นนี้ได้!
“ข้าเคยเล่าให้ท่านโหวฟังหรือไม่ ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเคยล้มป่วยอาการสาหัส” สืออีเหนียงพูดขึ้นเสียงเบา “ตอนที่ข้าเจอกับชีเหนียงเป็นครั้งแรก ก็คือตอนที่ข้ากำลังรักษาอาการอยู่ที่ลานสวน ตอนนั้นพึ่งจะเข้าสู่หน้าร้อน อากาศค่อนข้างร้อนระอุ ในเรือนไม่ค่อยถ่ายเท จึงค่อนข้างอบอ้าวเป็นอย่างมาก ข้ากำลังนอนอยู่บนเสื่อ ห่มด้วยผ้าหยาบผืนบางสีม่วงน้ำเงิน แสงแดดที่สาดส่องมานั้นราวกับลูกศรทองก็ไม่ปาน แสงแดดเล็ดลอดผ่านต้นไม้ทอดสู่พื้นดิน มีลมพัดผ่านเบาๆ เงาของแสงแดดรำไรกระทบลงบนตัวของข้า มือของข้า…ข้ารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนเครื่องสำริดที่ไม่ได้ต้องแสงแดดเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดกลิ่นอับชื้นและรอยด่างบนตัวข้าก็ค่อยๆ จางหายไป
มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นผ่านกำแพงลานสวนว่า ‘ตรงกำแพงมีดอกว่านผักบุ้งอยู่ด้วยเจ้าค่ะ’ จากนั้นก็มีเสียงใสแจ๋วดังขึ้นว่า ‘เด็ดไปสักสองดอก เอาไปติดกับม่านเตียง’ หญิงสาวคนนั้นก็โน้มน้าวว่า ‘ตอนนี้ยังอยู่ช่วงไว้ทุกข์ นายหญิงใหญ่เป็นคนที่เคร่งเป็นอย่างมาก หากว่านางรู้เรื่องเข้า นายหญิงใหญ่จะดุเอาได้ระเจ้าคะ’ หญิงสาวที่มีเสียงไพเราะก็พูดตอบว่า ‘คนอื่นเขาเข้มงวดกับตัวเอง แล้วผ่อนปรนต่อผู้อื่น แต่ท่านป้าสะใภ้ใหญ่กลับผ่อนปรนต่อตนเอง แล้วไปเข้มงวดกับผู้อื่นแทน พอข้าหัวเราะเสียงดังหน่อย นางก็จ้องข้าไปครึ่งค่อนวัน อีกทั้งยังแอบทำโจ๊กหมูให้ซิวเกอทานคนเดียวด้วย อย่าทำเหมือนข้าไม่รู้อะไรเลย…หญิงสาวอีกคนก็รีบพูดขึ้นเสียงสั่นเทาว่า’ ‘คุณหนูอย่าพูดเช่นนี้นะเจ้าคะ หากนายหญิงใหญ่ได้ยินเข้า จะลงโทษคุณหนูให้คุกเข่าบนกระดานซักผ้าเอาได้ ตั้งแต่คุณหนูกลับอวี๋หังไป โดนลงโทษร่วมห้าครั้งแล้วนะเจ้าคะ’”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าร่างกายของนางอ่อนนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม น้ำเสียงก็ฟังดูอารมณ์ดีขึ้นมาก
สวีลิ่งอี๋จึงโน้มตัวลงไปหอมหน้าผากของนางเบาๆ “น้ำเสียงใสแจ๋วที่พูดถึง ก็คือชีเหนียงหรือ”
สืออีเหนียงตอบกลับไปว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่พึ่งจะเสียชีวิต ท่านพ่ออยู่ที่ฝูเจี้ยน กลับไปถึงเร็วสุด ส่วนท่านอาสองอยู่ในเมืองเยี่ยนจิง จึงกลับไปถึงช้าสุด ตอนที่นางกลับมา ข้าได้ย้ายไปพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนสวนแล้ว ก็เลยไม่ได้เจอกับนาง นางย้ายไปอยู่ในเมืองเยี่ยนจิงตั้งแต่ยังเด็ก นางได้รับความรักและถูกเอาใจจากบิดามารดาและพี่ชายของนาง พอกลับไปแล้วจึงไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไรนัก วันๆ ต้องอยู่แต่ในเรือน จึงอุดอู้เป็นอย่างมาก นางจึงมักจะฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนพักผ่อนช่วงกลางวัน ให้สาวใช้น้อยแอบพาไปเดินเล่นที่ลานสวน เมื่อเห็นข้านอนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ นางก็ตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็จ้องมองข้าด้วยความรู้สึกที่สงสารและเห็นอกเห็นใจ แล้วจึงหันไปสั่งให้สาวใช้น้อยเอายาเม็ดเสวี่ยจินมาหนึ่งขวด พูดจบจู่ๆ นางก็หัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า ‘ข้าเกลียดยาจำพวกยาเม็ดเสวี่ยจินเป็นที่สุด สีดำปี๋ อย่างกับยาที่ทำมาจากดินโคลนอย่างไรอย่างนั้น ไม่รู้ว่าคนที่ปั้นยาเม็ดล้างมือสะอาดแล้วหรือยัง…’”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะตาม
เวลานั้นคงเป็นช่วงเวลาที่สืออีเหนียงลำบากที่สุดในชีวิตกระมัง ถูกพี่สาวของตัวเองทุบตีจนล้มหมอนนอนเสื่อ ไปนอนรักษาตัวอยู่เรือนสวนที่ห่างไกลไร้ผู้คน มีเพียงสาวใช้สองคนคอยปรนนิบัติรับใช้ข้างกายเท่านั้น วันๆ คลุกคลีอยู่กับแต่ยา ชีวิตและความตายไม่แน่ไม่นอน อนาคตวันข้างหน้าเลือนรางไม่ชัดเจน…ถือเป็นเรื่องที่เมื่อเอ่ยถึงจะรู้สึกบีบหัวใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถูกเล่าออกจากปากของสืออีเหนียง กลับทำให้รู้สึกตลกขบขัน ฟังแล้วพลอยทำให้เบิกบานใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!
เขาโอบแขนของนางแน่นขึ้นกว่าเดิม “แล้วเจ้าได้ทานหรือไม่”
“ทานเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จนใจว่า “นางไม่ได้แค่พยายามจะป้อนยาให้ข้าเท่านั้น แต่ยังคอยจ้องว่าข้าได้อมยาไว้แล้วจริงๆ หรือไม่ บอกว่ายาเม็ดเสวี่ยจินไม่เหมือนยาทั่วไป เป็นยาที่ท่านอาสะใภ้สองขอให้คนของโรงยาหลวงช่วยทำขึ้นโดยเฉพาะ เพราะรู้ว่าพวกเขาจะกลับมาที่อวี๋หัง และที่อวี๋หังก็ไม่มียาเช่นยาเม็ดเสวี่ยจิน…” อาจเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสนุกในตอนนั้น รอยยิ้มของนางจึงชัดเจนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “วันนั้นข้าอมยาเม็ดเสวี่ยจินไว้ทั้งวัน นึกไม่ถึงว่าข้าจะรู้สึกเย็นลงไม่น้อย เมื่อเราเห็นว่าคนคนหนึ่งที่ชอบอะไรและไม่ชอบอะไร ล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวสอดแทรกในนั้นเสมอ…” พูดจนถึงตอนท้าย น้ำเสียงของนางกลับลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าตนจะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสวีลิ่งอี๋ชอบอะไรและไม่ชอบอะไร
อาหารการกิน ทางห้องครัวทำอะไรให้ทานเขาก็ทานหมด ไม่มีอะไรที่ต้องการเป็นพิเศษ เสื้อผ้าอาภรณ์ ร้านปักเย็บทำชุดอะไรมาให้ เขาก็ใส่ทุกชุด อีกอย่างชุดที่ใส่อยู่เรือนเป็นประจำ ก็มีเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น ที่อยู่อาศัย ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้ แต่หลังจากที่แต่งงานเข้าจวนมาแล้ว เขาก็มักจะให้นางตัดสินใจเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบ่อปลาทองที่วางไว้ตรงระเบียงของหน้าต่าง หรือจะเป็นดอกซ่อนกลิ่นที่ร้อยเป็นเส้นยาวห้อยระย้าอยู่บนเพดานของเตียงนอน เขาไม่เคยว่าอะไรแม้แต่คำเดียว ส่วนเรื่องเดินทาง ตนไม่เคยรู้เลยว่าเขาจะนั่งรถม้าออกเดินทางเมื่อไร จะนั่งเกี้ยวเมื่อไร หรือจะขี่ม้าเมื่อไร…
จู่ๆ ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะขดตัวในอ้อมกอดของเขา
นางกำลังนึกถึงเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่อย่างนั้นหรือ ก็เลยขยับเข้าหาเขาใกล้กว่าเดิม เหมือนเด็กน้อยที่ต้องการการปลอบใจก็ไม่ปาน
สวีลิ่งอี๋จึงปล่อยให้ร่างบางของนางโอบกอดเขาไปครึ่งค่อนตัว
“แล้วเจ้าชอบทานยาเม็ดเสวี่ยจินหรือไม่”
สืออีเหนียงหนุนศีรษะลงบนไหล่ของเขา รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“ไม่ชอบทานเจ้าค่ะ!” นางตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แต่ทว่าเวลาที่อากาศร้อนๆ หากได้ทานไปสักสองเม็ด ก็จะรู้สึกเย็นสดชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางจึงจดจำว่าพี่สาวคนนี้ดีกับนางอย่างนั้นหรือ
สวีลิ่งอี๋หันหน้ามาหานาง ริมฝีปากของนางห่างจากสวีลิ่งอี๋ไม่ถึงคืบ
“พี่น้องของเจ้าดีต่อกันเช่นนี้ มิน่าเล่า เจ้าถึงได้อยากจะยุ่งเรื่องครอบครัวของชีเหนียง!” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ศีรษะกลับค่อยๆ โน้มลงมา ริมฝีปากของเขาค่อยๆ เข้าใกล้นาง…ใกล้จนสืออีเหนียงสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รดบนใบหน้าของนาง
สีหน้าของสืออีเหนียงก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
หากตอบรับ ลึกๆ ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ครั้นจะปฏิเสธ…ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
แล้วตนจะทำอย่างไรดีเล่า
“ก็ไม่ถูกเสียหมดเจ้าค่ะ…ข้ารู้สึกว่าการที่สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด…” สืออีเหนียงรีบตอบกลับทันที ราวกับว่ามันสามารถหยุดการกระทำของสวีลิ่งอี๋ได้ชั่วคราวอย่างไรอย่างนั้น “บิดามารดาจะจากไปก่อนเรา ลูกหลานจะตามเรามาทีหลัง มีเพียงสามีภรรยาเท่านั้นที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ เดินไปด้วยกันจนถึงปลายทาง…”
สวีลิ่งอี๋หยุดริมฝีปากในจุดที่ห่างจากสืออีเหนียงเพียงไม่ถึงหนึ่งนิ้ว
เขายิ้มพร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่แดงก่ำของสืออีเหนียง
ตั้งแต่ผลักไสอย่างไม่ลังเลจนไปถึงการหาข้ออ้างหลบหลีก…ครั้งนี้ มีเพียงแค่อาการทำตัวไม่ถูกเท่านั้น!
ตนชอบที่สืออีเหนียงเป็นแบบนี้
นางไม่เคยฝืนความรู้สึกของตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว…เวลาที่ตอบรับก็จะตอบรับเลย และเวลาที่ไม่ต้องการนางก็จะปฏิเสธทันที…จึงทำให้เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนางอย่างชัดเจน
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว จู่ๆ เขาก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สักวันหนึ่ง นางจะเป็นฝ่ายเข้ามาจูบเขาก่อนหรือไม่ เหมือนนางเวลานี้ ที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ เขาก็ไม่อยากที่จะเข้าไปมากไปกว่านี้
เขาอยากรับรู้ถึงความรู้ของการถูกสืออีเหนียงคลอเคลีย…
“เจ้าจะใช้เหตุผลนี้เพื่อที่จะไปโน้มน้าวจูอานผิงหรือ” เขาจ้องมองสืออีเหนียงอย่างสงบด้วยความสงสัย สายตาอ่อนโยน สืออีเหนียงกลับร้อนรุ่มไปทั้งตัว ราวกับอากาศในเดือนเจ็ดของฤดูร้อนก็ไม่ปาน
“ข้าก็แค่อยากให้ชีเหนียงมีความมั่นใจมากกว่านี้ก็เท่านั้นเจ้าค่ะ!” ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาพ่นลงบนใบหน้าของสืออีเหนียง พลอยทำให้นางสั่นไหวเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าการมีบุตรจะเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นสำคัญยิ่งกว่า!”
“ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใช้ชีวิตก็ควรจะต้องหนักแน่น หากนางคิดได้แล้ว ก็คงจะไม่เอาแต่กลับไปที่สกุลเดิมเช่นนี้”
หางตาของเขาปรากฏรอยยิ้มจางๆ นัยน์ตาเป็นประกายราวกับดวงดาวก็ไม่ปาน
ในใจของสืออีเหนียงก็ยิ่งว้าวุ่นเข้าไปใหญ่
นางจึงทำได้แต่ผลักตัวสวีลิ่งอี๋ออกเพื่อที่จะกลบเกลื่อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง “ท่านโหวดูถูกคนจากสกุลเดิมของข้าหรือ!” แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นกลับฟังดูทะนงตนและเอาแต่ใจมากกว่าหยอกล้อเสียด้วยซ้ำ