สวีลิ่งอี๋ยิ้มกว้างกว่าเดิม
“เจ้ากล้าว่าข้าหรือ!”
แววตาของเขาลุกโชนขึ้นมาทันที
สืออีเหนียงเองก็เม้มปากยิ้มตาม
ในขณะที่สืออีเหนียงกำลังคิดว่าเขาจะทำอะไรต่อ จู่ๆ เขาก็พลิกตัวกลับไปนอนที่เดิม จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“รีบเข้านอนเถิด!” น้ำเสียงฟังดูค่อนข้างผิดหวัง
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะขำหรือจะร้องไห้ดี
การเข้าใจผิดแบบนี้ ต้องทำความเข้าใจใหม่ถึงจะถูก มิเช่นนั้น วันข้างหน้าหากสวีลิ่งอี๋และตนมีเรื่องกังวลใจก็จะไม่กล้าพูดออกมา วันเวลาที่ทั้งสองรักใคร่ประสานใจนั้นก็จะไม่ได้นานเท่าไร
เมื่อนึกถึงตรงนี้ สืออีเหนียงก็ขยับเข้าหาเขา
ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ได้ผลักไสนาง แต่กลับหลับตาไว้แน่น เพื่อบอกเป็นนัยว่าเขาจะนอนแล้ว
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกัดฟันแน่น
สวีลิ่งอี๋คนนี้ ไม่เคยประนีประนอมแม้แต่ครั้งเดียว…แต่ในใจนางกลับเข้าใจดี ว่าสิ่งที่นางชื่นชมในตัวเขามากที่สุดก็คือการหักห้ามใจและความยึดมั่นในหลักการ
ใบหน้าของนางก็แดงก่ำ อิงแนบอยู่บนไหล่ของเขา “ตอนที่ข้าท้องจิ่นเกอ…คือช่วงกลางเดือน!”
นางพึ่งจะพูดจบ จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ลืมตาขึ้นมา
แววตาที่ลุกโชนจับจ้องไปยังใบหน้าของนาง พลอยทำให้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวเข้าไปใหญ่
นางรู้ดีว่าตอนนี้ใบหน้าของนางแดงก่ำไปหมดแล้ว นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตะกุกตะกักข้างหูสวีลิ่งอี๋ว่า “แต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน…”
สวีลิ่งอี๋เงียบงันไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังพิจารณาไตร่ตรองว่าคำพูดที่นางพูดออกมานั้นจริงหรือเท็จ
จู่ๆ ก็รู้สึกราวกับว่าเวลาถูกยืดออกไป
สืออีเหนียงพี่โอบกอดคอของเขาฝ่ายเดียวก็เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ราวกับว่ากำลังวิงวอนร้องขอเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อความคิดแล่นผ่านในหัว จู่ๆ สวีลิ่งอี๋ก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “อืม!” จากนั้นก็ตบหลังนางเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เข้านอนเถิด!”
ถูกปฏิเสธหรือ…
ร่างกายของสืออีเหนียงแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นก็เห็นสวีลิ่งอี๋หลับตาลงอีกครั้ง
ถูกปฏิเสธจริงๆ หรือ!
สืออีเหนียงทั้งอายทั้งฉุน ราวกับว่าร่างกายของสวีลิ่งอี๋มีหนามงอกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น พลอยทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก และก็ไม่กล้าที่จะพลิกตัวหันกลับมานอนเลยทันที แต่หากว่าจะแสดงออกมาว่าไม่พอใจ ก็อิงไหล่ของเขาต่อไปไม่ได้ ขาดอ้อมกอดของแขนที่แข็งแกร่งของเขา ก็เหมือนกับขาดความสบายใจของการถูกปกป้องไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ค่อยๆ พลิกตัวลงจากเตียงอย่างเบามือเบาเท้า จากนั้นนางก็เดินไปที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างแล้วรินน้ำมาดื่ม ทอดสายตามองไปยังโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่ที่แกว่งไปมาใต้ชายคาของเรือนปีกทิศตะวันตกนอกหน้าต่าง จากนั้นจิบชาไปหนึ่งคำ อารมณ์จิตใจก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา
วันหลังจะไม่ทำเรื่องน่าอายแบบนี้อีกแล้ว…
เมื่อความคิดแล่นผ่านในหัว จู่ๆ ร่างกายก็ลอยตัวขึ้นมาจากพื้น
นางร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ข้างหูนาง
ชิวอวี่สาวใช้น้อยที่อยู่เวรดึกตื่นขึ้นมาด้วยความสะลึมสะลือ “ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
นัยน์ตาที่คุ้นเคย อ้อมกอดที่อบอุ่น…นอกจากสวีลิ่งอี๋แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
สืออีเหนียงหันไปจ้องเขาตาเขม็งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปนอนเถิด!”
ไม่รอให้เสียงฝีเท้าของชิวอวี่ได้ทันห่างออกไปจากม่านด้านนอก สวีลิ่งอี๋ก็อุ้มนางเดินอ้อมฉากบานพับตรงเข้าไปที่เรือนชั้นใน “เหตุใดถึงอารมณ์ฉุนเฉียวเช่นนี้ ข้าก็แค่นอนพักประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น…เจ้าก็รอไม่ไหวแล้วหรือ…” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ
คาดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะล้อตนเล่นเช่นนี้!
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กระอักกระอ่วนใจ “ท่านโหวพูดจาแปลกพิลึก ข้าก็แค่คอแห้งเท่านั้น ท่านโหวรอไม่ไหวก็เลยตามข้ามาเองต่างหากเจ้าค่ะ…” เพราะไม่ชินกับการหยอกล้อเช่นนี้ของเขา ในตอนท้ายนางจึงรู้สึกพูดไม่ค่อยออก
สวีลิ่งอี๋วางตัวนางลงไปบนที่นอนนุ่มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าก็แค่กลัวว่าเจ้าจะหนีกลับไปฟ้องเจิ้นซิ่ง”
สืออีเหนียงจิตใจสับสนวุ่นวายไปหมด
นางหันหน้าหนีไปทางอื่น “ท่านโหวทำอะไรผิด เหตุใดถึงได้กลัวว่าข้าจะกลับไปฟ้องสกุลเดิมเล่าเจ้าคะ”
นางเพิ่งจะพูดจบ ก็ถูกสวีลิ่งอี๋ขึ้นมาคร่อมร่างของนางเอาไว้
“เจ้าบอกว่าข้าดูถูกสกุลเดิมของเจ้ามิใช่หรือ” เขายิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “หากจู่ๆ เจ้าหนีกลับไปร่ำไห้ร้องทุกข์กับทางสกุลเดิมของเจ้า แล้วถ้าเกิดเจิ้นซิ่งมาคิดบัญชีกับข้า ข้าไม่เดือดร้อนแย่หรือ!”
“ที่แท้แล้ว ท่านโหวก็กลัวว่าข้าจะกลับไปร่ำไห้ร้องทุกข์กับทางสกุลเดิมของข้า!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงเบาข้างหูนาง “ดังนั้นข้าจึงต้องให้เจ้าอยู่ข้างกาย…จะได้ไม่ต้องหนีกลับไปร้องทุกข์กับคนสกุลเดิม…”
******
และแล้วระดูของสืออีเหนียงก็มาตามปกติ สวีลิ่งอี๋จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ได้จัดแจงเวลาใหม่ สืออีเหนียงเองก็รู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากนั้นสืออีเหนียงก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับสวีลิ่งอี๋มากขึ้นกว่าเดิม ขอแค่เขาอยู่ทานข้าวที่เรือน นางก็จะถามเขาก่อนเสมอว่าเขาอยากทานอะไร มีอยู่วันหนึ่งนางได้ให้จู๋เซียงและคนอื่นๆ ไปจัดระเบียบข้าวของของเขา จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าของสวีลิ่งอี๋เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมีอยู่ทุกที่ ไม่ใช่แค่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเท่านั้น แม้แต่ที่เรือนของไท่ฮูหยินก็มีตั้งหลายหีบ เขามักจะสวมชุดใหม่แล้วไปนอนค้างคืนที่เรือนของไท่ฮูหยิน วันรุ่งขึ้นก็เปลี่ยนชุดเก่ากลับมา แล้วยังนอนค้างที่นั่นติดต่อกันอยู่หลายคืน ชุดใหม่ก็ค่อยๆ ถูกลืมไป พอค้นออกมาอีกทีก็กลายเป็นเจอชุดใหม่โดยปริยาย สืออีเหนียงจึงจัดระเบียบเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาใหม่ เสื้อผ้าชุดไหนเก็บไว้ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น ชุดไหนเก็บไว้ที่เรือนของไท่ฮูหยินและชุดไหนเก็บไว้ที่เรือนหลัก ยังได้จัดเสื้อผ้าอีกจำนวนหนึ่งไปไว้ที่เรือนของเหวินอี๋เหนียงและเฉียวอี๋เหนียงอีกด้วย จากนั้นก็แต่งตั้งให้คนละเอียดรอบคอบเช่นอวี้เหมยมาเป็นคนดูแลโดยเฉพาะ ยุ่งวุ่นวายอย่างนี้หลายๆ วันติดต่อกันก็ค่อยๆ มาถึงต้นเดือนแปด ช่วงส่งมอบของขวัญเทศกาลวันไหว้พระจันทร์พอดี
ป้ารับใช้ที่เป็นคนนำเงินทำบุญค่าธูปเทียนไปถวายให้กับทางอารามต้าเจวี๋ยก็กลับมารายงานว่า “หยางอี๋เหนียงได้สมญานามใหม่ว่าจิ้งคง มีหน้าที่ดูแลดอกไม้ในลานสวนของท่านอาจารย์ผู้ดูแลหลัก พอได้ยินว่าบ่าวไปหาท่านอาจารย์ของจิ้งคง เหล่าบรรดาแม่ชีน้อยก็รีบนำทางข้าด้วยความกระตือรือร้น นางอยู่เรือนเดียวกันกับแม่ชีน้อยอีกคน เรือนหันหน้าไปทางทิศใต้ ที่หน้าประตูมีต้นเซียงชุนต้นใหญ่ปลูกไว้หนึ่งต้น นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงไปเจ้าค่ะ!”
ดูจากความสามารถและชั้นเชิงของนางแล้ว อยู่ที่ไหนก็สามารถใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดีกระมัง!
สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็สั่งให้ชิวอวี่นำเงินให้ป้ารับใช้คนนั้นไปจำนวนหนึ่ง แล้วจึงให้นางถอยกลับไป
หลังจากที่เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ผ่านไป ทางตรอกกงเสียนก็ได้ส่งข่าวมาว่าคุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ให้กำเนิดบุตรชายในวันที่สิบเอ็ดของเดือนเจ็ดที่ผ่านมา แม่ลูกปลอดภัยทั้งคู่
คนที่มาแจ้งข่าวคือภรรยาของหังลิ่วที่เป็นพี่ชายของคุณนายใหญ่สกุลหลัว
หลัวเจิ้นซิ่งต้องเดินทางเข้าเมืองเยี่ยนจิง คุณนายใหญ่สกุลหลัวจึงให้หังลิ่วและหังจิ่วติดตามเขามาด้วย เพื่อให้หลัวเจิ้นซิ่งได้เรียกใช้ หลัวเจิ้นเซิงสองสามีภรรยา อี๋เหนียงหกและอิงเหนียงก็เดินทางกลับไปยังอวี๋หัง ส่วนหังลิ่วก็รับหน้าที่อยู่ดูแลงานที่ตรอกกงเสียน
“พี่ใหญ่ให้ใครกลับไปส่งข่าวที่อวี๋หังหรือ” สืออีเหนียงเรียกตัวสะใภ้หังลิ่วมาถาม “ข้าจะได้ฝากข้าวของกับคนผู้นั้นถูก!”
สะใภ้หังลิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามกับเตียงเตา พอได้ยินแล้วนางก็รีบลุกขึ้นมาทันที “เรียนคุณหนูสิบเอ็ด คุณนายใหญ่ส่งจดหมายมาให้ช่วยตั้งชื่อให้คุณชายน้อยสอง นายท่านใหญ่บอกว่ารอให้ตั้งชื่อได้แล้วค่อยให้น้องชายสามีข้ากลับไปที่อวี๋หัง วันที่จะเดินทางกลับยังไม่ได้กำหนดชัดเจน หากคุณหนูสิบเอ็ดจะฝากข้าวของกลับไป ท่านก็เตรียมของไว้ ข้าจะมารับแทนเองเจ้าค่ะ”
เป็นหญิงที่ฉลาดพูดเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงจึงให้จู๋เซียงไปเตรียมของจำพวกกุญแจอายุยืนทองคำสำหรับเด็กแรกเกิดที่เตรียมไว้มาให้สะใภ้หังลิ่ว ก่อนหน้านี้นางได้คำนวณไว้ล่วงหน้าตั้งแต่แรก จึงได้เตรียมของไว้แล้ว
นางอยากจะถามไถ่เกี่ยวกับเด็กเสียหน่อย แต่น่าเสียดายที่สะใภ้หังลิ่วเองก็ฟังคนอื่นเล่ามาอีกที นางอยากจะถามว่าช่วงนี้หลัวเจิ้นซิ่งเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังมีอนุภรรยาคอยดูแล ถามไปก็พลอยแต่จะรู้สึกว่าเกินความจำเป็น
ขณะที่กำลังจะให้สะใภ้หังลิ่วกลับไปนั้น คุณนายสามสกุลหวงก็มาหาพอดี
สืออีเหนียงรีบออกไปต้อนรับนางทันที จากนั้นก็เชิญนางเข้ามาทานต้มถั่วเขียวแช่เย็นด้วยกัน
คุณนายสามสกุลหวงยิ้มเจื่อนพร้อมกับยกถ้วยกระเบื้องลายครามขึ้นมา “เรือส่งตัวเจ้าสาวของสกุลฟังเริ่มออกเดินทางแล้ว เป็นขบวนสินเดิมที่ทอดยาวนับสิบลี้อย่างแท้จริง ครั้งนี้ถือว่าพี่สะใภ้สามของเจ้าประหยัดเงินก้อนใหญ่แล้ว แต่ทว่าพอได้เงยหน้ามองสินเดิมที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาของลูกสะใภ้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้สามของเจ้าจะทำใจให้สงบได้อย่างไร”
สกุลฟังใจกว้างมากกว่าที่ฮูหยินสามคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก คนของทางฝั่งเจ้าสาวได้วัดขนาดเครื่องเรือนของเรือนที่ตรอกซานจิ่งทั้งหมดเอาไว้แล้ว แต่พอได้ยินว่าเรือนหอจะถูกสร้างที่จวนหย่งผิงโหว ก็รีบส่งคนมาวัดขนานที่ทางเพื่อที่จะสั่งทำเครื่องเรือนใหม่
สืออีเหนียงไม่สะดวกจะพูดถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว นางจึงถามแค่ว่า “พี่หญิงมาปรึกษาหารือเรื่องเรือรับเจ้าสาวหรือเจ้าคะ”
คุณนายสามสกุลหวงรู้ว่าสืออีเหนียงไม่สะดวกใจจะพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ว่านางแค่อยากจะบ่นก็เท่านั้น ถึงแม้ว่างานแต่งครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่หากวันไหนถูกผู้คนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด จะคิดว่าแม่สื่ออย่างพวกนางเป็นคนเรียกร้องสินเดิมเอาได้ ถึงเวลานั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดังนั้นนางจึงแค่อยากจะระบายกับสืออีเหนียงก็เท่านั้นเอง
“ทางฝั่งสกุลฟังอยากจะให้รับตัวเจ้าสาวเข้าจวนเลย” คุณนายสามสกุลหวงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก นางยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “ข้าว่าเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย สินเดิมฝ่ายหญิงมากมายขนาดนั้น หากจะให้หยุดพักที่เรือนสวนของรองเจ้ากรมหลิวเหมือนที่คุยไว้ก่อนหน้านี้ วันถัดมาค่อยไปส่งตัวเจ้าสาว ไปกลับเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะต้องให้ซองแดงกับคนหาบยกสินเดิมของเจ้าสาวถึงสองครั้ง ไหนจะข้าวของที่อาจจะลืมทิ้งไว้หรือถูกคนอื่นหยิบติดไม้ติดมือไปได้ง่ายๆ”
“พี่หญิงมากประสบการณ์” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เชื่อพี่หญิงไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน”
คุณนายสามสกุลหวงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่แม่สามี มิเช่นนั้น แม่สื่ออย่างข้าก็คงจะสบายขึ้นไม่น้อย”
สืออีเหนียงพูดคุยหัวเราะเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง
คุณนายสามสกุลหวงก็ได้พูดถึงสวีซื่ออวี้ขึ้นมา “หลังจากที่ออกทุกข์แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องหาคู่หมั้นแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบกลับ “เพียงแต่ว่าอวี้เกอไม่มีผลงานและตำแหน่งชื่อเสียง จะหาคู่หมั้นหมายนั้นก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย”
คุณนายสามสกุลหวงพยักหน้าเบาๆ “ถือว่ายากพอสมควร อีกอย่างบุตรชายคนโตก็ดันอายุห่างจากเขาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ครอบครัวที่ฐานะไม่ค่อยดี พวกเจ้าก็คงจะไม่ถูกใจ แต่หากเป็นครอบครัวที่พอมีฐานะ ก็จะรู้สึกว่าสภาพการณ์ของอวี้เกอนั้นค่อนข้างตัดสินใจยาก หากมีผลงานหรือชื่อเสียงเรียงนามสักหน่อย ก็คงจะเจรจาง่ายกว่านี้”
ทั้งสองได้พูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ คุณนายสามสกุลหวงก็ได้ไปยังเรือนของฮูหยินสาม
ฮูหยินสามไม่เห็นด้วย
การส่งเจ้าสาวไม่ควรใช้ถนนสายหลัก ควรจะพักที่เรือนสวนของรองเจ้ากรมหลิวก่อน ถึงเวลาค่อยเดินรอบเมืองเยี่ยนจิงอีกสักรอบ ทุกคนต่างก็รู้ว่าสินเดิมลูกสะใภ้คนโตของนางนั้นถือว่าค่อนข้างมาก ตอนหาคู่หมั้นให้กับบุตรชายคนรอง จะได้มีข้อต่อรองบ้าง
คุณนายสามสกุลหวงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “ต่อไปภายภาคหน้าพวกเจ้าก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ควรจะเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันถึงจะถูก บุตรสาวของสกุลฟังคนนี้ เดิมทีตั้งใจจะเตรียมเงินราวหนึ่งหมื่นตำลึงเพื่อใช้เป็นสินเดิม ตอนนี้เกรงว่าคงจะต้องใช้สักสองหมื่นตำลึงแล้วกระมัง…”
ไม่รอให้นางพูดจบ ฮูหยินสามก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เดินมาถึงก้าวที่เก้าสิบเก้าแล้ว ขาดไปสักก้าวก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
คุณนายสามสกุลหวงโกรธเป็นอย่างมาก ตอนที่นางไปขอตัวลากลับกับไท่ฮูหยินก็ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้
หลังจากที่ส่งคุณนายสามสกุลหวงกลับไปแล้ว ไท่ฮูหยินก็ได้เรียกฮูหยินสามมาคุย “อีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงงานแต่งของฉินเกอ เจ้าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว”
ที่ผ่านมาไท่ฮูหยินไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ฮูหยินสามเองก็กำลังแปลกใจอยู่ไม่น้อย ตอนนี้เมื่อเห็นไท่ฮูหยินเอ่ยปากถาม นางก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ผนังกำแพงของเรือนที่ตรอกซานจิ่งได้ต่อเติมและทาสีขึ้นเงาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ม่านเตียงและผ้าม่านของทั้งสี่ฤดูก็เตรียมไว้แล้ว นึกไม่ถึงว่าข้าไม่อยู่เรือนมาหลายปี ค่าแรงและค่าอาหารต่างก็ขึ้นราคาจนหมด เงินตั้งสองพันตำลึง แต่ไม่ได้อะไรที่เป็นรูปเป็นร่างเลย ข้าควักเงินส่วนตัวสมทบเข้าไปแล้วก็ยังไม่พอ ตอนนี้ข้าเองก็กำลังรอคุณชายสามส่งเงินมาต่อเติมเรือนหออยู่เจ้าค่ะ”