เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งตัวตรง ”ในเมื่อเขาเพียงแค่อวดอ้างไปอย่างนั้น มันย่อมหมายความว่าพวกเขาพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา จากความเห็นของข้า การปล่อยให้ภัตตาคารไห่ปินเปิดกิจการต่อไปที่นี่ย่อมไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ไม่เช่นนั้นพ่อค้าจากต่างเมืองอาจจะคิดว่าภัตตาคารแห่งนี้อยู่ในความคุ้มครองของแม่ทัพเลี่ยวจริงๆ ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นคงยากที่เราจะอธิบายให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนได้”
“ใต้เท้าเว่ยกำลังบอกว่าพวกเราควรสั่งปิดภัตตาคารไห่ปินอย่างนั้นหรือ” เลี่ยวฉิงเทียนฝืนยิ้มต่อไปไม่ไหว เขานึกไม่ถึงเลยว่าทุกอย่างที่เจ้าคนแซ่เว่ยพูดมามากมายก่อนหน้านี้จะเป็นตัวนำมาสู่ประโยคนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วบอกว่า ”ตามที่แม่ทัพเลี่ยวกล่าวไว้เมื่อครู่ เสี่ยวเอ้อร์ของภัตตาคารแห่งนี้อ้างอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หากพวกเราปล่อยให้ภัตตาคารที่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมและอยู่เหนือกฎหมายเช่นนี้เปิดกิจการต่อไปละก็ มันย่อมเป็นการขัดขวางความเจริญของเมืองหลวงประจำมณฑลอย่างแน่นอน”
“ข้าคิดว่าใต้เท้าเว่ยคงไม่รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้ภัตตาคารไห่ปินเปิดทำการอยู่ในทุกวันนี้” เลี่ยวฉิงเทียนเหยียดยิ้ม ก่อนเอ่ยต่อ ”อาหารทะเลที่ส่งไปยังวังหลวงนั้นล้วนแต่มาจากภัตตาคารไห่ปินทั้งสิ้น อดีตฮ่องเต้โปรดปรานพวกมันอย่างมาก หากภัตตาคารไห่ปินปิดตัวลง ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบกับคำตำหนิของอดีตฮ่องเต้หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยน้ำชาในมือลง ”ถ้าอดีตฮ่องเต้ทราบว่าภัตตาคารนี้หลอกลวงผู้คนอย่างไร เขาย่อมไม่มีวันอนุญาตให้มันเปิดทำการต่ออย่างแน่นอน จริงหรือเปล่าล่ะ”
“ใต้เท้าเว่ย คนเราทำอะไรต้องมีหลักฐาน” เลี่ยวฉิงเทียนเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ”ท่านเอาแต่บอกว่าพวกเขาหลอกลวงผู้คน แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะพูดเช่นนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเลี่ยวฉิงเทียน แล้วหัวเราะออกมา ”แม่ทัพเลี่ยว ดูจากที่ท่านแสดงออกมา ข้าก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เสียแล้วสิว่าท่านจะมีความเกี่ยวข้องกับภัตตาคารไห่ปิน อีกทั้งยังคุ้นเคยกับภัตตาคารแห่งนี้มากเสียด้วย”
ใบหน้าของเลี่ยวฉิงเทียนหมองคล้ำทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ เป็นอีกครั้งที่เขารู้ว่าตัวเองพลาดท่าตกหลุมพรางของอีกฝ่ายเสียแล้ว ดวงตาของเขาดำทะมึนด้วยอารมณ์รุนแรงที่ก่อตัวขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ จากนั้นเขาก็ยกจอกเหล้าในมือขึ้นแล้วกล่าวว่า ”ใต้เท้าเว่ยช่างมีวาทศิลป์ยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่พี่ชายของข้าจะพ่ายแพ้ให้กับท่าน”
“แม่ทัพเลี่ยวล้อข้าเล่นอยู่แน่” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เกรงกลัวบรรยากาศชั่วร้ายอันน่าสะพรึงกลัวของเขา นางถือจอกเหล้าไว้ในมือข้างซ้ายพลางลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า ”เลี่ยวจือฝู่พ่ายแพ้ให้กับความโลภมากอยากได้เงินของตัวเองต่างหาก ราชสำนักไม่ได้จ่ายเงินเลี้ยงดูขุนนางเพื่อปล่อยให้พวกเขาทำตัวอวดดีและละโมบโลภมาก ความล้มเหลวของเขานั้นเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
เลี่ยวฉิงเทียนประสานสายตากับเฮ่อเหลียนเวยเวย ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงระเบิดหัวเราะออกมา ”ดี ดียิ่งนัก!”
ในเมื่อเจ้าคนแซ่เว่ยนี่ไม่รู้จักซาบซึ้งในความเมตตาของเขา และอยากให้เขาใช้ไม้แข็ง เช่นนั้นเขาก็จะให้ได้ลิ้มรสชาติจากการต่อต้านเขาแทนก็แล้วกัน!
ทั้งสองประกาศสงครามกันอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ภายนอกดูจะไม่มีสัญญาณใดๆ เกิดขึ้น แต่ภายในกลับมีคลื่นน้ำซัดสาดเข้าหากัน
มื้ออาหารสิ้นสุดลงด้วยบรรยากาศแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
บรรดาขุนนางที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะมาผูกมิตรกับเฮ่อเหลียนเวยเวยล้วนแต่หมดอารมณ์ที่จะทำเช่นนั้นเมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่เสียมารยาทต่อแม่ทัพเลี่ยวนั้นย่อมไม่ได้มีจุดจบที่ดีในเมืองหลวงประจำมณฑล
ยิ่งกว่านั้น รู้หรือเปล่าว่าภัตตาคารไห่ปินคืออะไร มันเป็นร้านที่ถูกสร้างขึ้นตามคำสั่งของผู้อาวุโสในเมืองหลวงเชียวนะ ทุกอย่างได้รับการวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว
แต่ตอนนี้ใต้เท้าเว่ยกลับแนะนำให้พวกเขาปิดมันลง!
แล้วเรื่องนี้จะต่างกับการรนหาที่ตายตรงไหน
“กระหม่อมนึกไม่ถึงเลยพ่ะย่ะค่ะว่าพระชายาจะท้าทายเลี่ยวฉิงเทียนตรงๆ เร็วถึงเพียงนี้” ผู้ว่าการเฉินเปลี่ยนวิธีการพูดกับเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่เหลือพวกเขาอยู่กันเพียงสามคน
เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งในศาลาว่าการ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า ”พวกข้าจะพักอยู่ที่นี่ไม่เกินสองวัน ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลาเล่นกับเขามากนัก เขากล้าดีอย่างไรถึงเอาเงินข้าไป ข้าจะทำให้เขาอาเจียนเอาเงินที่เขาโกงไปออกมาให้หมด”
“แต่ภัตตาคารไห่ปินแห่งนี้…” ผู้ว่าการเฉินเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย พร้อมกับบอกว่า ”กระหม่อมเกรงว่าเราคงปิดมันไม่ได้ง่ายๆ เพราะมีเรื่องอิทธิพลของคนในเมืองหลวงมาเกี่ยวข้องพ่ะย่ะค่ะ หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการทั้งที่สร้างความวุ่นวายขึ้นมาเสียใหญ่โตเช่นนี้แล้ว มันจะยิ่งเสียแรงเปล่านะพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาถือม้วนกระดาษม้วนหนึ่งเอาไว้ในมือ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จากใบหน้าด้านข้างนั้น
ผู้ว่าการเฉินรู้อยู่แล้วว่าองค์ชายเป็นคนยากจะคาดเดา แต่ในเวลานี้ เขาอยากรู้ยิ่งนักว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ อย่างน้อยเขาจะได้รู้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้เป็นเช่นไร และจะได้มีความมั่นใจที่จะรับมือกับพวกมันมากกว่านี้
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ น้ำเสียงอันเยือกเย็นนั้นดังมาจากด้านหลังของม้วนกระดาษม้วนนั้น ”ผู้ว่าการเฉิน ท่านว่าพวกเราควรทำอย่างไรถึงจะสามารถตัดสินโทษหนักให้กับแม่ทัพที่คว้าชัยชนะในสงครามมาได้ แต่กลับทำร้ายคนในละแวกที่อยู่ตัวเองได้หรือ”
“เรื่องนี้…” คำพูดนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปากของผู้ว่าการเฉิน แต่เขาก็ทำเพียงหลุบตาลง แล้วเอ่ยว่า ”กระหม่อมเป็นคนเขลาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดไม่ออก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วยาวของตนเคาะลงบนกระดาษแผ่นนั้น แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางๆ ว่า ”เราต้องใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของตัวเขาเล่นงานเขาคืน”
ผู้ว่าการเฉินไม่เข้าใจคำพูดของเขา เพราะเขาไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดของเหตุการณ์นั้น แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจ นั่นก็คือหากดูจากนิสัยใจร้อนของเลี่ยวฉิงเทียนแล้วละก็ เขาย่อมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ และจะต้องส่งหนังสือไปให้ผู้ที่อยู่เหนือตัวเองอย่างแน่นอน
อย่างไรภัตตาคารไห่ปินก็ไม่ใช่ภัตตาคารธรรมดาทั่วไป
เขานึกไม่ออกเลยว่าคนเบื้องบนพวกนั้นจะก่อเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้นอีก…
ยกโทษให้ความชราภาพของเขาด้วย สมองของเขาจึงไม่สามารถทำงานได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นเวลาที่อยู่กับองค์ชายสาม
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผู้ว่าการเฉินเดาถูก
เลี่ยวฉิงเทียนเขียนหนังสือถึงคนคนหนึ่งจริงๆ ทั้งยังกำชับอีกด้วยว่าหนังสือฉบับนี้จะต้องถูกส่งไปให้ถึงจวนผู้อาวุโสที่อยู่ในเมืองหลวง เขาเขียนทุกคำในนั้นลงไปด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ขุนนางจำนวนสี่ห้าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลเลี่ยวยืนเอ่ยคำพูดประจบเอาใจอยู่ข้างๆ เขา ”แม่ทัพเลี่ยว ท่านฉลาดมากขอรับที่ส่งหนังสือไปถึงผู้อาวุโส กลัวว่าครั้งนี้เจ้าคนแซ่เว่ยคงได้ตบหน้าตัวเองเข้าแล้วกระมัง เขาช่างโง่เขลาเสียไม่มีที่นำอำนาจของตัวเองมาใช้ทั้งที่ไม่รู้จักตรวจสอบประวัติของภัตตาคารไห่ปินของพวกเราให้ดีเสียก่อน!”
“มันก็แค่คางคกขึ้นวอ” แม่ทัพเลี่ยวเป่าคราบน้ำหมึกที่ติดอยู่บนพู่กัน ”เขาคิดว่าตัวเองมีอำนาจเพราะมีผู้ว่าการสามมณฑลคอยหนุนหลังอยู่ แต่เขากล้าดีอย่างไรถึงได้มาทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าข้าเช่นนั้น ข้าจะรอดูว่าเขาจะหวาดกลัวถึงเพียงใดตอนที่บรรดาผู้อาวุโสมาถึงที่นี่”
หลายคนในนั้นพยักหน้าเห็นด้วย ”คนนิสัยเช่นนั้นรังแต่จะถ่วงความเจริญของพวกเราเท่านั้น แต่ท่านแม่ทัพขอรับ พวกเราควรเตือนภัตตาคารไห่ปินเอาไว้ และช่วยกันคิดคำสารภาพเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตดีหรือไม่ขอรับ”
“นั่นคือสิ่งที่เราควรทำ เจ้าคนแซ่เว่ยคนนี้เป็นคนฉลาด พวกเราควรระวังเขาเอาไว้ให้ดี หากเราสามารถทำให้มันตกที่นั่งลำบากจนเสียฐานะขุนนางไปได้ก็จะยิ่งดี หากเป็นเช่นนั้น พวกเราจะได้บอกให้เจ้าคนแซ่เฉินนั่นปล่อยพวกหลานชายของข้าออกมาด้วย” แม่ทัพเลี่ยวหมุนลูกประคำในมือ แต่มันก็ไม่สามารถข่มความชั่วร้ายที่ออกมาจากตัวของเขาได้
ขุนนางคนอื่นๆ สบตากัน แล้วเอ่ยว่า ”ที่นี่คือเมืองหลวงประจำมณฑล เจ้าคนแซ่เว่ยเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น ต่อให้เขาจะพักอยู่ที่ศาลาว่าการ แต่ทหารทุกคนในศาลาว่าการก็ล้วนแต่เป็นคนของพวกเรา เพียงท่านอยากรู้ ก็จะมีคนมารายงานให้รู้ทันทีขอรับ ซึ่งเรื่องนี้ต้องนับว่าเป็นข้อเสียเปรียบของเขา แต่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าเลี่ยวจือฝู่จะประมาทเขาเกินไป พวกเราได้ยินสิ่งที่เขาทำตอนที่อยู่ในเมืองฟู่ผิงแล้ว ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถจับกุมเลี่ยวจือฝู่ได้นั้นเป็นเพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าการเฉิน และอีกสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะเขามีที่ปรึกษาฝีมือดีอยู่ข้างตัว ตราบใดที่เราสามารถหาทางสร้างปัญหาให้กับที่ปรึกษาคนนั้นได้ ก็เท่ากับว่าเราสามารถสร้างความปวดหัวให้กับเขาได้เช่นกันขอรับ!”
“ที่ปรึกษาส่วนตัวหรือ” ภาพของชายร่างสูงสง่าที่มองแม่ทัพเลี่ยวด้วยสายตาดูถูกปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาเหยียดยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้นว่า ”เอาอย่างนั้นก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ทำตัวยโสโอหัง แต่แม้กระทั่งที่ปรึกษาส่วนตัวก็ยังไม่รู้จักทำตัวให้ถูกกาลเทศะ ก็สมควรแล้วที่จะโดนเช่นนี้…”