กลางคืนหลังจากที่สวีลิ่งอี๋กลับมาถึงเรือน สืออีเหนียงกำลังเล่นหาของเล่นกับจิ่นเกออยู่
“กลองป๋องแป๋งของจิ่นเกอไปไหนแล้วเอ่ย” สืออีเหนียงหยอกล้อเขา “รีบไปหามาให้แม่เร็วเข้า”
จิ่นเกอก็รีบนั่งลงกับพื้น คลานไปที่มุมของเตียงเตาหยิบกลองป๋องแป๋งมาให้สืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงจึงหอมแก้มของเขาไปหนึ่งที จากนั้นก็พูดขึ้นพึมพำว่า “เจ้าฉลาดขนาดนี้ เหตุใดถึงยังไม่ยอมพูดเล่า!”
จิ่นเกอเขย่ากลองป๋องแป๋งพลางยิ้มให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาอุ้มเขาไว้ในอ้อมกอด
“พูดเป็นเร็วขนาดนั้นไปทำไมกัน” เขาเองไม่คิดเช่นนั้น “เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ไม่สุขุมหนักแน่น”
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบลงจากเตียงเตา เข้าไปดมกลิ่นสุราบนตัวของสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็เข้าไปอุ้มบุตรชายมา “วันนี้แขกคงจะเยอะแยะมากมายเลยกระมัง ท่านโหวเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบไปล้างเนื้อล้างตัวเถิดเจ้าค่ะ!”
แต่มือของเขาที่กำลังอุ้มลูกอยู่นั้นกลับไม่ยอมปล่อย “ประเดี๋ยวค่อยไป เล่นกับจิ่นเกอสักประเดี๋ยวก่อน!” จากนั้นเขาก็โยนจิ่นเกอขึ้นไปกลางอากาศแล้วก็รับไว้
จิ่นเกอหัวเราะเสียงดังด้วยความสนุกสนาน
สืออีเหนียงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋มือไม้มั่นคง แต่ในใจก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ดี
“ท่านโหวไปอาบน้ำอาบท่าก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ!” นางยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง “จิ่นเกอเล่นสนุกจนเกินไปจะนอนไม่หลับเอา!”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หยุดเล่นไป จากนั้นก็ยื่นบุตรชายให้กับสืออีเหนียง
จิ่นเกอรีบอ้อนสวีลิ่งอี๋ทันที
สวีลิ่งอี๋ทำได้เพียงลูบศีรษะของเขาเบาๆ “พรุ่งนี้เราค่อยมาเล่นกันใหม่”
“พรุ่งนี้ท่านโหวยังต้องดูแลแขกอีก” เพราะจวนหย่งผิงโหวจัดงานแต่ง ขุนนางในราชสำนักที่คบค้าสมาคมต่างพากันมามอบของขวัญอวยพรงานมงคลสมรส คุณชายสามเองก็ไม่อยู่จวน สวีลิ่งอี๋จึงเป็นผู้ดูแลหลักของสถานการณ์โดยรวมแทน ต้อนรับขับสู้แขกที่มาเยือน “ไม่ควรมาเล่นกับเด็กตามอำเภอใจ ตอนนี้เขาฟังคำพูดรู้เรื่องแล้ว วันข้างหน้าหลังจากที่เติบโตไปแล้ว จะไม่เชื่อถือและวางใจบิดามารดาอย่างเราได้”
“ข้ารู้แล้ว!” อาจเพราะเขาดื่มสุราเข้าไป ปกติแล้วสวีลิ่งอี๋ค่อนข้างสุขุมเป็นอย่างมาก แต่เขากลับยิ้มพร้อมกับบีบจมูกของสืออีเหนียงเบาๆ “เหตุใดเจ้าถึงพูดมากขนาดนี้ ธุระในจวนมีพ่อบ้านคอยจัดการดูแล พรุ่งนี้เช้าข้าอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับจิ่นเกอสักประเดี๋ยวแล้วค่อยออกไปต้อนรับแขก อย่างไรเสียงานแต่งก็ถูกกำหนดไว้ตอนต้นยามไฮ่ เจ้านั่นแหละที่ต้องหาเวลามาพักผ่อนให้ดี เจ้าสาวเข้าประตูจวน เกิดมีใครเล่นพิเรนทร์ขึ้นมาก็อาจจะลากยาวจนถึงเช้าของอีกวันก็ได้ วันที่สองยังต้องมากล่าวทักทายญาติอีก”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เดินไปยังห้องชำระ
ตอนที่เขาออกมา สืออีเหนียงและจิ่นเกอก็ไม่ได้อยู่ในเรือนแล้ว
ชิวอวี่จึงรีบรายงานว่า “ฮูหยินพาคุณชายน้อยหกเข้านอนเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ แล้วขึ้นไปเอนกายนอนอยู่บนเตียง อ่านหนังสือ ‘บันทึกการท่องเที่ยว’ ไปครึ่งค่อนเล่มเห็นจะได้ สืออีเหนียงจึงค่อยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่อ่อนล้า
“จิ่นเกอหลับแล้วหรือ!” เขาค่อนข้างรู้สึกผิด จึงรีบเปิดผ้าห่มออกเพื่อบอกเป็นนัยให้สืออีเหนียงรีบมาพักผ่อน
สืออีเหนียงกลับชี้ไปยังชุดจื๋อตัวสีน้ำเงินสดที่ปักด้วยลายเมฆมงคลสีทองที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าสีดำเงาสลักด้วยลายปี่เซียะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นั่นคือชุดที่ท่านโหวจะสวมในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”
สายตาของสวีลิ่งอี๋จัเบจ้องไปยังเก้าอี้เล็กที่อยู่ใต้ราวแขวนผ้า
บนเก้าอี้มีถุงเท้าสีขาววางไว้หนึ่งคู่ ถุงเท้าถูกปักด้วยลายเมฆมงคล เดินเส้นด้วยไหมสีน้ำเงินสดและสีทองสลับกัน ภายใต้ความหรูหรานั้นเต็มไปด้วยความสง่างาม พลอยทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูก ดูออกได้ในทันทีว่าเป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดา
“เจ้าหยุดปักผ้าได้แล้ว” เขากุมมือของสืออีเหนียงเอาไว้ “ก็แค่ถุงเท้า คนอื่นมองไม่เห็นเสียหน่อย”
ปักผ้าในเวลากลางคืน ถือเป็นการสิ้นเปลืองฝีมือการปักของนางเกินไปแล้ว ตนเอามาสวมใส่ก็ยังรู้สึกเสียดาย
แท้จริงแล้วมีคนสังเกตเห็น
เมื่อวานนี้โจวซื่อเจิงเอาแต่ถามว่าใครทำถุงเท้าให้สวีลิ่งอี๋ เขายินดีจะออกเงินหนึ่งพันตำลึงเพื่อที่จะให้สวีลิ่งอี๋สละช่างปักคนนั้นให้แก่เขา แถมยังพูดอีกว่า ‘…อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เสียหน่อย’
สวีลิ่งอี๋ไม่สะดวกที่จะบอกว่าสืออีเหนียงเป็นคนปักให้ จึงบอกไปว่าเป็นช่างที่ปักเย็บเสื้อผ้าให้กับสืออีเหนียง ก็เลยทำถุงเท้าให้เขาสองคู่
โจวซื่อเจิงได้ยินแล้วก็อดรู้สึกผิดหวังเสียไม่ได้
ภรรยาคนใหม่ของสวีลิ่งอี๋ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว เป็นคนที่แต่งตัวเป็น ถือว่ามีชื่อเสียงในต้าโจวพอสมควร การซื้อตัวช่างปักของผู้อื่น ก็เท่ากับเป็นการซื้อตัวคนสนิทที่ใกล้ชิดกับเจ้าตัวที่สุดอย่างแท้จริง
“ท่านโหวเป็นคนบอกเองว่าสวมใส่สบายไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว!”
ก็จริง
ถุงเท้าที่สืออีเหนียงทำให้เขาไม่เพียงแต่พอดีกับเท้าเท่านั้น แต่ยังถูกใจเขาอีกด้วย ฝีไม้ลายมือละเอียดงดงาม ไม่ฉูดฉาดจนเกินไป เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก
ส่วนสืออีเหนียงนั้นเมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ก็ค่อยๆ ขึ้นไปบนเตียงอย่างเงียบๆ
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางไม่บ่นตนเหมือนเช่นเคย ก็เลยพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าเหนื่อยมากใช่หรือไม่”
“เป็นงานของบ้านคุณชายสาม ข้าไม่ใช่ผู้ดูแลหลักที่ควบคุมดูแลเรื่องการหุงต้มของงาน เป็นแค่คนที่คอยยืนชมความครึกครื้นก็เท่านั้น ไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางฟังดูลังเลเป็นอย่างมาก
“เป็นอะไรไป” สวีลิ่งอี๋ขยับขึ้นมาพิงบนหัวเตียง แล้วหันมานอนตะแคงข้าง
สืออีเหนียงพลิกตัวหันมามองสวีลิ่งอี๋ “ท่านว่าข้าควรกลับไปรับหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องการหุงต้มอีกครั้งดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เพราะเห็นว่าท่านแม่ยุ่งจนมือไม้พันกันไปหมด เจ้าก็เลยอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าลองคิดพิจารณาดูแล้ว ปีนี้จุนเกออายุสิบขวบ คุณหนูเก้าสกุลเจียงอายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน ผ่านไปสักห้าหกปี เราไม่รีบร้อน แต่สกุลเจียงไม่ใช่ ถึงเวลานั้น เราค่อยให้คุณหนูเก้าสกุลเจียงมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักที่ควบคุมดูแลเรื่องการหุงต้มแทน ท่านคิดเห็นอย่างไร”
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมานางไม่เคยกระตือรือร้นที่จะช่วงชิงแต่อย่างใด แต่ตั้งใจและทุ่มเทเป็นอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผยให้เห็นว่าไม่อยากรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลัก
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงจึงลุกขึ้นนั่ง “ท่านโหวรู้สึกว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “หลายวันก่อนข้าพาจุนเกอไปเดินเขามิใช่หรือ เขา…” จู่ๆ ก็หยุดชะงักคำพูดไป
ตอนที่สวีซื่อจุนกลับมานั้นเขาดูดีใจเป็นอย่างมาก ตั้งหน้าตั้งตาเล่าถึงสถานที่ที่เขาไป ได้เจอกับใครบ้าง ทานอะไรไปบ้าง เหตุการณ์เป็นอย่างไรให้กับสืออีเหนียงฟัง…ส่วนสวีลิ่งอี๋นั้น หลังจากที่เขากลับมาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย สืออีเหนียงจึงนึกว่าทุกอย่างราบรื่นและปกติดี นึกไม่ถึงเลยว่าทั้งสองจะรู้สึกไม่เหมือนกัน
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
สวีลิ่งอี๋เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยพูดขึ้นเสียงเบาว่า “หลานของโต้วเก๋อเหล่าอายุน้อยกว่าจุนเกอราวหนึ่งปี กลับเข้าใจหลักธรรมที่ว่า ‘มีกิจธุระใดก็ให้ผู้น้อยคอยรับใช้’ แต่เขานี่สิ…” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อน “เอาแต่พูดคุยหัวเราะกับบ่าวรับใช้ชาย ตัวติดกันไม่ยอมห่าง พอตอนที่ให้เขาไปคารวะโต้วเก๋อเหล่าและหวังลี่ เขาก็เอาแต่ขลาดกลัว…” ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดพูดไป แต่กลับไม่อาจปิดบังความผิดหวังได้
“ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงทำได้เพียงปลอบโยนสวีลิ่งอี๋เท่านั้น “ไม่แน่บางทีบุตรชายของหวังลี่อาจจะพิเศษไม่เหมือนผู้อื่น ถือเป็นข้อยกเว้นก็เป็นได้”
ค่อนชีวิตที่ผ่านมาของสวีลิ่งอี๋ไม่เคยพ่ายต่อผู้ใด ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ตกเป็นเบี้ยล่างหรืออยู่ใต้ลม แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นเสมอว่าสักวันจะสามารถลุกขึ้นยืนหยัดด้วยตัวเองได้ มีเพียงเรื่องของจุนเกอเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่เคยเชื่อมั่นและถอดใจตั้งแต่ต้นจนจบเสียด้วยซ้ำ
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เข้านอนเถิด! พรุ่งนี้ยังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ”
สืออีเหนียงแนบใบหน้าติดกับแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็โอบกอดเอวของเขาไว้
*****
วันถัดมา งานเลี้ยงต้อนรับแขกก็เริ่มขึ้น เสียงประทัดดังขึ้น เริ่มขบวนยกเกี้ยวเจ้าสาว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลังจากที่เจ้าสาวเข้าประตูจวน เจ้าสาวและเจ้าบ่าวก็ไขว้แขนดื่มสุรา ฮูหยินห้ารีบจูงมือสืออีเหนียงไปดูเจ้าสาว
ป้ารับใช้ที่ค่อนข้างมีหน้ามีตาและสาวใช้น้อยกำลังยืนอยู่ใต้ชายคาของเรือนหอ เหล่าบรรดาน้าสะใภ้และน้าหญิงสกุลกานต่างก็อยู่ในเรือนหอ ทุกที่เต็มไปด้วยผู้คนที่สวมใส่ชุดมงคลสีแดงสด บรรยากาศงานมงคลที่รื่นเริงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
สืออีเหนียงและฮูหยินห้าเพิ่งจะเดินผ่านประตูของลานสวนเข้าไป เหล่าป้ารับใช้ที่ฉลาดหัวไวรีบตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันทีว่า “ฮูหยินสี่และฮูหยินห้ามาแล้ว!”
“ฮูหยินสี่” “ฮูหยินห้า” เสียงกล่าวทักทายของเหล่าบรรดาป้ารับใช้และสาวรับใช้น้อยดังขึ้นพร้อมกับย่อตัวทำความเคารพต่อๆ กันเป็นแถวยาวไม่สิ้นสุด บ่าวรับใช้ที่ยืนขวางอยู่ในตอนแรกก็พากันขยับออกไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้ทั้งสองเข้าไป
สืออีเหนียงและฮูหยินห้าก็พยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการรับการคารวะทักทาย จากนั้นก็พากันเดินเข้าประตูเรือนหอไปพร้อมกัน
คนที่ค่อนข้างคุ้นเคยของสกุลกานก็เดินเข้ามาต้อนรับทันที บางคนที่ไม่รู้จักก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับยิ้มให้อย่างสำรวมเพื่อเป็นการกล่าวทักทาย บางคนก็ขยับถอยหลังจนชิดกับผนังห้อง ส่วนบางคนก็เดินเข้ามาหาเพื่อกล่าวทักทาย
สืออีเหนียง ฮูหยินห้าและญาติทางฝั่งสกุลกานต่างก็ได้ทำคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นจึงค่อยมีโอกาสเข้าไปยลโฉมเจ้าสาว
มิน่าเล่าฮูหยินสามถึงได้ตอบรับงานแต่งครั้งนี้
เจ้าสาวอายุเยาว์วัย ไม่เพียงแต่เหมือนดอกจำปีที่พึ่งผลิบานเท่านั้น หว่างคิ้วของนางเต็มไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน สง่างามตามแบบฉบับที่บุตรีตระกูลสูงศักดิ์พึงมี ดูออกได้อย่างชัดเจนว่าตระกูลธรรมดาไม่สามารถอบรมบ่มเพาะออกมาเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน บุตรสาวของสกุลฟังผู้นี้ถูกอบรมบ่มสอนมาเป็นอย่างดี
ในแง่ของนิสัยจิตใจ เมื่อเปรียบเทียบสวีซื่อฉินกับฟังซื่อแล้ว ออกจะดูค่อนข้างสูงส่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงและฮูหยินห้ากำลังสังเกตมองนาง ใบหน้าของเจ้าสาวก็แดงขึ้นมาทันที ราวกับแสงแดดในยามเช้าก็ไม่ปาน พยายามข่มความเขินอายพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอาสะใภ้ทั้งสองโปรดอย่าถือสา วันพรุ่งนี้ข้าจะไปคำนับท่านอาสะใภ้ทั้งสองแต่เช้าตรู่เลยเจ้าค่ะ”
การนั่งบนเตียงจะไม่สามารถลงมาเหยียบพื้นได้
ฮูหยินห้าและสืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากัน จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับเข้าไปกุมมือของเจ้าสาวไว้ “สะใภ้คนนี้งดงามยิ่งนัก มิน่าเล่าพี่สะใภ้สามถึงได้รีบร้อนไปสู่ขอสะใภ้ให้ได้ก่อนจึงค่อยรู้สึกสบายใจ!”
เจ้าสาวใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจว่า “ขอบคุณอาสะใภ้ห้าที่เอ็นดู ข้าฟังซื่อมิกล้ารับเจ้าค่ะ”
ย้ายจากหูโจวที่ห่างไกลแต่งงานเข้าเมืองเยี่ยนจิง จึงยังไม่คุ้นชิน ไหนจะต้องเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่เร็วๆ นี้อีก เป็นใครก็ย่อมกังวลใจทั้งนั้น
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นคนอวี๋หัง เพียงแต่ว่าก่อนที่ข้าจะแต่งงานออกเรือน ยังไม่เคยเดินทางไปไหน ก็เลยไม่รู้ว่าอวี๋หังห่างจากหูโจวแค่ไหน”
ดวงตาของเจ้าสาวพลันเป็นประกายขึ้นมาทันที แพรวพราวดุจผลึกแก้วก็ไม่ปาน พลอยทำให้ใบหน้าของนางดูงดงามน่ามองยิ่งขึ้น
นางพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าเคยติดตามท่านย่าไปที่หังโจวครั้งหนึ่ง ต่อมาก็ติดตามท่านพ่อไปรับราชการอยู่ที่นั่นสองปี แต่ไม่เคยไปที่อวี๋หังสักครั้ง ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง ว่ากันว่าแม่น้ำเสาซีไหลจากอวี๋หังไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภออูเฉิงเข้าสู่ทะเลสาบไท่หู หูโจวของพวกข้า…” เมื่อพูดถึงตรงนี้จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนเองพูดจาเสียมารยาทไป ใบหน้าของนางพลันปรากฏสีหน้าขวยเขินขึ้นมาทันที นางจึงพูดใหม่ว่า “หูโจวใกล้กับทะเลสาบไท่หู ข้าคิดว่าคงจะห่างจากอวี๋หังไม่ไกลเท่าไรนัก!” เมื่อพูดจบสีหน้าแววตาของนางก็ดูผ่อนคลายลงไปมาก
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเช่นนี้ น่าเสียดายที่วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า มิเช่นนั้นข้าก็คงจะเอาหนังสือตำราออกมากาง แล้วนั่งค้นหากับเจ้าเสียแล้ว จะต้องคำนวณได้อย่างแน่นอนว่าแท้จริงแล้วอวี๋หังห่างจากหูโจวแค่ไหนกันแน่!”
ฟังซื่อเม้มปากยิ้มบางๆ ดูสง่างามสมกับการเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่
ฮูหยินห้าที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเชิงล้อเล่นว่า “ดีจริงเชียว ต่อไปตระกูลเราก็คงมีปลาแห้งทานไม่หวาดไม่หวั่นอย่างแน่นอน”
ฟังซื่อและสืออีเหนียงส่งยิ้มให้ซึ่งกันและกัน บรรยากาศในเรือนจึงดูแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
จากนั้นก็มีคนยกเก้าอี้ไท่ซือมาให้ทั้งสองนั่ง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ เป็นป้ารับใช้ทั้งสองที่มาส่งขบวนสินเดิมเมื่อวานนี้
ฟังซื่อก็ได้แนะนำว่า “นี่คือป้าเฉิง ส่วนนี่คือป้าหลี่ เดินทางมาพร้อมกับพวกข้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้าให้กับทั้งสองเบาๆ
ทั้งสองพากันคุกเข่าคำนับสืออีเหนียงและฮูหยินห้าทันที
ชิวอวี่และเหอเซียงสาวใช้ข้างกายของฮูหยินห้าก็รีบเข้าไปประคองป้ารับใช้ทั้งสองลุกขึ้น
“วันนี้เป็นวันมงคลของคุณนายน้อยใหญ่ เลยอยากจะมาคำนับพวกเรา แต่ไม่ถูกเวลา!” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแย้ม
เวลานั้นเองก็มีเสียงที่เริงร่าของฮูหยินสามดังขึ้นจากด้านนอก “พี่สะใภ้ใหญ่ช้าๆ หน่อย ลานสวนนี้ข้าพึ่งลงอิฐใหม่ไปอย่างเร่งรีบ งานข้าก็ค่อนข้างยุ่ง ยังไม่ได้ตรวจดูว่าเรียบหรือไม่ ระวังขาจะพลิกเอาได้”
ญาติทางฝั่งสกุลกานต่างก็รีบพากันเข้าไปประคองทันที
สืออีเหนียงจึงหันไปแนะนำกับฟังซื่อว่า “ท่านนี้คือฮูหยินของท่านจงฉินปั๋ว มาถึงแล้ว”
ฟังซื่อก็พยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางรู้จักฮูหยินของจงฉินปั๋ว
ฮูหยินห้าหันมากระซิบข้างหูของสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “เรือนหอเล็กขนาดนี้ พวกเราควรกลับไปก่อนดีกว่ากระมัง!”
สืออีเหนียงไม่อยากจะพูดอะไรกับจงฉินปั๋วฮูหยินมากเกินไป จึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ