ฮูหยินสามเห็นแล้วดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที อดไม่ได้ที่จะคิดคำนวณในใจ
ในเมื่อเอาออกมาทั้งที สถานการณ์เช่นนี้ จะให้เก็บกลับไปได้อย่างไรกัน
ขอเพียงแค่ตนสามารถหาวิธีถ่วงเวลาไว้ก่อน ของสิ่งนี้ก็จะตกเป็นของบ้านตนทันที
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหตุใดนิสัยใจคอของน้องสะใภ้ห้ายังเป็นเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด! เจ้าทำเช่นนี้ไม่เท่ากับกำลังทำให้เหล่าบรรดาญาติพี่น้องลำบากใจหรอกหรือ” พูดจบ นางก็ได้กวาดตามองเหล่าบรรดาญาติที่เป็นสตรีทุกคน
กานฮูหยินกำลังนั่งจิบชาอยู่ข้างๆ
วันนี้ของขวัญเจอหน้าของนางคือกำไลลูกปัดหยกเขียวหนึ่งวง ถึงแม้ว่าจะลายเยอะไปหน่อย แต่ถูกสลักด้วยลายดอกบัว ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก เม็ดลูกปักหยกค่อนข้างใหญ่ ถือว่าไม่เป็นการเสียมารยาท
พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามแอบขมวดคิ้วเงียบๆ
ใช่ว่านางจะเอาของออกมาไม่ได้ ตอนที่บุตรชายของนางแต่งงาน ฮูหยินสามมอบแค่เครื่องประดับผมที่หนักราวยี่สิบกว่าตำลึงก็เท่านั้น หากพูดถึงการตอบแทนซึ่งกันและกัน นางก็ไม่ควรต้องตอบแทนกลับเป็นเท่าตัวหรอกกระมัง และถึงแม้ว่านางจะตอบแทนเป็นเท่าตัว ของขวัญเจอหน้าเป็นของที่ไม่ขึ้นรายการบัญชีอยู่แล้ว วันข้างหน้าหากนางจัดงานเลี้ยงฉลองอะไรขึ้นมา ฮูหยินสามจะตอบแทนน้ำใจส่วนนี้หรือไม่ก็ยังไม่แน่นอน!
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า กำลังเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างกับฮูหยินสาม แต่จู่ๆ ก็มีคนพูดตัดหน้านางไป
“นี่คืองานมงคล จัดงานมงคลก็เพื่อที่จะเฉลิมฉลอง การที่น้องสะใภ้ห้ามีความตั้งใจนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นนั้นข้าเองก็ขอร่วมสนุกด้วยคน!”
ทุกคนที่อยู่ในเรือนต่างพากันหันไปจับจ้องเจ้าของเสียงแทน
พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามก็หันไปมองตาม ที่แท้แล้วก็เป็นคุณนายใหญ่สกุลหงที่มาจากหนานจิงนี่เอง
คุณนายใหญ่สกุลหงหยิบถุงผ้าสีแดงสดที่ทำจากผ้าแพรหังต้วนปักด้วยลายอักษรซวงสี่มงคลคู่ออกมา เทเครื่องประดับผมทรงดอกไม้ออกมาหนึ่งคู่ ตามด้วยการถอดกำไลหยกสีเขียวแวววาวออกจากข้อมือของนาง “นี่คือของขวัญจากข้า” พูดจบ นางก็ยื่นของสองสิ่งนั้นให้กับฟังซื่อ
ฟังซื่อมองสีหน้าที่กระอักกระอ่วนใจของฮูหยินสามออก หากว่านางรับของขวัญ ก็กลัวว่าแม่สามีจะรู้สึกว่านางไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรควรไม่ควร แต่ครั้นจะไม่รับ ไม่ว่าฮูหยินห้าหรือคุณนายใหญ่สกุลหง ต่างก็กำลังให้เกียรตินางอยู่ จะเป็นการทำลายความตั้งใจของผู้อาวุโสทั้งสองไป นางจึงรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวีซื่อฉิน
สวีซื่อฉินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
หากเขาช่วยมารดาของเขา ก็จะเป็นการทำลายบรรยากาศนี้ไป แต่หากว่าเขาไม่ช่วยมารดา ก็กลัวว่ามารดาของเขาจะไม่พอใจ
สืออีเหนียงมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จึงยิ้มพร้อมกับออกตัวช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ หันไปพูดกับคุณนายใหญ่สกุลหงว่า “พี่สะใภ้ช้าก่อน ให้ตานหยางเซี่ยนจู่ของพวกข้าได้อวดต่อหน้าทุกคนก่อน กว่านางจะได้โอกาสนี้มานั้นไม่ง่าย ท่านอย่าแย่งกับนางเลย พลอยแต่จะทำให้นางแค้นท่านในใจเสียเปล่า”
คุณนายใหญ่สกุลหงได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังออกมา “ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของข้าทั้งนั้น” พูดจบนางก็นำสิ่งของเหล่านั้นกลับไป “เช่นนั้นข้ารออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”
กานฮูหยินที่นั่งจิบชาอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าท่าทีที่สบายใจได้ยินแล้วก็อุทานเบาๆ ด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็นั่งตัวตรงพร้อมกับจ้องมองไปยังสืออีเหนียงตาไม่กะพริบ
ก็เห็นสืออีเหนียงสบตากับฮูหยินห้าพอดี
ตนรู้ดีอยู่แล้ว
ในเมื่อสะใภ้ทั้งสองของจวนสกุลสวีก็ไม่พอใจฮูหยินสามอยู่แล้ว ถือโอกาสนี้ทำให้ฮูหยินสามขายหน้าเสียหน่อย จึงนึกถึงคำพูดที่จงฉินปั๋วเคยแอบบ่นข้างหูนางเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้ ‘ทุกคนต่างก็กำลังจดจ่ออยู่กับฝูเจี้ยน สวีลิ่งอี๋กลับได้เงินก้อนใหญ่จากการเลี้ยงม้าที่เป่าติ้งอย่างเงียบๆ จะว่าไปแล้วภรรยาคนใหม่ของหย่งผิงโหวมักจะไปเยี่ยมไท่ฮูหยินอยู่บ่อยๆ ทำไมเจ้าถึงไม่คิดหาวิธีตีสนิทกับนางไว้เล่า’
กานฮูหยินวางถ้วยน้ำชาในมือลง จัดระเบียบจอนผมอย่างเบามือ “ตานหยาง” นางเรียกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สนิทสนมเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างก็พากันหันไปมองกานฮูหยิน
กานฮูหยินพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “อย่ารังแกที่ตระกูลจงฉินปั๋วของพวกข้าคนน้อย!” พูดจบ ก็หันไปส่งสายตาให้กับป้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วยให้ไปนำของขวัญเจอหน้าของนางออกมา จากนั้นนางก็ปลดปิ่นปักผมทองคำที่ฝังด้วยหยกหยางจืออวี้สลักลายลูกท้อบนศีรษะ วางลงบนกำไลข้อมือลูกปัดพลอยปี้สี่ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งทะนงว่า “นี่เป็นของขวัญเจอหน้าที่ข้ามอบให้หลานสะใภ้” พูดจบก็หันมายิ้มให้กับสืออีเหนียงพร้อมกับถามขึ้นว่า “ฮูหยินสี่ แล้วท่านเล่า จะเพิ่มอะไร”
บรรยากาศของห้องโถงฝั่งทิศตะวันตกพลันเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เหล่าบรรดาญาติของสกุลกานพากันแอบถอยออกไปที่หน้าโต๊ะแจกันดอกไม้ตรงมุมห้องอย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปลดปิ่นปักผมขนนกกระเต็นทองคำฝังด้วยดอกทับทิมสีแดงสดที่ทำมาจากเม็ดทับทิมบนศีรษะลงมา ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คู่กับดอกทัดหูของน้องสะใภ้ห้าพอดี!”
เครื่องประดับผมขนนกกระเต็น งานฝีมือที่เลอค่าและหาได้ยากยิ่ง เม็ดทับทิมสีแดงสดขนาดเท่าเล็บมือเห็นจะได้ เมื่อวางคู่กับดอกทัดหูของฮูหยินห้าแล้ว ก็จะช่วยชูสีสันให้แก่กัน ดูโดดเด่นแพรวพราวและสวยสดงดงามมากขึ้นกว่าเดิม
มีคนอดไม่ได้ที่จะเผลออุทานออกมาด้วยความอิจฉา
ฟังซื่อไม่สบายใจเป็นอย่างมาก รีบพูดขึ้นว่า “ท่านอาสะใภ้สี่ มิบังอาจจริงๆ เจ้าค่ะ….”
เพียงแต่ว่าเสียงของนางค่อนข้างเบา จึงถูกเสียงของกานฮูหยินกลบไปจนหมด “เจ้าก็เพิ่มอีกหน่อยจะเป็นไรไป สุดท้ายแล้ว ของเหล่านี้ก็ไม่ได้ตกเป็นของคนรอบข้างเสียหน่อย!” พูดจบ สายตาของนางก็เหลือบไปมองสะใภ้ทั้งสามที่เป็นญาติของสกุลสวี แล้วพูดต่อไปว่า “ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนรอต่อแถวอยู่อีกด้วย!” จากนั้นก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำ สีหน้าแววตาพร้อมที่จะปะทะกับเหล่าบรรดาสะใภ้ที่เป็นญาติของสกุลสวีอย่างเต็มที่
คุณนายสามสกุลติ้งเห็นแล้วก็บึนปากเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่ใช่ทายาทที่เป็นสายเลือดโดยตรง แต่ก็ได้เปิดโรงรับจำนำในเมืองหนานจิงถึงหกที่ ร้านขายข้าวสารสิบสี่ร้านและร้านขายยาสมุนไพรตากแห้งอีกสามร้าน แม้ว่าจะสู้ซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหนานจิงพอสมควร พวกนางเดินทางมาจากที่ไกล อย่าว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องประดับทองและเงินทองที่สามารถถอดออกมาได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเอาออกมาได้ เวลาเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเขย่งเท้าเพื่อเชิดหน้าชูตาให้จงได้ จะให้ขายหน้าไปถึงหนานจิงได้อย่างไรกัน
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ป้าสะใภ้สกุลกานวางใจเถิด พวกข้าที่เป็นป้าสะใภ้และอาสะใภ้สกุลเดิมจะไม่เอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน” พูดจบ นางก็หันไปดึงแขนเสื้อพี่สะใภ้ใหญ่ของกานฮูหยินที่ยืนดูอยู่ข้างๆ เบาๆ “ป้าสะใภ้และอาสะใภ้สกุลกานอย่าเอาแต่ยืนรอบนอกเลย! รีบเข้ามามอบของขวัญเจอหน้าเร็วเข้า เจ้าบ่าวเจ้าสาวยังต้องไปคารวะไท่ฮูหยินอีก พวกเราเองก็จะได้รีบไปดื่มสุรามงคลที่โถงบุปผาเร็วๆ!”
บางคนก็หลบหน้าแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของคุณนายสามสกุลติ้ง บางคนก็หัวเราะแต่กลับไม่พูดอะไร ส่วนบางคนก็พูดขึ้นเสียงดังว่า “พวกข้าก็รออยู่นี่แล้วมิใช่หรือ!”
คุณนายสามสกุลติ้งหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็เร่งฮูหยินสามว่า “พี่สะใภ้สาม พวกข้ากำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูท่านอยู่!”
ฮูหยินสามหันไปมองกล่องเครื่องประดับของฮูหยินห้า สืออีเหนียง กานฮูหยินและคนอื่นๆ จากนั้นก็กัมหน้ามองกล่องของตนเอง มีแค่ชุดเครื่องประดับผมเฟินซินทองคำของตนที่หนักเพียงแปดตำลึงแปดเฟื่องวางอยู่เท่านั้น ดูเก่าแก่และน้อยชิ้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกว่าน้อย แต่หากจะให้นางเพิ่มเข้าไปอีก นางไม่ได้ตระเตรียมเลยแม้แต่น้อย ครั้นจะไม่เพิ่ม…เมื่อมองไปยังปิ่นปักผมทองคำและเครื่องประดับขนนกกระเต็นของสืออีเหนียงที่พึ่งใช้เป็นครั้งแรก และคงจะเก็บไว้เพื่องานแต่งงานของฉินเกอโดยเฉพาะ หากพลาดครั้งนี้ไป เกรงว่าวันข้างหน้าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว
นางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็กัดฟันปลดปิ่นปักผมน้ำเต้าทองคำบนศีรษะวางลงข้างๆ ชุดเครื่องประดับผมเฟินซินทองคำด้วยความฝืนใจ พลางหัวเราะออกมาเบาๆ “พวกเจ้าที่เป็นอาสะใภ้ยังใจกว้างขนาดนี้ ข้าเป็นถึงแม่สามี เหตุใดจะทำใจให้ไม่ได้เล่า!”
กระนั้นทองคำทั้งสองชิ้นน้ำหนักก็ยังไม่ถึงสิบตำลึง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเครื่องประดับอัญมณีของฮูหยินห้าและสืออีเหนียงแล้ว แลดูเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
บางคนไม่กล้าจะตอบกลับ เพราะกลัวว่าหากถูกคลื่นลมกระหน่ำนี้ซัดกลืนเข้าไป ก็จะเป็นการเสียทรัพย์โดยเปล่าประโยชน์ บางคนก็รู้สึกว่าฮูหยินสามตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไป จนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
จู่ๆ บรรยากาศครื้นเครงในเรือนก็เงียบสนิทลง
แขกผู้ชายทางฝั่งห้องโถงทิศตะวันออกที่กำลังพูดคุยกันเสียงเบาอยู่ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ จึงชะเง้อคอมองด้วยความสงสัย
ฮูหยินห้าจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่อยากจะช่วยให้หลานสะใภ้ได้รับเกียรติให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาก็เท่านั้น ในเมื่อพี่สะใภ้สามรู้สึกว่าพวกข้ามากเรื่อง ข้าเองก็ไม่ขอยื้อต่อให้มากความ” พูดจบ นางก็หันไปถอนหายใจกับสืออีเหนียงว่า “พี่สะใภ้สี่เก็บปิ่นปักผมนั่นกลับไปดีกว่ากระมัง ปกติแล้วท่านไม่กล้าแม้แต่จะเอามาใช้เสียด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้ว่าคนอื่นเขาจะรังเกียจ!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ
กานฮูหยินขมวดคิ้วแน่นพลางหันไปมองฮูหยินสาม “เจ้าก็จริงๆ เชียว สะใภ้ของเจ้าเองแท้ๆ มีอะไรให้คิดเล็กคิดน้อยกัน พวกข้าต่างพากันเชิดชูให้เกียรติ แต่เจ้ากลับมาเลื่อยขาเก้าอี้แทน” น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
บรรยากาศจึงเริ่มอึดอัดขึ้น
ฟังซื่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “กว่าฉินเกอจะสู่ขอสะใภ้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อข้าได้ให้ไปแล้ว ก็ไม่ขอรับคืน พี่สะใภ้สาม…” สืออีเหนียงพูดขึ้นพลางหันไปมองฮูหยินสามด้วยสีหน้าที่จริงใจ “ท่านเพิ่มสิ่งของอีกหนึ่งชิ้นเถิด! ถือเป็นนิมิตหมายที่จะได้ลาภอันประเสริฐ!”
ฮูหยินสามไม่อยากจะให้งานแต่งงานของบุตรชายจบไปทั้งแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากจะเสียหน้าต่อหน้าลูกสะใภ้ของตัวเอง เมื่อได้ยินแล้วนางจึงถอดแหวนที่นิ้วมือออกไปวางไว้ในกล่องไม้
ฮูหยินห้าเห็นแล้วก็หลุดขำออกมาเบาๆ
เป็นการประชดประชันที่จัดจ้านและชัดเจนเป็นอย่างมาก
ฮูหยินสามพลันหน้าแดงหน้าดำขึ้นมาทันที
คุณนายสองสกุลฟู่ที่สนิทสนมกับฮูหยินสามทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงรีบเข้าไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เรื่องดีมักมาคู่กันเสมอ! สะใภ้สาม ข้าว่าเจ้าปลดปิ่นหงส์บนศีรษะของเจ้ามอบให้กับลูกสะใภ้เจ้าดีกว่า! ฮูหยินห้าเองก็เพิ่มเครื่องประดับทองคำอีกหนึ่งชิ้น เพิ่มความเป็นสิริมงคลให้ซึ่งกันและกัน พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ฮูหยินห้าก็ตั้งหน้าคอยคำตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็ถอดกำไลทองคำลายดอกชากุหลาบแดงบนข้อมือออก วางลงข้างๆ ดอกทัดหูอัญมณี “พี่สะใภ้สาม ท่านว่าของชิ้นนี้ใช้ได้หรือไม่!”
กำไลวงนั้นอย่างน้อยๆ ก็คงจะหนักราวสามสี่ตำลึงเห็นจะได้
จู่ๆ ก็มีคนหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าสาวของเราถือว่าได้ลาภก้อนใหญ่แล้ว!”
ฮูหยินสามหันไปมองคุณนายสองสกุลฟู่ด้วยสีหน้าที่สับสนวุ่นวาย
คุณนายสองสกุลฟู่ก็พยักหน้าให้นางเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ บอกเป็นนัยให้นางอย่าลังเลใจต่อไปอีกเลย
ฮูหยินสามเห็นเหล่าบรรดาญาติสตรีที่อยู่ในเรือนต่างก็จ้องมองมายังตน จากนั้นก็ก้มหน้าไปมองฟังซื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ นางจึงกัดฟันแน่น ปลดปิ่นปักผมหงส์ทองคำที่ฝังด้วยมรกต ทับทิมแดง เพชรตาแมวและไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัวบนศีรษะของนางวางลงไปในกล่องไม้
คุณนายสองสกุลฟู่ก็รีบพูดขึ้นว่า “พอแล้ว พอแล้ว ของขวัญเจอหน้าของแม่สามีก็ให้แล้ว ต่อไปก็ถึงตาพวกเจ้าที่เป็นป้าสะใภ้อาสะใภ้ให้ของขวัญกันแล้ว!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับยื่นกล่องไม้ให้กับฟังซื่อ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ข้าขออวยพรให้พวกเจ้ารักกันตลอดไป ให้กำเนิดบุตรชายที่ดีในเร็ววัน”
ฟังซื่อรับมาด้วยความเขินอาย
ฮูหยินห้าเองก็ยิ้มพร้อมกับยื่นของขวัญเจอหน้าให้กับนาง “รีบไปรินน้ำชาให้ข้าเร็วเข้า ข้าช่วยเจ้าตะโกนโหวกเหวกครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ ไม่เพียงขอของดีจากอาสะใภ้สี่ของเจ้าได้เท่านั้น แต่ยังได้ของดีจากเหล่าบรรดาป้าสะใภ้ที่มาจากหนานจิ่งของเจ้า น้าสะใภ้และน้าหญิง อีกด้วย” พูดจบนางก็หัวเราะเสียงดัง บรรยากาศในเรือนจึงดูชื่นมื่นมากขึ้นกว่าเดิม
ฟังซื่อได้ยินแล้วก็รีบคุกเข่าลงพร้อมกับยกน้ำชาให้ฮูหยินห้าด้วยความนอบน้อม
ฮูหยินห้ารับถ้วยน้ำชาอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นก็พาฟังซื่อไปหาคุณนายใหญ่สกุลหง “ผู้นี้คือคุณนายใหญ่แห่งหนานจิง!”
ฟังซื่อก็รีบยกน้ำชาให้ทันที
ฮูหยินห้าก็เลยทำหน้าที่เป็นผู้แนะนำไปโดยปริยาย แนะนำคนนี้เสร็จก็ไปแนะนำคนโน้นต่อ มีบางคนหลบหน้า และมีบางคนที่ขอผ่าน ทุกคนต่างก็หัวเราะชอบใจด้วยความสนุกสนาน บรรยากาศครึกครื้นเป็นอย่างมาก
คุณนายสองสกุลฟู่ก็ถือโอกาสนี้เกลี้ยกล่อมฮูหยินสาม “เหตุใดเจ้าถึงได้เลอะเลือนในเวลาเช่นนี้ได้ เจ้าต้องรู้ว่าสะใภ้ของเจ้าผู้นี้ได้นำสินเดิมสองหมื่นตำลึงเดินทางมาที่นี่ นางไม่ได้ทานไม่ได้ดื่มของเจ้าเสียหน่อย เวลานี้หากทำให้นางรู้สึกดูถูกเจ้าขึ้นมา วันข้างหน้าเจ้าจะเป็นแม่สามีได้อย่างไร เจ้าอย่าลืมเป็นอันขาดว่าบ้านของเจ้ายังมีเจี่ยนเกอที่ยังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ต่อไปหากเจี่ยนเกอพาสะใภ้เข้าจวนมาแล้ว ก็จะฝึกและทำตามฟังซื่อทุกอย่าง แล้ววันข้างหน้าเจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า!”
ฮูหยินสามได้ยินแล้วก็รู้สึกกังวลขึ้นมา รีบเข้าไปกุมมือของคุณนายสองสกุลฟู่ไว้ “ยังดีที่เจ้าช่วยเตือนสติข้า มิเช่นนั้น เพิ่งเข้าจวนมาก็คงจะถูกลูกสะใภ้ดูถูกไปแล้ว!”