กลางคืนหลังจากที่กลับไปถึงเรือนแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็ได้บีบจมูกของสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าทำอะไร”
สืออีเหนียงเอียงหน้าหลบ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ถูกท่านโหวดูออกแล้วหรือเจ้าคะ”
“ตานหยางยิ้มจนหน้าบานขนาดนั้น ข้าอยากแกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่ก็แกล้งไม่ไหวแล้ว”
สืออีเหนียงก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าก็แค่รู้สึกว่าพี่สะใภ้สามตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไป ก็เลยอยากจะทำให้พี่สะใภ้สามเจ็บใจเสียหน่อย แต่ก็ไม่อยากให้นางเจ็บจนเกินไป เลยคิดแผนนี้ออกมา ถือเป็นการสร้างหน้าสร้างตาไปในตัว ของก็ยังได้มอบให้ฉินเกอและหลานสะใภ้อีกด้วย ไม่ได้ทำให้พี่สะใภ้สามเสียเปรียบหรือขาดทุนแต่อย่างใด!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นความคิดของตานหยางกระมัง”
มั่นใจขนาดนี้เชียว
สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฉุนเฉียว “ท่านโหวรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่ใช่ความคิดของข้า”
“เจ้าน่ะหรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับจิ้มจมูกของนางเบาๆ “เจ้าคิดแผนแกล้งคนอื่นเป็นด้วยหรือ”
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านโหวอย่าได้ประเมินข้าต่ำไป!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็โอบกอดนางไว้ “ฝึกกับตานหยางอีกสักปีสองปีก็อาจจะพอก้าวหน้าได้!” จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เสียเครื่องประดับผมขนนกกระเต็นและปิ่นปักผมไป พรุ่งนี้ไว้ข้าจะชดเชยให้เจ้า!” จากนั้นเขาก็เดินไปยังห้องชำระด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
สืออีเหนียงจ้องมองแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ที่แท้แล้วในสายตาของสวีลิ่งอี๋นางเป็นคนซื่อสัตย์และแสนดีขนาดนี้เชียวหรือ
แต่ทว่า พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเลื่อมใสในตัวฮูหยินห้าจริงๆ
ก่อนหน้านี้นางยังกังวลว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นการปล่อยไก่มากกว่าเป็นการแสดงความฉลาดเสียอีก ฮูหยินห้ากลับตบอกพร้อมกับพูดขึ้นว่า ‘หากฮูหยินสามได้เห็นของแล้วจะต้องหวั่นไหวแน่ๆ ส่วนกานฮูหยินหากนางได้ยินคำพูดของพี่สะใภ้สี่ ก็จะต้องออกมาช่วยท่านพูดอยู่แล้ว ท่านวางใจเถิด ทุกอย่างจะต้องสำเร็จตามแผนอย่างแน่นอน!’
ช่วยกันคนละไม้คนละมือ จนเรื่องนี้สามารถสำเร็จได้
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณนายใหญ่สกุลหงได้ร่วมมือกับฮูหยินห้าหรือไม่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นบางๆ
แม่นมกู้ก็อุ้มจิ่นเกอเข้ามาพอดี “ฮูหยิน ท่านดูสิ นี่เป็นของขวัญเจอหน้าที่คุณนายน้อยใหญ่มอบให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ”
ศีรษะของจิ่นเกอถูกสวมด้วยหมวกหัวเสือ ฝีมือละเอียดประณีต สีสันสดใส ไม่เพียงแต่เหมาะมากเท่านั้น ด้านหลังของหมวกยังมีหางเสืออีกด้วย ถือเป็นการออกแบบที่สร้างสรรค์ไม่น้อย
อาจเป็นเพราะอากาศไม่ได้หนาวเย็นจนถึงขั้นต้องสวมหมวก จิ่นเกอจึงพยายามคว้าหมวกไม่หยุด แต่กลับถอดไม่ได้สักที เขาจึงโมโหจนใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำไปหมด
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับเข้าไปถอดหมวกให้เขา จิ่นเกอรีบพุ่งเข้าไปหาอ้อมกอดของสืออีเหนียงทันที
“นำหมวกไปเก็บไว้ก่อน!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะของบุตรชายเบาๆ พอก้มหน้าลงก็เห็นเท้าของจิ่นเกอถูกสวมด้วยรองเท้าหัวเสือด้วย หนวดของเสือทั้งดำสนิทและเป็นเส้นตรง เมื่อสังเกตมองดีๆ ปรากฏว่าเป็นลวดทองแดงเส้นเล็กๆ ที่ถูกพันรอบด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำอีกที
“คุณนายน้อยใหญ่คงจะตั้งใจทำเป็นอย่างมาก!” แม่นมกู้ได้เปิดปากชมอีกหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ไปเอารองเท้าผ้ากำมะหยี่สีดำที่ถูกปักด้วยอักษร ‘ฝู’ มาให้จิ่นเกอเปลี่ยน
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกอิจฉาฮูหยินสามขึ้นมาทันที
หากจิ่นเกอสามารถสู่ขอภรรยาแบบนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัว ก็รู้สึกว่าตัวเองน่าขำสิ้นดี เหตุใดถึงได้คิดเรื่องสู่ขอภรรยาเร็วขนาดนี้ งานแต่งของสวีซื่ออวี้ยังไม่ทันจะได้เห็นแม้แต่เงาเสียด้วยซ้ำ!
จากนั้นนางก็พาจิ่นเกอไปเข้านอน
ส่วนทางฝั่งฮูหยินห้าก็กำลังคุยความในใจกับคุณนายใหญ่สกุลหง
“นางเป็นแบบนี้เสียทุกครั้ง หากว่าข้าไม่โวยวายอย่างนี้ สกุลสวีไม่รู้ว่าจะขายหน้าขนาดไหน” ฮูหยินห้านำลูกพลับตากแห้งและส้มมาต้อนรับคุณนายใหญ่สกุลหง “ข้าล่ะไม่รู้จริงๆ ว่าพี่สะใภ้สามคิดอะไรอยู่!” จากนั้น นางก็ได้พูดต่อไปอีกว่า “ทำพี่สะใภ้ทั้งสามสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว!”
“โอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีง่ายๆ!” คุณนายใหญ่สกุลหงใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มลูกพลับตากแห้งขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น
“พี่สะใภ้ใหญ่อย่ามองผิดไป พี่สะใภ้สี่เป็นคนที่คิดคำนวณเก่งที่สุดแล้ว” ฮูหยินห้าไม่คิดเช่นนั้น นางปอกเปลือกส้มอย่างช้าๆ “ท่านอย่าลืมเชียวว่านางมีบุตรชายถึงสี่คน ไม่ว่าอย่างไรก็จะสามารถได้ผลกำไรจากสิ่งของที่ส่งมอบออกไปอย่างแน่นอน”
คุณนายใหญ่สกุลหงได้ฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดังก่อนจะพูดขึ้นว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกเปรี้ยวทั้งๆ ที่ไม่ได้กินองุ่นกัน”
ฮูหยินห้ายิ้มอย่างเขินอาย
จากนั้นเหอเซียงก็เข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน คุณชายห้าบอกว่าคืนนี้จะอยู่ดื่มสุรากับคุณชายสามสกุลติ้ง ให้ท่านไม่ต้องคอยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าจึงตอบกลับไปว่า “ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็หันไปชวนคุณนายใหญ่สกุลหงว่า “วันนี้ท่านก็อยู่ค้างแรมที่เรือนของข้าเถิด!”
“ข้ากลับไปก่อนจะดีกว่า!” คุณนายใหญ่สกุลหงลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ “งานแต่งของฉินเกอครั้งนี้ พี่ใหญ่และพี่รองของเจ้าต่างก็ติดธุระทั้งคู่ เจ้าสามก็เลยเป็นคนส่งพวกข้ามา อย่างที่เห็น ตอนนี้เขากำลังดื่มสุราอยู่ที่ลานนอก ข้าที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่จะทิ้งน้องสะใภ้ทั้งสองไว้โดยที่ไม่สนใจได้อย่างไรกัน! ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีหลานสะใภ้ของเจ้าอยู่ด้วย”
ฮูหยินห้าก็ไม่รั้งให้นางอยู่คุยนานกว่านี้ นางเดินไปส่งคุณนายใหญ่สกุลหงไปที่ห้องรับรอง เช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปรับคุณนายใหญ่สกุลหงและแขกคนอื่นๆ ที่ห้องรับรองไปรับประทานอาหารเช้าที่โถงบุปผา ใครจะไปนึกว่าสืออีเหนียงจะไปถึงก่อนแล้ว นางกำลังคุยเล่นกับคุณนายใหญ่สกุลหงและแขกคนอื่นๆ เมื่อเห็นฮูหยินห้าเดินเข้ามา คุณนายสามสกุลติ้งก็เข้ามาจูงมือของนางทันที “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจ้าจะร้ายกาจเช่นนี้ ข้าขอบอกไว้เลย รอตอนที่บุตรชายคนรองของข้าแต่งงานออกเรือน เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!”
“วางใจเถิด” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะต้องไปที่เมืองหนานจิงสักครั้ง ถึงเวลานั้นข้าจะยอมให้พี่สะใภ้ทั้งสามจัดการตามอำเภอใจเจ้าค่ะ”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พากันไปคารวะทักทายไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินก็กุมมือของหลานสะใภ้จากหนานจิงทั้งสองพร้อมกับพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ทั้งยังมอบของขวัญให้อีกด้วย จากนั้นฮูหยินสามก็พาลูกสะใภ้มาคารวะไท่ฮูหยิน พร้อมกับนำผ้าเปื้อนเลือดพรหมจรรย์ของฟังซื่อมาให้ไท่ฮูหยินดูผ่านตา
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ดีใจเป็นอย่างมาก จูงมือฟังซื่อที่ก้มหน้าก้มตาด้วยความเขินอายไปทานอาหารเช้า จากนั้นก็ให้สวีลิ่งอี๋พาสวีซื่อฉินและฟังซื่อไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน จากนั้นก็สั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมตัวส่งคู่บ่าวสาวกลับไปเยี่ยมสกุลเดิมของเจ้าสาว
จู๋เซียงถือโอกาสตอนช่วยสืออีเหนียงล้างเครื่องแต่งหน้าพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เพราะงานแต่งถูกจัดขึ้นในจวน คนที่จัดการด้านค่าใช้จ่ายนั้นคือพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ชายของฝ่ายรายงาน ส่วนเรื่องของขวัญอวยพรในวันแต่งงานก็เป็นฝ่ายรายงานที่ช่วยบันทึกและลงรายการเช่นกัน ได้ยินมาว่าหลังจากที่คุณนายน้อยใหญ่และคุณชายน้อยใหญ่พึ่งจะเดินทาง กานเหล่าเฉวียนก็รีบไปถามรายละเอียดเกี่ยวกับรายการบัญชีทันที ก็เห็นว่าพ่อบ้านจ้าวนั่งเฝ้าอยู่ จึงไม่กล้าสอบถามแต่อย่างใด พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวกลับ ฮูหยินสามฉุนเฉียวอยู่ครู่ใหญ่เห็นจะได้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเริ่มจะเข้าใจเจตนาของไท่ฮูหยินขึ้นมา
ในเมื่องานแต่งถูกจัดขึ้นในจวน แน่นอนว่าย่อมต้องใช้เงินของส่วนกลางอยู่แล้ว แต่หากเป็นเช่นนี้ ของขวัญอวยพรวันแต่งงานที่ได้รับมาก็ควรจะถูกเก็บโดยส่วนกลาง ไม่มีเหตุผลที่จะเอาออกมาอยู่แล้ว
คนที่เคยจัดงานพิธีต่างๆ ย่อมรู้หลักของข้อนี้ดี พิธีงานศพนั้นจะต้องมีพิธีกรรม มีการเชื้อเชิญหลวงจีน นักบวชและอื่นๆ มาช่วยทำพิธีสวดบทขอขมากรรม ล้วนแล้วแต่ต้องใช้เงินทั้งสิ้น จัดงานยิ่งใหญ่ก็จะยิ่งเข้าเนื้อ ไม่เหมือนงานแต่ง จะใช้จ่ายกับการกินเลี้ยงเสียส่วนใหญ่ ยิ่งแขกมามากก็จะยิ่งประสบความสำเร็จ หากจะไม่สำเร็จ อย่างน้อยๆ เจ้าสาวก็จะได้รับของขวัญเจอหน้าจากเหล่าบรรดาญาติพี่น้องและแขกที่มาร่วมงาน สวีซื่อฉินแต่งงานครั้งนี้ สกุลสวีเลี้ยงอาหารสามร้อยกว่าโต๊ะ มีแต่ได้กำไรไม่มีขาดทุน ก็ไม่แปลกที่ฮูหยินสามจะร้อนใจขึ้นมา
แต่ฟังจากน้ำเสียงของไท่ฮูหยินแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีเจตนาจะคิดบัญชีนี้กับฮูหยินสาม
“เจ้าจับตาดูต่อไป” สืออีเหนียงกำชับจู๋เซียง “รอดูต่อไปว่าทางฝั่งฮูหยินสามมีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง”
จู๋เซียงขานรับเสียงเบา
ผ่านไปหลายวัน คุณนายใหญ่สกุลหงและคนอื่นๆ ก็ได้เดินทางกลับไปยังเมืองหนานจิง จู๋เซียงก็แอบมากระซิบกับสืออีเหนียงว่า “ฮูหยินสามไปคุยเรื่องชิวหลิงกับไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ!”
คำพูดที่ไท่ฮูหยินพูดขึ้นในวันนั้น คนในจวนกว่าครึ่งต่างก็รับรู้กันถ้วนหน้า บางคนยังพากันแอบเรียกชิวหลิงว่า ‘อี๋เหนียง’ เสียด้วยซ้ำ หลายวันมานี้ชิวหลิงแทบจะไม่ออกมาเดินในจวนให้ใครเห็นเลย
สืออีเหนียงนึกถึงความซื่อสัตย์และความจริงใจของนางที่มีต่อตนในตอนแรก ก็แอบรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา เป็นห่วงวันข้างหน้าของนาง เมื่อได้ยินแล้วสืออีเหนียงก็ถามขึ้นว่า “แล้วฮูหยินสามว่าอย่างไรบ้าง”
จู๋เซียงก็ตอบกลับเสียงเบาว่า “ฮูหยินสามบอกว่านางให้ชิวหลิงปรนนิบัติข้างหมอนคุณชายสามตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าหนึ่งคือชิวหลิงมาจากครอบครัวที่ต้อยต่ำ ไม่เหมาะแก่การเปิดเผย สองคือวันนั้นคำพูดของไท่ฮูหยินค่อนข้างกะทันหัน นางจึงไม่กล้าที่จะโต้แย้ง ตอนนี้งานแต่งของคุณชายน้อยใหญ่ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยตั้งใจจะมาเรียนเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินโดยเฉพาะ ตั้งแต่โบราณเป็นต้นมา ความจงรักภักดีและความกตัญญูกตเวทีนั้นยากที่จะเลือกเพียงหนึ่ง เพื่อไม่ให้คุณชายสามลำบากใจ นางจึงเลือกที่จะเป็นภรรยาที่โง่เขลาแทนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิดว่า “เรื่องงานแต่งของชิวหลิงถูกกำหนดขึ้นอย่างกะทันหันหรือว่าถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเหมือนที่ฮูหยินสามพูด”
จู๋เซียงก็ตอบกลับไปว่า “ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินเลยเจ้าค่ะ!”
เช่นนั้นก็แสดงว่าฮูหยินสามใช้เหตุผลนี้ก็เพื่อจะอ้างกับไท่ฮูหยิน ไม่รู้ว่าคนที่ติดตามนางจะเป็นคนแบบไหน
สืออีเหนียงขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไท่ฮูหยินก็แค่ต้องการสยบฮูหยินสามก็เท่านั้น ฮูหยินสามพูดมาอย่างนี้ ไท่ฮูหยินก็คงจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกอย่างแน่นอน!”
“เจ้าค่ะ!” จู๋เซียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ไท่ฮูหยินเพียงแค่กำชับฮูหยินสามว่า ‘อย่าให้คุณชายสามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกเมืองไม่มีคนดูแล’ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินสามก็ดูเหมือนจะกลัวว่าเรื่องยืดเยื้อไปแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น ก็เลยขอให้ไท่ฮูหยินช่วยชิวหลิงกำหนดวัน ไท่ฮูหยินก็เลยเปิดปฏิทินโหราศาสตร์มาดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กำหนดเป็นวันที่สิบแปดของเดือนสิบเจ้าค่ะ”
“เร็วขนาดนี้เชียว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิด “ถึงเวลานั้นเจ้าอย่าลืมช่วยข้านำเงินสิบตำลึงให้กับชิวหลิงไว้เป็นเงินก้นถุงด้วย”
จู๋เซียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเชิญท่านไปเข้าพบเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าเรื่องอันใดกันแน่
สืออีเหนียงและจู๋เซียงอดไม่ได้ที่จะหันมาสบตากัน
*****
ไท่ฮูหยินกำลังเอนตัวพิงอยู่บนหมอนอิงบนเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง เล่นไพ่จีนกับป้าตู้ อวี้ป่านและจื่อหงสาวใช้ระดับสอง เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ก็รีบทิ้งไพ่ในมือลง พร้อมกับตบเบาะรองนั่งผ้าดิ้นสีแดงส้มที่วางอยู่ข้างๆ “มานี่เร็วเข้า มานั่งนี่”
ป้าตู้เห็นสืออีเหนียงมาถึง ก็รีบลุกขึ้นทันที
สืออีเหนียงย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยินด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงข้างกายไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินดึงมือของนางมากุมไว้ จื่อหงรีบเก็บไพ่จีนอย่างเงียบๆ ด้วยความรวดเร็ว ส่วนอวี้ป่านก็รีบไปชงน้ำชากาใหม่มาทันที
ไท่ฮูหยินสั่งให้บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในเรือนถอยออกไปจนหมด จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิดว่า “อวี้เกออายุสิบห้าแล้วใช่หรือไม่”
เป็นเพราะสวีซื่อฉินแต่งงานออกเรือนหรืออย่างไรกัน ถึงได้ทำให้ไท่ฮูหยินนึกถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่ออวี้ขึ้นมา?
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ วันที่ยี่สิบห้าเดือนสิบที่จะถึงนี้เขาก็อายุครบสิบห้าย่างสิบหกปีแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ แววตาของนางเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจอย่างชัดเจน จากนั้นก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งยังออกทุกข์แล้วด้วย เจ้าเองก็ต้องเริ่มใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก ช่วยเขาเลือกหาคนที่นิสัยดีและมีคุณธรรมสักคนมาไว้ในจวน!”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะตั้งสติได้
เหงื่อพลันไหลซึมไปทั่วทั้งตัว
สวีซื่ออวี้ยังไม่ทันจะเรียนจบด้วยซ้ำ!
เพียงแต่ว่านี่ถือเป็นบรรทัดฐานของคนยุคนี้ นางจึงไม่อยากที่จะคัดค้าน ทำได้เพียงยิ้มพร้อมกับขานรับ จากนั้นก็กลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋
“เร็วเกินไปหรือไม่เจ้าคะ! ระวังจะเป็นผลร้ายกับร่างกายเอาได้”
“ถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น “ตอนนี้ก็ปลายเดือนเก้าแล้ว หากจะกลับเล่ออาน ไปกลับเช่นนี้ เวลาส่วนใหญ่ก็จะเสียไปกับการเดินทาง ข้าก็เลยเขียนจดหมายให้กับอาจารย์เจียง ว่ารอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าอวี้เกอค่อยกลับไปเรียนที่เล่ออาน จะได้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จพอดี!”
สืออีเหนียงจึงทำได้แค่พูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำให้เสร็จได้ในคราวเดียว เราไม่ควรปล่อยให้ผสมปนเปอยู่ในจวนทั้งอย่างนี้ สู้ปล่อยตัวเขาไปจะดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มีอะไรยากเย็นกัน! รอสะใภ้เข้าจวนมาแล้ว หากเชื่อฟัง อวี้เกอก็จะอยากให้อยู่ต่อ เช่นนั้นก็ให้อยู่ต่อ แต่หากว่าไม่เชื่อฟัง เราก็ค่อยให้ออกไปก็พอ”