ตอนที่ 527 ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส
งานเลี้ยงต้อนรับดำเนินไปจนถึงหลังสองทุ่ม
ฟางจั๋วหรานตั้งใจจะไปส่งบรรดาสาวๆ กลับบ้าน แต่เคอจื่อฉิงปฏิเสธความหวังดีของเขา “ถ้าคุณอยากไปส่งจริง ๆ ละก็ ไปส่งพี่เถากับคนอื่น ๆ เถอะ ไม่จำเป็นต้องไปส่งม่ายจื่อหรอก มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน ม่ายจื่อไม่มีทางตกอยู่ในอันตราย”
เฉินเฟิงไม่รู้ว่าหล่อนเคยติดยูโดทีมชาติ จึงคิดว่าหล่อนแค่โอ้อวดตัวเท่านั้น จึงอดประชดประชันหล่อนไม่ได้ “พูดอย่างกับว่าตัวเองสามารถเอาชนะผู้ชายได้งั้นแหละ”
เขายังไม่ทันพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ เคอจื่อฉิงก็เตะรองเท้าส้นสูงทั้งสองข้ามที่สวมอยู่ออกไป แล้วพุ่งเข้าไปยกร่างชายหนุ่มข้ามไหล่ตัวเองทันที
เฉินเฟิงเคยเป็นหัวหน้ามาเฟียใต้ดิน ด้วยทักษะการต่อสู้อันโชกโชนและพละกำลังของเขา ทำให้เคอจื่อฉิงไม่สามารถทุ่มตัวเขาลงกับพื้นได้ง่าย ๆ หลังจากพลิกตัวข้ามไหล่เธอไปได้ ก็หยัดยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างมั่นคง
เคอจื่อฉิงไม่ยอมแพ้ หันกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้ววาดขาเตะเฉินเฟิงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขาก็หลบได้อีก
ทั้งสองต่อสู้กันไปมาอยู่หน้าประตูร้าน ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากให้หยุดดูการแสดงอันน่าทึ่ง
ถึงคุณย่าฟางจะรู้ว่าทั้งสองแค่ประลองกำลังกัน แต่นางก็กลัวว่าการโจมตีอาจเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นอย่าทะเลาะกันเลยจะดีกว่า
นางขยับไปบอกให้หลินม่ายเตือนไม่ให้พวกเขาใช้กำลังต่อกัน
เฉินเฟิงตั้งท่าจะหยุดแล้ว แต่เคอจื่อฉิงกลับไม่ยอมท่าเดียว เมื่อไม่มีใครสามารถห้ามปรามพวกเขาได้ ทุกคนจึงทำได้แค่ปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินต่อไป
หลังจากนั้นอีกแค่สิบกระบวนท่าก็สามารถตัดสินผู้แพ้ชนะได้
ถึงเคอจื่อฉิงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่กว่าเฉินเฟิงจะเอาชนะหล่อนได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ในขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง เคอจื่อฉิงก็หันไปพูดกับเฉินเฟิงด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง “ตอนนี้คุณเชื่อหรือยังล่ะว่าฉันสามารถปกป้องม่ายจื่อได้จริง ๆ”
เฉินเฟิงยกมือขวาข้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเคอจื่อฉิงในระหว่างการประลองเมื่อกี้นี้ไปไพล่หลัง ก่อนพยักหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ “เชื่อแล้ว”
หลินม่ายขอให้ฟางจั๋วหรานช่วยพาเถาจืออวิ๋น เสี่ยวหม่าน และหนิวลี่ลี่ไปส่งถึงบ้าน เพราะรถของเขาสามารถอำนวยความสะดวกให้ทุกคนได้
แต่หนิวลี่ลี่กลับปฏิเสธอย่างแน่วแน่ว่าไม่ต้องการให้เขาไปส่ง ก่อนจะขอตัวกลับบ้านตามลำพัง
เสี่ยวหม่านเองก็ไม่ต้องการให้ฟางจั๋วหรานไปส่งเช่นกัน อ้างว่าหลี่หมิงเฉิงจะเป็นคนพาหล่อนไปส่งถึงบ้านเอง หลังจากนั้นก็ฉุดลากหลี่หมิงเฉิงออกไป
เถาจืออวิ๋นให้เหตุผลว่าตอนนี้ยังไม่ดึกมาก บนถนนยังพอมีผู้คนสัญจรผ่านไปมา ฉะนั้นสถานการณ์ค่อนข้างปลอดภัย หล่อนสามารถเดินกลับเองได้
แต่หลินม่ายจะมั่นใจได้อย่างไร เกิดบังเอิญเจอคนสารเลวหม่าเทามาดักรออยู่ข้างถนนล่ะ?
ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงยืนกรานว่าจะไปส่งสองแม่ลูกกลับบ้านให้ได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเกี่ยงกันไปมา ฟางจั๋วเยวี่ยก็ก้าวไปข้างหน้า อาสาว่าเขาจะเป็นคนเดินไปส่งสองแม่ลูกเอง
เถาจืออวิ๋นยังคงปฏิเสธ แต่ฟางจั๋วเยวี่ยอุ้มฉีฉีขึ้นมาแล้วเดินจากไปเสียแล้ว
เถาจืออวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังเขาไป
หลินม่ายและเคอจื่อฉิงเดินคล้องแขนกันกลับบ้าน แต่กลับเหลือบไปเห็นสามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงมาเดินวนเวียนไปมาในสวนหลังบ้านของเธอ
ฝีเท้าของเธอถึงกับหยุดชะงัก
วันนั้นสองแม่ลูกคู่นี้เอะอะโวยวายลั่นสถานีตำรวจ กล่าวหาว่าหลินม่ายป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ
ภายในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการประเมินอาการบาดเจ็บของหญิงชรา และผลก็ออกมาภายในเวลาไม่นาน
หญิงชราไม่มีบาดแผลอะไรรุนแรง นอกเหนือจากรอยฟกช้ำจาง ๆ แค่นั้น
พอผลออกมาแล้ว ตำรวจจึงโทรหาหลินม่ายเป็นกรณีพิเศษ แจ้งว่าเธอไม่ได้กระทำการป้องกันตัวเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด
ไม่กี่วันต่อมา สองแม่ลูกก็มาปรากฏตัวใกล้ ๆ บ้านของเธอเสียอย่างนั้น เป็นเพราะไม่พอใจที่ทางตำรวจไม่ยอมตัดสินโทษเธอในข้อหาป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ หรือตั้งใจมาสร้างปัญหาโดยเฉพาะกัน?
เมื่อสามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงเห็นหลินม่าย พวกเขาก็รีบตรงเข้าไปหาเธอ ก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าหลินม่าย
การกระทำของพวกเขาไม่เพียงสร้างความสับสนให้กับหลินม่ายและเคอจื่อฉิง แต่ยังทำให้เพื่อนบ้านที่กำลังเดินชมสวนอยู่แถวนั้นต่างตกใจ ก่อนที่ทุกคนจะหันมาจ้องมองพลางพูดซุบซิบ
หลินม่ายขมวดคิ้ว “พวกคุณต้องการอะไร?”
แม่สามีของทังชุ่นอิงโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า ขอร้องหลินม่ายอย่างน่าสมเพชให้เธอละเว้นทังชุ่นอิง
หญิงชราร้องไห้ฟูมฟายอย่างน่าเวทนา ทำให้ใครหลายคนที่เห็นภาพนั้นไม่อาจทนมองต่อไปได้
ทว่าหลินม่ายกลับไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ทังชุ่นอิงจงใจฆ่าเธอให้ตาย ถึงขั้นนี้ถ้าเธอยังมีแก่ใจสงสารหล่อนอีก สมองของเธอคงมีปัญหาแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีอำนาจมากถึงขั้นแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ ต่อให้เธอมีความสามารถนั้นจริง ๆ ก็ไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่
เธอตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันละเว้นลูกสะใภ้คุณไม่ได้หรอก คงต้องไปวิงวอนกับทางตำรวจให้ปล่อยตัวหล่อนแล้วล่ะ”
หลังจากเพื่อนบ้านในละแวกนั้นรู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ไม่มีใครนึกสงสารสองแม่ลูกคู่นี้อีกต่อไป
พวกเขาประณามเป็นเสียงเดียวกันว่าที่แท้สามีกับแม่สามีของทังชุ่นอิงก็เป็นคนประเภทเดียวกันกับภรรยา/ลูกสะใภ้นี่เอง
ภรรยา/ลูกสะใภ้ของพวกเขาลอบวางเพลิงแถมยังมีเจตนาฆ่า นอกจากพวกเขาจะไร้ซึ่งความสำนึกผิดแล้ว ยังมีหน้ามาอ้อนวอนขอให้หลินม่ายให้อภัยหล่อนอีก ช่างไร้ยางอายจริง ๆ
แม่สามีของทังชุ่นอิงหงุดหงิดรำคาญมากเมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมของเพื่อนบ้านเหล่านั้น
แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนไม่ง่ายเลยที่จะโต้แย้ง หล่อนได้แต่ชี้นิ้วไปทางหลินม่าย พร้อมกับพูดจาข่มขู่อย่างชั่วร้าย “ถ้าเธอไม่ยอมช่วยฉัน วันนี้ฉันจะแขวนคอตัวเองที่หน้าประตูบ้านของเธอซะ”
หลินม่ายเคยพบเจอกับฉากการข่มขู่ทำนองเดียวกันหลายครั้งตั้งแต่สมัยที่อยู่ในหมู่บ้านซานหยาง
เธอตอบกลับเบา ๆ “เชิญตามสบาย”
หลังจากนั้นจึงพาเคอจื่อฉิงเดินอ้อมพวกเขาเข้าไปในสวนหลังบ้าน
แม่สามีของทังชุ่นอิงคิดว่าตัวเองพยายามระงับอารมณ์มาขอร้องดี ๆ ก็แล้ว แต่หลินม่ายก็ยังปฏิเสธที่จะช่วย ตอนนี้หล่อนจึงระงับความโทสะไว้ไม่ได้อีก
หล่อนคว้าอิฐก้อนหนึ่งขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะหลินม่าย เตรียมทุบมันลงไปอย่างสุดแรง
เพื่อนบ้านโดยรอบต่างก็อุทานลั่น
ใครคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหมายจะยื้อแย่งอิฐก้อนนั้นมาจากมือของแม่สามีทังชุ่นอิง แต่ก็ยังช้าเกินไป
ในขณะที่ก้อนอิฐจวนจะกระแทกท้ายทอยของหลินม่ายอยู่รอมร่อ หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ก็วาดขาขึ้นสูง เตะแม่สามีทังชุ่นอิงจนร่างกระเด็นออกไปไกล
หลินม่ายมองกลับไปที่หญิงชราด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขอให้เพื่อนบ้านช่วยไปแจ้งความทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เพื่อนบ้านคนเดิมก็กลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็พาสามีและแม่สามีของทังชุ่นอิงกลับไปอบรมทางกฎหมายต่อไป
หลินม่ายขอบคุณเพื่อนบ้านที่อุตส่าห์เป็นธุระให้ จากนั้นก็พาเคอจื่อฉิงเข้าบ้าน
ทันทีที่เข้ามาในบ้านแล้ว เคอจื่อฉิงก็ถอดรองเท้าส้นสูงออกทีละข้าง
เมื่อฝ่าเท้าก้าวได้ย่ำเหยียบบนพื้นกระเบื้องที่เรียบเสมอกัน ร่างกายของหล่อนก็สัมผัสถึงความผ่อนคลายเหมือนเดินอยู่บนปุยเมฆ
ผู้หญิงกับรองเท้าส้นสูงเป็นเหมือนคู่รักคู่แค้น สวมแล้วสวยสง่าแต่ก็ปวดส้นเกร็งน่องในเวลาเดียวกัน
เคอจื่อฉิงเดินไปหาหลินม่ายแล้วตบไหล่เธอราวกับจะปลอบใจ “ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้อยู่ด้วย หัวเธอคงแตกเพราะก้อนอิฐที่ยายป้านั่นทุ่มเข้าใส่แล้ว”
พูดแล้วก็ส่ายหน้า “เธอจะปล่อยให้ตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ได้ ต้องฝึกยูโดสักหน่อย ไม่งั้นก็ฝึกศิลปะการป้องกันตัวอื่น ๆ ไม่ต้องฝึกจนกลายเป็นมืออาชีพแบบฉันหรอก อย่างน้อยก็ควรมีทักษะติดตัวไว้บ้าง”
หลินม่ายรู้สึกว่าสิ่งที่หล่อนพูดมีเหตุผลมาก คิดว่าหลังจากวันชาติผ่านไปแล้ว อาจต้องหาครูฝึกสอนศิลปะการต่อสู้มาสอนทักษะการป้องกันตัวเสียหน่อย
เคอจื่อฉิงมองเธอด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ไม่เห็นต้องรอให้ผ่านวันหยุดไปก่อนเลย? ฉันสอนทักษะพื้นฐานให้เธอตอนนี้เลยยังได้”
ว่าแล้วหล่อนก็พาดท่อนขาขาวเรียวเหมือนหิมะไว้บนผนัง จากนั้นก็ดันขาขึ้นไปให้สูง ไม่ลืมหันมารบเร้าให้หลินม่ายทำตาม
โจวฉายอวิ๋นซึ่งเพิ่งกลับจากการเรียนภาคค่ำเปิดประตูเข้ามาพอดี พอสายตาปะทะเข้ากับกางเกงชั้นในของเคอจื่อฉิง ก็รู้สึกอับอายแทนจนหน้าแดงก่ำ
คนนี้น่ะหรือเพื่อนสนิทของม่ายจื่อที่มาจากกว่างโจว?
หน้าตาก็ออกจะสะสวย ทำไมถึงได้ไม่รักนวลสงวนตัวแบบนี้นะ?
เคอจื่อฉิงคิดว่าการโชว์กางเกงชั้นในต่อหน้าคนอื่นที่เป็นเพศเดียวกันไม่เห็นจะมีอะไรน่าอาย ดังนั้นจึงหันไปทักทายโจวฉายอวิ๋นด้วยสีหน้าเป็นมิตร
หลินม่ายชี้ไปที่เนื้อแกะหันซึ่งเธอห่อกลับมาฝากอีกฝ่าย เพื่อที่เธอจะได้กินมันตอนยังอุ่น ๆ ถึงตอนนี้มันจะไม่อุ่นร้อนเท่ากับอยู่ในร้านอาหารแล้วก็ตาม
โจวฉายอวิ๋นเข้าครัวไปล้างมือ ทันทีที่กัดกินเนื้อแกะหันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปพูดกับหลินม่าย “จริงด้วย คำตัดสินของศาลในคดีระหว่างเธอกับแม่ของหวังหรงประกาศแล้วนะ เอกสารคำพิพากษาถูกส่งมาเมื่อช่วงบ่าย ฉันเซ็นรับให้เรียบร้อยตอนที่เธอไม่อยู่”
หล่อนวางชิ้นเนื้อแกะหันลง แล้วเดินเข้าไปในห้องตัวเองเพื่อหยิบเอกสารคำพิพากษาออกมาส่งให้หลินม่าย
หลินม่ายเปิดอ่าน คดีความของแม่หรงข้อหาหมิ่นประมาทแบรนด์Uniqueมีบทลงโทษที่สมเหตุสมผล
นอกจากโทษจำคุกจะขยายออกไปเป็นเวลาครึ่งปีแล้ว ความสูญเสียทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้นกับUniqueเนื่องจากการหมิ่นประมาท ยังจะได้รับการชดเชยเป็นเงินสามพันหยวน
ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็อดกังวลไม่ได้ แม่หรงคงไม่มีทางหาเงินสามพันหยวนมาจ่ายได้แน่ ๆ
หล่อนจะหามาจ่ายได้สักเท่าไรกันเชียว?
แต่เมื่อเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวอาจสร้างความสั่นคลอนให้กับงานแต่งของหวังหรงในวันพรุ่งนี้ หลินม่ายจึงไม่สนใจเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นอีก
ถึงตอนนี้หวังหรงจะตกอยู่ในสภาพน่ารันทดพออยู่แล้ว เนื่องจากบรรดาญาติ ๆ ของหล่อนโดนจับเข้าคุกไปทั้งหมด หลินม่ายก็ยังอยากให้หล่อนประสบความอับอายขายหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ เลยคิดว่าควรมอบ ‘เซอร์ไพรส์’ ที่น่าจดจำให้กับหล่อนในงานแต่งของตัวเอง
วันพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญในชีวิตของหวังหรงแท้ ๆ แต่หล่อนกลับไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ทั้งพ่อและแม่ของหล่อนถูกตัดสินจำคุกคดีพิมพ์บัตรกำนัลปลอมเป็นรายแรกของประเทศ กลายเป็นผู้โด่งดังในทางเสื่อมเสีย
ถึงหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของพวกเขา แต่หล่อนก็เอือมระอากับการถูกชี้หน้านินทาเมื่อออกไปข้างนอกเต็มที
ด้วยเหตุนี้ อาและสามีของหล่อนจึงปฏิเสธไม่ไปร่วมงานแต่งงาน เพราะไม่อยากถูกโยงเข้าไปพัวพันกับพ่อแม่ของหลานสาว
แผนการเดิมของหวังหรง นอกจากหล่อนจะเชิญครอบครัวของอาไปร่วมงานแต่งแล้ว ยังฝากหวังเหวินฟางไปเชิญครอบครัวของฟางเว่ยตั่งและครอบครัวของฟางเว่ยหมินมาด้วย
ตราบใดที่มีสามครอบครัวนี้ พวกเขาก็จะสามารถเป็นหน้าเป็นตาให้หล่อนได้
แน่นอนว่าจะยิ่งเป็นเกียรติเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณปู่ฟางและภรรยาของเขาไปร่วมงานแต่งของหล่อนเช่นเดียวกัน
แต่ตอนนี้ แผนการทั้งหมดกลับล่มไม่เป็นท่า
ทางฝั่งของหวังหรงไม่มีแม้แต่ญาติหรือเพื่อนมาร่วมแสดงความยินดี
หล่อนได้แต่คาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่ากวนหย่งหัวจะสามารถเชิญข้าราชการระดับสูง หรือนักธุรกิจรายใหญ่มาร่วมงานแต่งงานของหล่อนได้
กวนหย่งหัวเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกง สำหรับเขาแล้ว การเชิญข้าราชการระดับสูงหรือนักธุรกิจรายใหญ่มาร่วมงานไม่น่าใช่เรื่องยาก
ขณะที่หวังหรงกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในห้องนอนตัวเอง แม่เฒ่าหวังก็ผลักประตูห้องเปิดเข้ามา
หลังจากพ่อแม่ของหล่อนโดนถูกจับ แม้กระทั่งแม่เฒ่าหวังก็ถูกคุมขังอยู่ในศูนย์กักกันด้วยความผิดทางอาญา หวังหรงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว จึงโหยหาความอบอุ่นจากญาติ ๆ ยิ่งกว่าอะไร
เมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าหวังเดินเข้ามา หล่อนก็รีบลุกไปประคองแม่เฒ่าหวังพร้อมกับถามว่า “คุณย่า ทำไมดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกคะ?”
แม่เฒ่าหวังถูกคุมขังอยู่ในศูนย์กักกันนานกว่าสิบวัน สภาพของนางดูแก่โทรมลงไปมาก
นางหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ “ฉันกลับมาหลายวันแล้วก็จริง แต่เพราะเป็นห่วงพ่อแม่ของเธอ เลยลืมถามไปซะสนิท เธอกับคุณกวนจดทะเบียนสมรสกันแล้วหรือยัง?”
หวังหรงส่ายหัว “ยังค่ะ…”
แม่เฒ่าหวังเป็นกังวลทันที “ทำไมพวกเธอยังไม่ไปจดทะเบียนสมรสกันอีก? การแต่งงานโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสแทบใช้อะไรเป็นหลักประกันไม่ได้เลยนะ!”
หวังหรงอธิบายว่า “พี่กวนบอกให้เราสองคนไปจดทะเบียนสมรสกันที่ฮ่องกงดีกว่า จะได้ง่ายต่อการทำเรื่องขอเป็นพลเมืองฮ่องกงด้วย เขาก็เลยไม่ได้พาฉันไปจดทะเบียนสมรสในจีน”
แม่เฒ่าหวังฟังแล้วก็สังหรณ์ใจว่าไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย และไม่สามารถทำใจให้ผ่อนคลายได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เกือบไปแล้วม่ายจื่อเอ๊ย ไม่มีจื่อฉิงอยู่ด้วยนี่หัวแบะไปแล้วสิเนี่ย
ที่ยังไม่จดทะเบียนกับยัยหรงก็เพราะว่าถ้าจดแล้วจะส่งเข้าโรงเชือดเอาอวัยวะมาเปลี่ยนให้ลูกตัวเองไม่ได้น่ะสิ
ไหหม่า(海馬)