ตอนที่ 528 งานแต่งอันยิ่งใหญ่ของหวังหรง
วันชาติอากาศดี บรรยากาศไม่ร้อนอบอ้าว ลมพัดเฉื่อยเย็นสบาย
เพื่อนเจ้าสาวหน้าตาเรียบ ๆ สองคนที่หวังหรงจ้างให้มาช่วยตัวเองแต่งตัว มาถึงงานกันตั้งแต่เช้า
ประมาณหกโมงครึ่ง หวังหรงก็เริ่มแต่งตัว
วันนี้หล่อนสวมชุดแต่งงานสีขาว ซึ่งในช่วงปี 1980 มีไม่กี่คนที่นิยมสวมใส่
ชุดแต่งงานนี้เป็นกวนหย่งหัวอีกเช่นเคยที่ซื้อมาให้จากฮ่องกง รูปแบบการตัดเย็บดี เมื่อสวมใส่แล้วยิ่งดูสวยงาม
นอกจากนี้หล่อนยังประโคมเครื่องเพชรชุดใหญ่ ซึ่งกวนหย่งหัวบอกว่าเครื่องเพชรแค่ชุดเดียวมีราคาหลายแสนหยวน
ถึงพ่อ แม่ และพี่ชายของหล่อนจะอยู่อย่างอดอยากในคุกก็ตาม แต่เรื่องดังกล่าวไม่ทำให้นิสัยโอ้อวดของหวังหรงต่อหน้าเพื่อนเจ้าสาวที่มาร่วมงานลดลงแต่อย่างใด
เยี่ยนหง ลี่ฉิน และเพื่อนสาวรุ่นน้องอีกหลายคนต่างอิจฉาริษยาหล่อน ภายในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชังในวาสนาของอีกฝ่าย
สมาชิกในครอบครัวหวังหรงถูกตัดสินโทษจำคุกข้อหาอาชญากรรมร้ายแรงหลายคน แต่นักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนี้ไม่เคยทอดทิ้ง แถมยังไม่ยกเลิกงานแต่งงาน คนสวยมักได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าเสมอเลยสินะ
แม่เฒ่าหวังนั่งอยู่ด้านข้างโดยไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า เหม่อมองไปทางหวังหรงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
นางอดรู้สึกขัดใจไม่ได้ ใครเขานุ่งขาวห่มขาวมาร่วมงานแต่งงานกัน
พอเจ้าบ่าวอย่างกวนหย่งหัวเข้ามาเจอหน้าเจ้าสาว แม่เฒ่าหวังก็อ้างว่าตัวเองเวียนหัว ถือโอกาสไม่อยู่ร่วมงานแต่งของหวังหรงอีก
…
งานหมั้นแตกต่างจากงานแต่ง พูดให้ชัดก็คืองานหมั้นนั้นเรียบง่ายกว่ามาก มีแค่สองขั้นตอนคือแลกแหวนและดื่มสุรามงคลฉลองหมั้น
เป็นไปไม่ได้ที่หลินม่ายจะเชิญพ่อแม่เจ้าปัญหาอย่างหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงมาร่วมงานแต่งงานของตัวเอง ดังนั้นพิธีแลกแหวนจึงถูกเว้นว่างไว้ คงเหลือแค่งานเลี้ยงฉลองหมั้นเท่านั้น
ดังนั้นในตอนเช้าหลินม่ายจึงวางแผนว่าจะออกไปดูกิจการของตัวเองแบบรวดเร็ว
แต่เคอจื่อฉิงอุตส่าห์เดินทางมาเยือนเจียงเฉิงทั้งที อย่างน้อยก็ควรพาหล่อนไปเที่ยวที่ศาลาฉิงชวน หวงเฮ่อโหลว หรือกู่ฉินไถ่สักหน่อย
ถึงโจวฉายอวิ๋นจะว่างอยู่พอดี แต่หล่อนก็ไม่เคยไปสถานที่ทั้งสามแห่งเลยด้วยซ้ำ แล้วจะรับหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวของเคอจื่อฉิงได้อย่างไร?
หลังจากคิดเรื่องนี้ หลินม่ายก็โทรหาฟางจั๋วเยวี่ย เพื่อขอให้เขาช่วยพาเคอจื่อฉิงไปเที่ยวตามจุดชมวิวทั้งสามแห่ง
ในเมื่อฟางจั๋วเยวี่ยกับหนิวลี่ลี่เข้ากันไม่ได้แน่แล้ว ถ้าอย่างนั้นลองให้เขาไปเที่ยวสองต่อสองกับเคอจื่อฉิงดู อยากรู้ว่าทั้งสองจะตกหลุมรักกันได้หรือเปล่า
ฟางจั๋วเยวี่ยรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่เขากลับคิดจะผลักภาระไปให้เฉินเฟิงแทน
เขาอ้างกับอีกฝ่ายว่า พี่สะใภ้ไม่ว่างพาแขกคนสำคัญของเธอไปเที่ยวในเจียงเฉิง จึงถามเขาว่าเขาสามารถพาเคอจื่อฉิงไปเดินเล่นชมวิวหน่อยได้ไหม
ผู้ชายไม่มีลางสังหรณ์บางอย่างเหมือนกับผู้หญิง เฉินเฟิงจึงตงิดใจอยู่บ้างว่าฟางจั๋วเยวี่ยอาจไม่ชอบหน้าเขา
การที่ฟางจั๋วเยวี่ยขอให้เขาพาเคอจื่อฉิงไปเที่ยวในเจียงเฉิง ก็คงไม่พ้นมีเจตนาร้ายแอบแฝงเช่นกัน
แต่เฉินเฟิงคิดว่าตราบใดที่ตัวเองยืนตรงไม่กลัวเงาเอียง กลอุบายของอีกฝ่ายก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร
ในเมื่อฟางจั๋วเยวี่ยกล้าเล่นแง่กับเขา เขาก็กล้าทุบอีกฝ่ายจนหน้าบวมเป็นซาลาเปาเหมือนกัน ต่อให้พี่ชายของอีกฝ่ายจะเป็นถึงศาสตราจารย์ก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินเฟิงก็ยอมตกลงอย่างง่ายดาย
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็คว้าจักรยานที่ซ่อมเรียบร้อยแล้วไปตรวจดูกิจการของตัวเอง
เธอมุ่งเน้นไปที่ร้านแฟรนไชส์ Unique ของฟางถิงเป็นพิเศษ
เพื่อลดต้นทุน ฟางถิงจึงจ้างพนักงานขายแค่สองคนให้เวียนกันทำงานเป็นสองกะ
ส่วนตัวหล่อนเองตั้งใจว่าจะอยู่เฝ้าร้านตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
เมื่อหลินม่ายเดินเข้าไปก็เห็นว่าภายในร้านมีลูกค้าแน่นขนัด
บางคนกำลังลองเสื้อ บางคนกำลังเลือกซื้อ บางคนก็กำลังจ่ายเงิน ธุรกิจค่อนข้างคึกคักทีเดียว
ลูกค้าหลายคนนอกจากจะซื้อเสื้อผ้าแล้ว ยังซื้อถุงน่องกลับไปอีกสองคู่ รวมถึงลิปสติก และสินค้าอื่น ๆ
ฉลากบนตัวเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวนำเข้าพวกนั้นเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด ซื้อไว้ไม่เสียหาย สามารถอวดเพื่อนได้ยาว ๆ
ฟางถิงให้บริการลูกค้าหลายรายภายในชั่วอึดใจเดียว หลังจากนั้นหล่อนถึงมีเวลาปลีกตัวมาคุยกับหลินม่าย
หล่อนถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันสำคัญของเธอไม่ใช่เหรอ ทำไมยังแวะมาตรวจงานอยู่อีก? เธอทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?”
หลินม่ายยิ้ม “เธอก็ทำงานหนักเหมือนกันไม่ใช่หรือไง เป็นเจ้าของร้านแต่กลับลงมือขายเสื้อผ้าเอง”
เธอให้คำแนะนำฟางถิงเกี่ยวกับการจัดวางสินค้าในร้านก่อนจะขอตัวจากไป
พอกลับมาถึงบ้าน เถาจืออวิ๋นและเพื่อนสาวคนอื่น ๆ ก็รีบมาช่วยเธอแต่งหน้าทำผม
ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงหลินม่ายถึงแต่งตัวเสร็จ
เธอสวมชุดเดรสเข้ารูปที่เถาจืออวิ๋นตัดให้ ปล่อยผมยาวสลวยพาดบ่า ใส่ที่คาดผมเรียบหรูไว้บนศีรษะ และสวมรองเท้าส้นสูงสีขาว
นอกจากนี้ยังแต่งแต้มเครื่องสำอางบนใบหน้าอย่างเบาบาง
สิบเอ็ดโมงตรง หลินม่ายจึงพากลุ่มเพื่อนสาวเดินทางไปยังภัตตาคารอ้ายฉินไห่เพื่อดื่มสุรามงคลฉลองหมั้น
เพื่อนสาวสองสามคนเปลี่ยนมาสวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แล้วเก็บเสื้อผ้าชุดเดิมลงกระเป๋า ตอนนี้พวกเธอดูสวยสง่ามากกว่าตอนที่สวมชุดเดิมเป็นไหน ๆ
หญิงสาวกลุ่มหนึ่งเดินเลียบไปตามถนนเจี่ยฟาง ความสวยสดใสของพวกเธอสร้างความสะดุดตาให้ทุกคนที่พบเห็น
เพื่อนบ้านทักทายหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม ถามว่าพวกเธอกำลังจะไปไหนกัน
หลินม่ายเห็นพวกเขาหยิบยื่นไมตรีให้ จึงบอกพวกเขาด้วยรอยยิ้มไปตามตรงว่าวันนี้เป็นวันหมั้นของเธอ
เพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างแสดงความยินดีกับเธอยกใหญ่
หลินม่ายพูดคุยกับพวกเขาสองสามคำก่อนจะจากไป
เมื่อมาถึงภัตตาคารอ้ายฉินไห่ หลินม่ายก็พบว่าโรงแรมที่หวังหรงใช้จัดงานแต่งงานนั้นอยู่ติดกันกับภัตตาคารอ้ายฉินไห่เลย
หวังหรงและกวนหย่งหัวยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงแรมเพื่อต้อนรับแขก สายตาของพวกเขาบังเอิญไปสบประสานกับหลินม่ายเข้าพอดี
หวังหรงหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้า
พ่อหรงและแม่หรงต่างก็ติดคุกเพราะสร้างปัญหาให้กับหลินม่าย ความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจึงน้อยลง
ก่อนหน้านี้หล่อนต้องหาทางทำให้หลินม่ายได้รับความลำบากอยู่เสมอ แต่ตอนนี้หล่อนกลับพยายามหลีกเลี่ยงเธอให้ไกล
ในที่สุดหวังหรงก็รู้จักฉุกคิดเสียที ว่าทางเดียวที่จะช่วยให้ตัวเองยังมีชีวิตรอดต่อไปได้ คืออยู่ให้ห่างจากนังนั่น
แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นคือโรงแรมที่หล่อนใช้จัดงานแต่งนั้นดูธรรมดาเกินไป ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเชิดหน้าชูตาเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินม่ายได้
หลินม่ายส่งยิ้มอย่างมีนัยยะบางอย่างไปให้หวังหรง ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในภัตตาคารอ้ายฉินไห่ ขณะที่ชายหนุ่มหน้าตาดุดันร่างถึกทะมึนราวหอคอยเหล็กเดินตรงมาหาหวังหรง ถามด้วยท่าทางหยาบคาย “คุณชื่อหวังหรงใช่ไหม?”
หวังหรงไม่กล้าตอบ ถามกลับไปว่า “คุณเป็นใคร?”
ชายคนหนึ่งหยิบเอกสารคำพิพากษาออกมาแสดงต่อหน้าแขกที่กำลังจะเดินเข้าไปในโรงแรมให้มองเห็นโดยทั่วกัน
เขาพูดด้วยเสียงอันดังผ่านทางโทรโข่งอีกทีหนึ่ง “ทั้งพ่อและแม่ของคุณถูกตัดสินโทษจำคุก พวกเขาจะยังไม่สามารถออกมาสู่โลกภายนอกได้อีกหลายปี ถึงอย่างนั้นศาลก็มีคำตัดสินให้แม่ของคุณชดใช้ค่าเสียหายทางเศรษฐกิจให้กับ Unique จำนวนสามพันหยวน ถึงแม่ของคุณจะได้รับโทษจำคุกไปแล้ว ก็ใช่ว่าคุณจะรอดพ้นจากความรับผิดชอบนี้ คุณต้องเตรียมเงินสามพันหยวนเพื่อจ่ายค่าชดใช้แทนแม่ของคุณซะ ไม่อย่างนั้น เราจะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อสั่งบังคับคดี”
หลังจากนั้น เขาก็เดินจากไปพร้อมกับพรรคพวก
หลังจากได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูด แขกทุกคนต่างก็มองไปที่หวังหรงด้วยความสงสัย
หวังหรงรู้สึกอึดอัดมากกับสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา
นอกจากหล่อนแล้ว กวนหย่งหัวเองก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกัน
เขารู้สึกขอบคุณอย่างลับ ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ไปเชิญข้าราชการระดับสูงหรือนักธุรกิจรายใหญ่มาร่วมงาน
เขาเชิญเฉพาะพนักงานและคนงานฝ่ายผลิตในโรงงานของตัวเองมาสร้างตัวเลข ไม่อย่างนั้นวันนี้เขาคงเสียหน้าอย่างยากจะกู้คืน
หลินม่ายแอบผิดหวังนิดหน่อย เธอเป็นคนบอกให้ติงไห่เฟิงจัดหาคนมาอ่านคำตัดสินของศาลต่อหน้าหวังหรงในงานแต่งงานของหล่อนเอง
แต่เขากลับเลือกเวลาไม่เหมาะสม พวกเขาควรบุกเข้าไปอ่านคำตัดสินในช่วงงานเลี้ยงฉลอง ไม่ใช่ตอนที่หล่อนกำลังต้อนรับแขก
พอเวลาต่างกัน ผลลัพธ์ก็ออกมาต่างกันด้วย ความตื่นตระหนกและเสียหน้าของหวังหรงย่อมไม่เท่ากัน
เธอต้องกลับไปคุยกับติงไห่เฟิงเสียใหม่ ขอให้เขาจัดลำดับเวลาให้เหมาะสม
หลินม่าย เถาจืออวิ๋น และคนอื่น ๆ เดินเข้าไปในภัตตาคารอ้ายฉินไห่ เวลานี้แขกยังเดินทางมากันไม่มากนัก
แต่ติงไห่เฟิงมาถึงนานแล้ว เขาคอยช่วยเหลือฟางจั๋วหรานในการดูแลและบริการแขกที่มาถึงงานเป็นครั้งคราว
หลินม่ายกวักมือเรียกติงไห่เฟิง ติงไห่เฟิงจึงรีบวิ่งไปหาเธอทันที
หลินม่ายกระซิบกระซาบกับเขาสองสามคำ ก่อนที่เขาจะวิ่งออกจากภัตตาคารไป
ฟางจั๋วหรานในวันนี้หล่อเหลาและทรงเสน่ห์เป็นพิเศษ ถึงแม้เขาจะสวมเพียงชุดสูทสีดำทรงคลาสสิกทับเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้ด้านใน แต่เขาก็ยังดูดีมาก
เขากระซิบกับหลินม่ายที่เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ “เมื่อกี้คุณพูดอะไรกับติงไห่เฟิง?”
หลินม่ายบอกเขาไปตามความจริง
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าหลังจากได้ยินแบบนั้น “ทำดีมาก!”
หลินม่ายส่งยิ้มให้เขาอย่างมีความสุข
เธอชื่นใจมากที่เขาคอยสนับสนุนอยู่เคียงข้างเธอทุกการตัดสินใจ
ทันใดนั้น เธอก็เหลือบไปเห็นฟางจั๋วเยวี่ย
เขากำลังเล่นกับโต้วโต้วและฉีฉี แต่ข้างกายเขากลับไม่มีเคอจื่อฉิงอยู่ตรงนั้น
หลินม่ายร้อนใจขึ้นมาทันที
น้องชายคนนี้ไว้วางใจไม่ได้เลย เขามาถึงงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาพาเคอจื่อฉิงไปทิ้งไว้ที่ไหน
เธอเดินไปหาฟางจั๋วเยวี่ยด้วยความไม่พอใจ ถามด้วยน้ำเสียงไร้ความอ่อนโยน “จื่อฉิงอยู่ไหน?”
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหญิงสาวที่คุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง “เธอตามหาฉันอยู่เหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………… สารจากผู้แปล
งานแต่งจะกลายเป็นงานฝังตัวเองแล้วไหมยัยหรง รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
ไหหม่า(海馬)