ในที่สุดฮูหยินสามก็ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายเหมือนที่นางวาดฝันเอาไว้ นางจะยอมกลับมาทำไม แต่ไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ ถึงแม้ว่านางจะไม่อยากกลับมาแค่ไหน นางก็ไม่มีทางคัดค้านคำพูดของไท่ฮูหยินแน่นอน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าสองสามวันนี้พี่สะใภ้สามคงต้องลำบากแล้ว!”
จู๋เซียงได้ยินเช่นนี้ก็เม้มปากยิ้ม นางพูดเบาๆ “ได้ยินมาว่าเมื่อวานฮูหยินสามกลับไปที่เรือนก็โมโหใส่สาวใช้เพียงเพราะว่าน้ำชาที่สาวใช้ชงมาให้เข้มเกินไปเจ้าค่ะ เช้าวันนี้ก็เรียกสะใภ้กานเหล่าเฉวียนไปหา บอกให้สะใภ้กานเหล่าเฉวียนส่งจดหมายไปให้คุณชายสามที่อยู่ที่มณฑลซานหยางอีกด้วย”
ปรึกษากับคุณชายสามว่าจะจัดการเรื่องนี้เช่นไรกระมัง
สืออีเหนียงครุ่นคิด
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋เดินออกมาจากห้องชำระ นางก็หยุดพูดทันที จากนั้นก็บอกจู๋เซียงว่า “ไปดูว่าอาหารเช้าพร้อมแล้วหรือยัง”
วิพากษ์วิจารณ์ฮูหยินสามลับหลังเช่นนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
จู๋เซียงคำนับพลางขานรับ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วเดินมานั่งบนเตียงเตา จับมือเล็กๆ ที่อ้วนท้วมของจิ่นเกอ
จิ่นเกอก็รีบปีนเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ทันที
ท่าทีของเขาทำเอาสวีลิ่งอี๋หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
จากนั้นสวีซื่ออวี้ก็มาคารวะ
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าวันนี้เขาจะมาเช้าขนาดนี้ นางรีบไปอุ้มจิ่นเกอ
แต่จิ่นเกอกลับจับเสื้อของบิดาไม่ยอมปล่อยมือ พลางร้องโวยวายไม่ยอมให้สืออีเหนียงอุ้ม
เขาชอบอยู่กับสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋เองก็แอบดีใจ “ให้เขานั่งตรงนี้เถิด!” ช่วยพูดกอบกู้สถานการณ์ให้จิ่นเกอ
ประเดี๋ยวสวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าเคร่งขรึมถามสวีซื่ออวี้ จิ่นเกอกระโดดโลดเต้นอยู่ในอ้อนแขนของเขา สวีซื่ออวี้ที่ถูกตำหนิจะคิดเช่นไร
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปแกะนิ้วของจิ่นเกอ “ท่านโหวและอวี้เกอมีเรื่องสำคัญต้องคุยกันเจ้าค่ะ!”
จิ่นเกอหน้าแดง แต่กลับไม่ยอมปล่อยมือ
สืออีเหนียงไม่เคยเจอเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้มาก่อน นางหน้าแดงขึ้นมา
สองแม่ลูกกำลังเบิกตากว้างใส่กัน
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ชอบใจ ส่วนสวีซื่ออวี้ก็ยิ้มมุมปาก
“ท่านแม่ ให้น้องหกนั่งตรงนั้นเถิดขอรับ!” เขาไม่อยากทำให้สืออีเหนียงอับอาย “น้องหกยังเด็ก พอเขาโตขึ้นเขาก็จะไม่เป็นเช่นนี้แล้ว”
สวีลิ่งอี๋บอกสืออีเหนียง “เจ้าไม่ใช่ว่าจะไปดูอาหารเช้าหรือ” จากนั้นก็ถามสวีซื้ออวี้ “เจ้าทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง ประเดี๋ยวทานด้วยกันเถิด!”
สวีซื่ออวี้ทานมาแล้ว แต่บิดาถามเช่นนี้ เขาจึงขานรับ “ขอรับ” ด้วยท่าทางเชื่อฟัง
สืออีเหนียงมองดูจิ่นเกอที่ทำสีหน้าไม่ยินยอม นางรู้ว่าหากตัวเองยังยืนกรานก็จะทำให้สถานการณ์แย่ลง นางจึงตอบกลับเบาๆ จากนั้นก็ถือโอกาสออกไปดูอาหารเช้า
จิ่นเกอหัวเราะคิกคักแล้วกระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋อีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋อุ้มเขาด้วยความเอือมระอาปนชอบอกชอบใจ จากนั้นก็ตีก้นเขาเบาๆ “ต่อไปจะทำเช่นนี้ไม่ได้แล้วนะ!”
ไม่เจ็บเลยสักนิด จิ่นเกอจึงคิดว่าท่านพ่อกำลังเล่นกับตัวเอง เขาหันหน้าไปยิ้มให้สวีลิ่งอี๋ จับมือสวีลิ่งอี๋ออก จากนั้นก็จับแขนของสวีลิ่งอี๋อ้อมไปข้างหลัง ดึงเสื้อของสวีลิ่งอี๋เพื่อจะปีนขึ้นไปบนหลังเขา
สวีซื่ออวี้ตกใจ
จิ่นเกอจะกล้าหาญเกินไปแล้ว
เขารีบเดินเข้าไปจับมือเล็กๆ ของจิ่นเกอ แต่กลับไม่กล้าพูดตรงๆ ว่า ‘อย่าปีนขึ้นไปบนหลังของท่านพ่อ’ เขาจึงจับมือจิ่นเกอแล้วพูดว่า “ระวังตก!”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านี่เป็นผลของการที่เขาเคยให้จิ่นเกอเล่น ‘ขี่ม้า’ บนคอของตัวเอง แต่อยู่ต่อหน้าบุตรชายคนโต เขาจึงค่อนข้างอึดอัด บอกสวีซื่ออวี้ว่า “พาเขาไปหาเเม่นมเถิด!”
สวีซื่ออวี้ขานรับ “ขอรับ” ด้วยความเคารพ จากนั้นก็พาจิ่นเกอไปหาแม่นมกู้
สวีลิ่งอี๋ชี้ไปที่เก้าอี้ไทซือข้างๆ “นั่งลงคุยกันเถิด!”
แม่นมกู้รีบอุ้มจิ่นเกอออกไป
พอออกไปก็เจอเข้ากับสืออีเหนียงพอดี
“ท่านโหวกำลังคุยกับคุณชายน้อยสองเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่รบกวนพวกเขา นางยิ้มแล้วอุ้มจิ่นเกอ พาเขาไปเล่นบนเตียงเตาข้างหน้าต่างที่ห้องปีก
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ก็มีเสียงการเคลื่อนไหวในห้องข้างใน
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกโต๊เตียงเตาเข้าไปรับใช้สองพ่อลูกทานข้าวเช้า
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เคร่งขรึมเหมือนเดิม สีหน้าของสวีซื่ออวี้ก็เต็มไปด้วยความนอบน้อมเหมือนเดิม พวกเขาสองคนทานข้าวกันอย่างเงียบๆ มีเสียงกระทบกันของชามและช้อนดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว ทำให้บรรยากาศดูจริงจังขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
หลังจากนั้นบรรดาอี๋เหนียงและเด็กๆ ก็พากันมาคารวะ สวีลิ่งอี๋ทักทายพวกเขาสองสามประโยค จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
จิ่นเกอยิ่งโตก็ยิ่งน่าเอ็นดู ทุกครั้งที่สืออีเหนียงพาเขาไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินมักจะอุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างสนิทสนมอยู่นาน ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ไท่ฮูหยินบอกให้แม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอไปหาตัวเองทันที ลูบเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นว่าสวมเสื้อผ้ามีความหนาที่พอดีแล้ว สายตาของนางก็มีความพอใจ พยักหน้าเบาๆ พลางอุ้มจิ่นเกอพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง “งานวันเกิดของจิ่นเกอ พวกเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคนที่พูดควรเป็นสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร
สวีลิ่งอี๋พูดตามที่พวกเขาตกลงกันแล้ว “อยากจัดเหมือนวันครบหนึ่งร้อยวัน เชิญเพียงญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมมงานขอรับ”
“ดีเหมือนกัน!” ไท่ฮูหยินพูดเบาๆ “เขายังเด็ก ฟุ่มเฟือยเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี!”
สืออีเหนียงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไท่ฮูหยินพูดถึงเรื่องจับเสี่ยงทายด้วยความสนอกสนใจ “…ถึงตอนนั้นนำโต๊ะยาวไม้ประดู่ในห้องเก็บของออกมา…สกุลของเราเป็นสกุลขุนนางทหาร นอกจากของใช้ทั่วไปแล้ว ยังต้องมีมีดมีดาบ ข้าคิดว่ามีดเล็กๆ ที่คุณชายห้านำมาแขวนวันนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งของตกแต่งโดยเฉพาะ…แล้วยังมีลูกคิด ก็นำมาวางไว้ด้วยเถิด…” ในขณะที่นางกำลังพูดอย่างสนุกสนาน ก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านโหว ไท่ฮูหยิน ฮูหยินขอรับ เหลยกงกงมาขอรับ!”
เหลยกงกงคือขันทีในพระตำหนักคุนหนิง หลังจากที่ไท่เฮาสิ้นพระชนม์ไป เขามักจะมาถามเรื่องสุขภาพร่างกายของไท่ฮูหยินตามคำสั่งของฮองเฮา ไม่ก็นำของขวัญมามอบให้ตลอด
“เชิญเหลยกงกงไปนั่งที่โถงบุปผาเถิด!” สวีลิ่งอี๋ยืนขึ้น “ท่านแม่ ข้าออกไปดูประเดี๋ยว!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า บอกให้ป้าตู้มารับใช้ตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปโถงบุปผากับสืออีเหนียง
เดินมาถึงใต้ชายคาก็ได้ยินเสียงที่ไพเราะของเหลยกงกง “…นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของข้าน้อย ท่านโหวอย่าปฏิเสธเลย!” ดูเหมือนเขาจะมอบอะไรสักอย่างให้สวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินเข้าไปในโถงบุปผา
เหลยกงกงเดินเข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงเห็นกล่องสีแดงเล็กๆ วางอยู่บนโต๊ะในโถงบุปผา
นางคำนับเหลยกงกงตามไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ได้ยินเหลยกงกงยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีกับไท่ฮูหยินด้วยที่ คุณชายน้อยหกกำลังจะจัดงานวันเกิด”
ไท่ฮูหยินพูดคุยกับเขาสองสามประโยค
เหลยกงกงพูดถึงจุดประสงค์ที่มา “…ฮองเฮาบอกว่า งานวันเกิดของคุณชายน้อยหกฮองเฮามาไม่ได้ เลยอยากให้ฮูหยินอุ้มคุณชายน้อยหกไปให้ฮองเฮาดูในพระราชวัง!”
อยากเจอจิ่นเกอ?
สืออีเหนียงตกใจ นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ ก็เห็นสวีลิ่งอี๋กำลังขมวดคิ้วเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สืออีเหนียงกลับไม่กล้ารอช้า สำหรับคนอื่นแล้ว นี่คือความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ นางยิ้มแล้วขอบพระทัยฮองเฮา จากนั้นก็ส่งเหลยกงกงออกไปกับไท่ฮูหยิน
“ฮองเฮายังนึกถึงเจ้า!” ระหว่างทางกลับ ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ “พรุ่งนี้เช้าให้จิ่นเกอสวมชุดใหม่ เจ้าไปส่งพวกเขาเข้าไปในพระราชวังเถิด” พูดอย่างมีความสุข
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับว่า “ขอรับ” กลับไปถึงเรือนก็บอกสืออีเหนียงว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าอุ้มจิ่นเกอเข้าไป อย่าให้คนอื่นมาแตะต้องเขา คารวะเสร็จแล้วก็หาข้ออ้างขอตัวลา อย่าอยู่ที่นั่นนาน” จากนั้นเขาก็ยื่นกล่องสีแดงนั้นให้สืออีเหนียง “ของขวัญวันเกิดของเหลยกงกง”
ข้างในคือกุญแจทอง
ปกติพวกเขาจะเป็นคนมอบของขวัญให้ขันที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับของขวัญจากขันที
สืออีเหนียงยิ้ม รับของขวัญมาแล้วพูดว่า “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าข้าอยากอยู่ในพระราชวัง แต่เกรงว่ากฎเกณฑ์ของพระราชวังจะเข้มงวด ไม่มีทางให้ข้าอยู่ที่นั่นนานแน่นอน!”
นางเองก็ไม่อย่าให้จิ่นเกอต้องรับกรรมนั้นเหมือนกัน
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ไม่ได้ผ่อนคลายลงเพราะคำพูดของนาง เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม จากนั้นก็ออกไปยังห้องหนังสือ
สืออีเหนียงรู้สึกว่าปฏิกิริยาของสวีลิ่งอี๋นั้นมากเกินไป
นางจึงปลอบใจเขายามเย็น “ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านโหวบอก อุ้มจิ่นเกอเอง ไม่ให้ใครแตะต้องตัวเขาเป็นอันขาด”
สวีลิ่งอี๋เห็นสืออีเหนียงมีสีหน้าเป็นกังวล เขาก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วโอบไหล่นาง “เรื่องเข้าไปในพระราชวัง ข้าจะบอกให้ขันทีที่สนิทกับข้าดูแลพวกเจ้า” พูดจบ เขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขามีความลังเล “แต่ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้…”
สืออีเหนียงตกใจ “เช่นนั้นท่านโหวกังวลเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “วันนี้อวี้เกอมาบอกข้าว่าเขายังเด็ก อยากจะตั้งใจเรียนหนังสือ ยังไม่อยากรับใครมาอยู่ในเรือน”
ถึงแม้ว่าจะแอบมีความหวังในใจ แต่เมื่อได้ยินคำตอบของสวีซื่ออวี้เร็วขนาดนี้ สืออีเหนียงก็ยังตกใจอยู่ดี นางนั่งตัวตรงแล้วพูดอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้นท่านโหวคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูประหม่า
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็รู้สึกเห็นใจสวีลิ่งอี๋
เขาคงจะไม่เคยคิดว่าสวีซื่ออวี้จะตัดสินใจเช่นนี้กระมัง!
นางจับแขนสวีลิ่งอี๋เบาๆ
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจ
“ข้าตอบตกลงรับปากเขาแล้ว!” เขามองดูผ้าม่านแล้วพูดเสียงเบา “ความคิดของเขา ข้าก็พอจะรู้ ในเมื่อเขามีปมในใจ ข้าก็ไม่อยากบังคับเขา” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
สืออีเหนียงถอนหายใจ นางขยับเข้าไปใกล้สวีลิ่งอี๋แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “อวี้เกอโตแล้ว แล้วยังเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างเยี่ยนจิงและเล่ออาน เขามีความรู้มากกว่าเด็กทั่วไป เรื่องบางเรื่อง เราก็ต้องฟังความคิดเห็นของเขาบ้างเจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการรับคนเข้าไปอยู่ในเรือนก็เพราะอยากให้อวี้เกอมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันดีหรือว่าไม่ดี ก็เหมือนกับการดื่มน้ำ มีแค่คนที่ดื่มเท่านั้นที่รู้ว่าอุณหภูมิของน้ำเหมาะสมหรือไม่ ตราบใดที่เขาคิดว่าดี เราก็ปล่อยเขาไปเถิด! “
หวังว่าพูดเช่นนี้จะทำให้สวีลิ่งอี๋รู้สึกดีขึ้น
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แต่เขากล้าพูดเช่นนี้กับข้า เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว!” พูดด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง
เพราะเห็นว่าเด็กที่ขานรับ ‘ขอรับ’ ด้วยความเชื่อฟังต่อหน้าตัวเองมาตลอด จู่ๆ ก็มีความคิดเป็นของตัวเองใช่หรือไม่
ดูเหมือนว่าลูกโตขึ้นแล้ว คนที่เป็นพ่อแม่ก็ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกนี้
แต่แค่สวีซื่ออวี้โตเร็วไปหน่อยเท่านั้นเอง!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เราเป็นห่วงเขาเช่นนี้ ก็เพราะหวังว่าต่อไปหากไม่มีพ่อแม่คอยดูแล เขาก็สามารถมีชีวิตที่ดีและดูแลครอบครัวได้ ตอนนี้อวี้เกอมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว ทำอะไรก็มีความกล้าหาญมากขึ้น จุนเกอมีพี่ชายเช่นนี้คอยช่วยเหลือ ต่อไปเขาจะต้องดูแลจวนหย่งผิงโหวได้ดีแน่นอน ท่านโหวควรจะดีใจถึงจะถูก”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“ใช่แล้ว!” พูดพลางถอนหายใจ “ลูกๆ ช่างโตเร็วเสียจริง!”