นี่ไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ดี
สืออีเหนียงยิ้มแล้วชี้ไปที่ขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนที่ทำเป็นรูปร่างดอกไห่ถังบนโต๊ะเตียงเตา “พี่หญิงลองชิมดูสิเจ้าคะ ขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนสดใหม่ของปีนี้” จากนั้นก็พูดอีกว่า “อีกสองวันพี่หญิงต้องมาเร็วกว่านี้นะเจ้าคะ”
อีกสองวันคือวันเกิดของจิ่นเกอ
“แน่นอน แน่นอน” โจวฮูหยินพูด เห็นขนมถั่วลันเตาเหลืองกวนสีเหลือง นางจึงหยิบมาชิมคำหนึ่ง หวานอร่อย นางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย เผยรอยยิ้มที่แผ่วเบาบนใบหน้า “ที่ข้ามาวันนี้ ข้ายังมีของขวัญมาให้จิ่นเกอด้วย” จากนั้นก็หยิบถุงผ้าสีแดงปักลายนกกระเรียนสีขาวกางปีกออกมาจากแขนเสื้อ “นำไปให้จิ่นเกอจับเสี่ยงทาย”
อยู่ต่อหน้าโจวฮูหยิน สืออีเหนียงไม่กล้าเปิดดู แต่นางรู้สึกว่ามันหนัก นางยิ้มแล้วขอบพระคุณโจวฮูหยิน จากนั้นก็พูดถึงอากาศช่วงสองสามวันนี้กับนาง “…ดอกกุ้ยฮวายังออกดอกอยู่เลย อากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนสาม เช่นนี้ ไม่รู้ว่าปีนี้หิมะจะตกหรือไม่”
“บางครั้งก็ไม่มีหิมะ” โจวฮูหยินเป็นคนเยี่ยนจิง นางยิ้ม “ข้าเคยได้ยินคนรุ่นก่อนบอกว่า ฤดูหนาวสมัยฮ่องเต้เจี้ยนอู่ไม่มีหิมะ”
“เช่นนั้นก็ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวน่ะสิเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดกับโจวฮูหยิน ฟังซื่อก็มาพอดี
สืออีเหนียงรีบบอกให้สาวใช้เชิญนางเข้ามา จากนั้นก็แนะนำให้โจวฮูหยินรู้จักฟังซื่อ
“ลูกสะใภ้จวนนี้ หน้าตาสวยงามกันทุกคนเลย” โจวฮูหยินจับมือฟังซื่อชื่นชมนางไม่ขาดสายจนฟังซื่อรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยขอบคุณโจวฮูหยินอย่างนอบน้อม โจวฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า ถามฟังซื่อก็ว่าปกติอ่านหนังสืออะไรบ้าง มีงานอดิเรกอะไรบ้าง พวกนางสองคนพูดคุยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างเข้ากันได้ดี
สาวใช้ของฟังซื่อเดินผ่านนอกผ้าม่านสองสามครั้ง แต่ฟังซื่อก็เมินเฉย สืออีเหนียงจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็น
โจวฮูหยินเห็นว่าตัวเองออกมานานแล้ว จึงขอตัวลา
สืออีเหนียงพาโจวฮูหยินไปขอตัวลากับไท่ฮูหยินที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฟังซื่อก็ไปด้วย
เมื่อส่งโจวฮูหยินออกไปแล้ว ฟังซื่อก็กลับมาที่เรือนหลักกับสืออีเหนียง
“ท่านแม่ไม่ได้อยู่ที่จวนตั้งสองสามปีจึงมีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย ข้าปลีกตัวออกมาไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวก็ถึงวันเกิดของน้องหกแล้ว พึ่งจะมีเวลามานั่งที่เรือนของท่าน” นางยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้นำกล่องไม้ออกมา “นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขอข้ากับและท่านพี่ หวังว่าท่านอาสะใภ้จะไม่รังเกียจ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับมา “ครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้”
“ก็แค่นำของขวัญมาให้น้องหกจับเสี่ยงทายเจ้าค่ะ” ฟังซื่อพูดอย่างมีมารยาท จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงบอกให้จู๋เซียงออกไปส่งนาง จากนั้นก็เรียกชิวอวี่มาถาม “เมื่อครู่สาวใช้ของคุณนายน้อยใหญ่มาหานางเรื่องอะไร”
“บอกว่าฮูหยินสามส่งคนมาถามว่านำของขวัญมาให้ทำไมถึงนานขนาดนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ
คิดไม่ถึงว่าฮูหยินสามจะเข้มงวดกับฟังซื่อขนาดนี้ แต่พฤติกรรมเมื่อครู่ของฟังซื่อ ดูเหมือนนางจะไม่ใช่คนที่ยอมฮูหยินสามและไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่นี้ เกรงว่าคงต้องขัดเกลากันสักหน่อย ต่อไปนางต้องอยู่ให้ห่างจากครอบครัวคุณชายสามเอาไว้!
หลังจากคิดได้เช่นนี้ นางก็แกะกล่องของขวัญของฟังซื่อออก
ข้างในคือหนังสือ ‘บทเรียนปฐมวัย’ ปกหนังสือสีฟ้าอ่อน กระดาษสีเปลือกไข่ไก่ มุมหนังสือม้วนขึ้นเล็กน้อย ดูเก่าไปหน่อย เปิดดูข้างใน ตัวหนังสือสวยงามและเรียบง่าย ทำให้มันดูสะอาดสะอ้านและสบายตา ดูก็รู้ว่ามาจากสกุลที่มีชื่อเสียง
สืออีเหนียงตกใจ
นี่คือหนังสือโบราณ
เงินมีมูลค่า แต่หนังสือโบราณเล่มนี้เงินก็เทียบไม่ได้!
ฮูหยินสามจะรู้ราคาของหนังสือเล่มนี้หรือไม่ หากนางรู้ นางจะยอมนำมามอบให้เป็นของขวัญให้จิ่นเกอได้เช่นไร หากนางไม่รู้ แล้วฟังซื่อบอกฮูหยินสามเช่นไร
และชิวอวี่ที่เห็นสืออีเหนียงถือหนังสือเล่มนั้นเงียบอบู่นาน นางคิดว่าสืออีเหนียงไม่พอใจของขวัญของฟังซื่อ จึงยิ้มแล้วพูดเบาๆ “ฮูหยิน ท่านลองเปิดดูของขวัญของโจวฮูหยินสิเจ้าคะ… “
สืออีเหนียงจึงได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “นำมาให้ข้าดูเถิด!”
ชิวอวี่ยิ้มแล้วยื่นถุงผ้าให้สืออีเหนียง
ข้างในคือรูปปั้นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง
ไม่แปลกที่จะรู้สึกหนัก ของชิ้นนี้น่าจะยี่สิบกว่าตำลึงเห็นจะได้
สืออีเหนียงหัวเราะแห้ง จากนั้นก็บอกให้ชิวอวี่เก็บมันไว้ “นำไปให้คุณชายน้อยหกจับเสี่ยงทายเถิด!” จากนั้นก็พูดกับชิวอวี่สองสามประโยค
ชิวอวี่ตอบรับแล้วเดินออกไป จากนั้นก็กลับมารายงานตอนพลบค่ำ “…ฮูหยินสามบอกว่า นางจะส่งของขวัญมาให้คุณชายน้อยหกอยู่แล้ว ส่วนคุณนายน้อยใหญ่พึ่งจะแต่งเข้ามาไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญ ถึงตอนนั้นไปร่วมงานเลี้ยงกับนางก็พอแล้ว แต่คุณนายน้อยใหญ่กลับบอกว่า ตอนนี้คุณชายน้อยใหญ่แต่งงานแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วพวกเขาก็ยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับท่าน ไปร่วมงานเลี้ยงกับฮูหยินสามเช่นนั้น หากคนอื่นรู้เข้า พวกเขาคงจะลือว่าคุณชายน้อยใหญ่ไม่รู้ความ ฮูหยินสามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า จะมอบของขวัญก็ได้ ตามหลักแล้ว เด็กอายุครบหนึ่งร้อยวันต้องมอบทองคำหรือเงิน วันเกิดครบรอบหนึ่งปีมอบพวกอาหารของเล่นก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นก็นำกลองป๋องแป๋งไปมอบให้เขาก็พอ คุณนายน้อยใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็บอกว่า ปกติเห็นคุณชายน้อยหกมีของเล่นเยอะแล้ว มอบของพวกนั้นให้เขากลัวว่าเขาจะไม่ชอบ ในเมื่ออายุครบหนึ่งขวบ เขาก็ต้องจับเสี่ยงทาย ไม่สู้มอบของที่ต้องใช้ในพิธีจับเสี่ยงทายดีกว่า ไท่ฮูหยินรู้เช่นนี้ ท่านจะได้พอใจ จากนั้นก็ปรึกษากับฮูหยินสามว่าจะไปซื้อเครื่องเขียนที่ร้านตัวเป่าเก๋อ หรือว่าจะเลือกหนังสือจากสินเดินของคุณนายน้อยใหญ่ดี ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ นางก็พูดทันทีว่าให้เลือกหนังสือจากสินเดิมของคุณนายน้อยใหญ่สักสองเล่ม คุณนายน้อยใหญ่จึงนำหนังสือเล่นนั้นมามอบให้ฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ
นี่คือการต่อสู้กันของแม่สามีและลูกสะใภ้เช่นนั้นหรือ
ตกเย็นไปคารวะไท่ฮูหยินก็เจอกับฟังซื่อ สืออีเหนียงจึงเอ่ยขอบคุณฟังซื่อ “…เดิมทีคิดว่าจะนำไปให่จิ่นเกอจับเสี่ยงทาย แต่กลัวว่าเขาจะไม่รู้ความ ทำให้มันเสียหาย จึงคิดว่ารอให้จิ่นเกอโตกว่านี้อีกสักหน่อย มีห้องหนังสือเป็นของตัวเองแล้วค่อยนำหนังสือเล่มนั้นให้เขา พิธีจับเสี่ยงทายก็หาหนังสือจากห้องหนังสือของท่านโหวมาจับเสี่ยงทายก็พอแล้ว!”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็พูดอย่างไม่พอใจ “ก็แค่หนังสือเล่มเดียว หากเสียหายก็ให้จิ่นเกอไปเลือกที่เรือนของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ได้ ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องลำบากเช่นนี้ นำหนังสือเล่มนั้นออกมาให้จิ่นเกอมาจับเสี่ยงทายเถิด มันคือน้ำใจของฉินเกอที่เป็นพี่ใหญ่”
สิ่งของที่จะนำมาจับเสี่ยงทายยิ่งงดงามมากเท่าไรก็ยิ่งดี หากเป็นสิ่งของที่ญาติสนิทมิตรสหายนำมามอบให้ แสดงว่าสิ่งของของญาติสนิทมิตรสหายมีราคามากกว่าของสกุลตัวเอง สำหรับญาติสนิทมิตรสหายเหล่านั้น มันคือเรื่องที่มีหน้ามีตาที่สุด ฮูหยินสามพูดเช่นนี้ เพราะนางหวังอยากให้ทุกคนรู้ว่าบุตรชายของตัวเองมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้จิ่นเกอในงานวันเกิด
ไท่ฮูหยินอยากให้พี่น้องสนิทสนมกัน ได้ยินเช่นนี้นางก็ถามขึ้น “ฉินเกอมอบของให้จิ่นเกอจับเสี่ยงทายเช่นนั้นหรือ” นางพูดด้วยท่าทีที่สนใจ
สีหน้าของสืออีเหนียงมีความลังเล
หากฮูหยินสามรู้ราคาของหนังสือเล่มนั้น นางจะโมโหฟังซื่อหรือไม่
นางพูดอย่างลังเล “หนังสือเล่มหนึ่งเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
ไท่ฮูหยินเป็นคนฉลาด นางก็ไม่ถามต่อ จากนั้นก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องงานเลี้ยง นางบอกฮูหยินสาม “ในเมื่อเจ้าอยู่ที่จวน ถึงตอนนั้นเจ้าก็มาช่วยต้อนรับแขกด้วยเถิด น้องสะใภ้สี่ของเจ้าไม่สบาย เซินเกอของน้องสะใภ้ห้าก็ยังเล็ก นางปลีกตัวออกมาไม่ได้” พูดต่อไปอีกว่า “สะใภ้ฉินเกอก็มากับท่านแม่ของเจ้า ออกมารู้จักผู้คน” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องรายการอาหารในงานเลี้ยง
ฮูหยินสามยังอยากพูดเรื่องของจับเสี่ยงทายต่อ แต่เห็นว่าไท่ฮูหยินไม่พูด แล้วยังมีเรื่องให้นางช่วยจัดการ นางจึงยอมแพ้ ดึงสติกลับมาแล้วตอบกลับไท่ฮูหยิน
ฮูหยินห้าที่เห็นฮูหยินสามและไท่ฮูหยินกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ก็ดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียงแล้วกระซิบว่า “พวกท่านทำอะไรกัน”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจ
“เรื่องหนังสือเล่มนั้นคืออะไร” ฮูหยินห้ายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “อย่าบอกนะว่าท่านกลัวว่าครอบครัวฉินเกอจะได้หน้า จึงจงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้”
สืออีเหนียงมองดูท่าทีเยาะเย้ยของฮูหยินห้า นางไม่กล้าเล่าให้ฮูหยินห้าฟัง เพียงแค่ยิ้มแล้วไม่ปริปากพูดอะไร
ฮูหยินห้าเบิกตากว้าง นางบอกให้ไท่ฮูหยินมาถามสืออีเหนียงเป็นการส่วนตัว
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าถามแล้ว สืออีเหนียงบอกว่าคุณนายน้อยใหญ่มอบหนังสือโบราญเล่มหนึ่งให้จิ่นเกอ มันมีราคาเกินไป กลัวว่าจิ่นเกอจะทำให้มันเสียหาย”
“พี่น้องสนิทสนมกันนับเป็นเรื่อที่ดี” ฮูหยินห้าขยับเข้าไปใกล้ไท่ฮูหยิน “เรื่องดีเช่นนี้ ควรจะนำออกมาให้คนอื่นเห็นนะ ทำใมถึงต้องเก็บซ่อนไว้ด้วย หรือว่าวันนั้นพี่สะใภ้สามไม่พอใจหรือเจ้าคะ หากเป็นข้า ข้าก็คงจะไม่พอใจ”
ไท่ฮูหยินไม่มีทางถูกนางหลอก ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่ของเจ้าบอกว่า พี่สะใภ้สามของเจ้าคงจะไม่รู้ราคาของหนังสือเล่มนั้น แม่สามีและลูกสะใภ้อย่างพวกนางขัดแย้งกัน จะให้คนนอกเห็นแล้วหัวเราะเยาะไม่ได้เด็ดขาด”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ปิดปากหัวเราะ
ในเมื่อไท่ฮูหยินรู้ว่าพวกนางมีความขัดแย้งกัน แต่กลับบอกว่าให้พวกนางขัดแย้งกันเอง เห็นได้ชัดว่าหากครอบครัวคุณชายสามไม่ออกไปก่อเรื่องข้างนอก นางก็จะรอดูความสนุกของครับครัวคุณชายสามเหมือนกัน
คิดได้เช่นนี้นางก็ตกใจ รู้สึกว่าวันข้างหน้านั้นน่าสนุกขึ้นมาทันที
*****
เมื่อถึงวันเกิดของจิ่นเกอ สืออีเหนียงตื่นแต่เช้า สวมเสื้ออ่าวตัวเล็กสีแดงให้จิ่นเกอ จากนั้นก็ไปจุดธูปไหว้พระกับไท่ฮูหยิน แล้วไปยังโถงบุปผา
พึ่งจะหยุดเดิน โจวฮูหยินก็มาพอดี
แล้วคนที่มากับนางก็คือสือเอ้อร์เหนียง
สืออีเหนียงประหลาดใจ
โจวฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าทำตามคำสั่งของพี่สะใภ้”
พี่สะใภ้ที่นางพูดถึงก็คือแม่สามีของสือเอ้อร์เหนียง
ได้รับความโปรดปรานจากแม่สามีเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสือเอ้อร์เหนียงตั้งหลักปักฐานในสกุลหวังได้อย่างมั่นคงแล้ว
สืออีเหนียงจึงรู้สึกยินดีกับสือเอ้อร์เหนียง นางยิ้มแล้วจับมือสือเอ้อร์เหนียง “มันคือวาสนาของสือเอ้อร์เหนียงเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว” โจวฮูหยินยิ้ม “ตอนนี้พี่สะใภ้ของข้าเจอใครก็ชื่นชมนางให้ฟัง อีกทั้งยังบอกว่าข้าสู่ขอคนดีๆ ให้หลานชาย ทำเอาข้ามีชื่อเสียงโด่งดังไปด้วย พี่สะใภ้คนอื่นล้วนแต่มาขอร้องให้ข้าเป็นแม่สื่อให้หลานชายของพวกนาง”
สืออีเหนียงยิ้ม “แค่ไม่ทำให้พี่หญิงอับอายขายขี้หน้าก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
สือเอ้อร์เหนียงฟังพวกนางสองคนพูดคุยกันจนหน้าแดงด้วยความเขินอาย นายหญิงสี่สกุลถังก็ควงแขนหวงฮูหยินเข้ามาพอดี
ทุกคนเดินเข้าไปคำนับกันและกัน ป้าตู้อยู่กับถังฮูหยิน นายหญิงสี่สกุลถังยิ้มแล้วเดินตรงเข้ามาหา
บรรยากาศจึงคึกคักขึ้นไม่น้อย
จากนั้นหลินฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลิน กานฮูหยินและคนอื่นๆ ก็ทยอยมาทีละคน
ท่านป้าผู้ดูแลเห็นว่าใกล้ถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว จึงไปยกโต๊ะยาวไม้ประดู่แกะสลักของไท่ฮูหยินออกมาจากห้องเก็บของ จากนั้นก็วางเครื่องเขียน ลูกคิด กล่องอาหาร หมวกแม่ทัพ ลูกข่างและกระบอกสุราเอาไว้บนโต๊ะ
สือเอ้อร์เหนียงจึงลากสืออีเหนียงที่กำลังคุยกับหวงฮูหยิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงสิบเอ็ดเจ้าคะ เหตุใดพี่หญิงสี่ถึงยังไม่มาเล่า”
แขกมากันเยอะแล้ว หากนางไม่พูดสืออีเหนียงก็คงไม่ได้สังเกต ได้ยินนางพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงขึ้นมาทันที ซื่อเหนียงเป็นคนทำอะไรรอบคอบมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มาร่วมงาน นางก็ต้องส่งคนมารายงาน การที่นางมาช้าเช่นนี้ สืออีเหนียงพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ข้าจะส่งคนไปดู!”
ทันทีที่นางพูดจบ ซื่อเหนียงก็เดินเข้ามาพอดี