เป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน การว่าราชกิจในยามเช้าวันนี้จะต้องดำเนินไปจนถึงช่วงสายมากแน่นอน
และมีบางวาจา ก็ไม่สะดวกที่จะเอ่ยกับฮ่องเต้ในท้องพระโรง ทำได้แค่รอให้เลิกว่าราชกิจ ค่อยเข้าเฝ้า
แน่นอนว่า กุญแจสำคัญในนั้น มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้เอ่ยถึง ชังมู่ก็มีความร้อนใจเช่นกัน
จึงไม่ฟังว่าชูอีเอ่ยอันใดอีก เพียงแค่เดินไปที่ประตูเรือน
โชคดีที่ทั้งสองคนเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมา จึงหยุดโต้เถียงกันไปนานแล้ว
“คารวะคุณหนูใหญ่ขอรับ”
“คารวะพี่สาว!”
ทั้งสองคนทักทายอย่างเกรงใจ มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบมองถงจื่อจิ้งแวบหนึ่ง แล้วค่อยมองชังมู่
ชังมู่สีหน้าขาวซีด ใต้ตาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้นอนทั้งคืน
มั่วเชียนเสวี่ยสงสารอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ปลอบใจ
“ชังมู่ ข้ารู้ว่าเจ้าร้อนใจ สภาพจิตใจข้าก็เหมือนกับเจ้า แต่บางครั้งก็ต้องอดทน รอคอย เพื่อที่จะทำบางสิ่งให้สำเร็จ ข้าให้คนจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อีกครู่จะออกเดินทางเข้าเมืองหลวง เจ้ารอสักครู่ก็เสร็จแล้ว”
ชังมู่ก็รู้ตัวว่าตนเองทำกิริยาไม่เหมาะสมเช่นกัน “ขอรับ คุณหนูใหญ่ ชังมู่ล่วงเกินแล้ว คุณหนูใหญ่โปรดอย่าได้กล่าวโทษ”
เห็นนัยน์ตาชังมู่แจ่มใสขึ้นไม่น้อย มั่วเชียนเสวี่ยก็หันหน้าไปมองอวี่เสวียนที่สีหน้าไม่ค่อยดีเช่นกัน
พลางสั่งว่า “อวี่เสวียน พาชังมู่ไปกินอะไรที่ห้องด้านข้างสักหน่อยเถอะ”
เช้าขนาดนี้ก็มาแล้ว จะต้องยังไม่ได้กินอาหารแน่นอน พวกเขาเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น จะต้องได้พบกับเจิ้นหนานอ๋องแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่จนถึงตอนเย็นถึงจะได้กิน ไม่กินให้อิ่ม จะมีเรี่ยวแรงไปสู้รบได้เช่นไร
อวี่เสวียนเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นก็ลากชังมู่จากไป
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปในห้องอีกครั้ง หนิงเซ่าชิงก็สวมอาภรณ์เรียบร้อย และนั่งรอนางอยู่ในห้องโถงแล้ว
“เขามีนิสัยใจร้อนไปหน่อย ขัดเกลาสักนิดก็ไม่เป็นไรแล้ว” เขาคนนั้นย่อมหมายชังมู่
มั่วเชียนเสวี่ยนั่งลงข้างหนิงเซ่าชิง ปวดหัวเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ทั้งสองชนเผ่ายึดชนเผ่าเฮยมู่เป็นผู้นำ แม่ทัพสองท่านก็มีท่าทีเคารพต่อทั้งสองชนเผ่า ท้ายที่สุดก็ต้องมอบชายแดนตะวันตกไว้ในมือชังมู่ หากเขาใจไม่นิ่ง ในภายภาคหน้าจะแบกรับภารกิจสำคัญได้เช่นไร”
หนิงเซ่าชิงยกชายื่นมาให้
“ดื่มชาก่อน กินอาหารเช้าเสร็จค่อยไป เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ทั้งหมดล้วนมีสามีเป็นผู้รับผิดชอบตัดสินใจให้เจ้า ถึงท้องพระโรงแล้ว สิ่งที่ควรจะแข็งก็แข็ง แต่ถ้าเห็นท่าไม่ดี ก็อย่าปะทะกับฮ่องเต้…”
ปรายตามองอย่างไม่พอใจ พลางยื่นมือไปรับชามา “รู้แล้ว! ขี้บ่น!”
มีคนเป็นห่วง มีคนให้การสนับสนุน แม้ว่าปากจะบอกว่าไม่พอใจ แต่ในใจกลับหวานซึ้ง
มั่วเชียนเสวี่ยเดาไม่ผิดเลยสักนิด เรื่องใหญ่เช่นนี้ การว่าราชกิจในยามเช้านั้นแยกย้ายกันสายมากจริงๆ เกือบจะถึงยามเที่ยง การว่าราชกิจยามเช้าถึงได้แยกย้ายกัน
ฮ่องเต้อ่อนล้าไปทั้งร่าง
ทว่า เหล่าขุนนางเพิ่งจะจากไป เขาก็ได้รับฎีกาขอเข้าเฝ้าของมั่วเชียนเสวี่ยกับชังมู่
ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ หนานหลิงมักจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะบุกโจมตี เขาจำเป็นต้องปลอบประโลมชายแดนตะวันตกก่อน เพื่อรับประกันว่าตนเองจะไม่ต้องถูกศัตรูขนาบทั้งหน้าและหลัง
ยังมี เมื่อคืนเขาสนทนากับเจิ้นหนานอ๋องไปค่อนคืน
ทั้งสองคนสนทนาเรื่องที่หนานหลิงพลันเคลื่อนทัพในปีที่แล้ว ไปจนถึงการตายของมั่วเทียนฟ่าง ยังมีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเหล่านั้น และในภายหลังก็เกิดเรื่องติดกันเป็นพรวน เรื่องแล้วเรื่องเล่า ทั้งหมดล้วนทำให้เทียนฉีเกิดความวุ่นวาย…
ทั้งหมดนี้ จะต้องไม่ใช่คนที่วางแผนร้าย แล้วถูกตัดศีรษะไปในอดีตคนนั้น การตัดสินใจชั่ววูบนำไปสู่ความผิดพลาด
เบื้องหลังเขา จะต้องมีคนที่คอยบงการเรื่องชั่วร้ายอยู่แน่นอน
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาที่เป็นฮ่องเต้คนหนึ่ง ถึงกับถูกชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งวางแผนใส่ร้าย ทำให้เขามีความทุกข์แต่มิอาจเอ่ยออกมาได้
ดังนั้นดูเหมือนว่า ฮ่องเต้จะไม่สามารถไม่พบชังมู่ กับมั่วเชียนเสวี่ยได้ จึงตรัสให้ทั้งสองคนไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร
มั่วเชียนเสวี่ยกับชังมู่มาถึงห้องทรงพระอักษร ถวายบังคมฮ่องเต้ตามมารยาท
แม้ว่าเพลิงโทสะในใจชังมู่ยังไม่ดับมอด แต่คนกลับใจเย็นลงแล้ว
“ฝ่าบาทโปรดธำรงความยุติธรรม และคืนความเป็นธรรมให้กับชายแดนตะวันตกของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เชื่อว่าไม่เกินเจ็ดวัน เรื่องนี้จะต้องมีข้อสรุปหนึ่ง”
สำหรับคำอธิบายที่ฮ่องเต้ให้มา มั่วเชียนเสวี่ยมิได้นำพามาใส่ใจ ขอแค่ฮ่องเต้ต้องการ จะหาตัวตายตัวแทนสักคนหนึ่งภายในเจ็ดวันนั้นยากด้วยหรือ
“หม่อมฉันได้ยินมาว่า เมื่อวานเจิ้นหนานอ๋องไปที่สถานทูต และในสถานที่เกิดเหตุก็มีอาวุธที่ทหารในกองทัพของเจิ้นหนานอ๋องใช้เป็นประจำปรากฏอยู่ ระหว่างหม่อมฉันกับชายแดนตะวันตกมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้งต่อกัน จึงอยากทูลเชิญเจิ้นหนานอ๋องมาสอบถามต่อหน้าที่นี่เพคะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไรออกมา เพียงแค่เหลือบมองขันทีลู่ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง
ขันทีลู่รู้ใจฮ่องเต้อย่างทะลุปรุโปร่ง จึงเอ่ยเสียงสูงว่า “เบิกตัว…เจิ้นหนานอ๋องเข้าเฝ้า”
ตั้งแต่เมื่อวาน เจิ้นหนานอ๋องก็อยู่ในวังหลวงตลอด
คำถามที่ชังมู่เอ่ยถาม ฮ่องเต้จะไม่เคยคิดถึงได้อย่างไร
ฮ่องเต้ได้รับฎีกาขอเข้าเฝ้าจากมั่วเชียนเสวี่ยกับชังมู่ ก็ให้คนไปเรียกตัวเจิ้นหนานอ๋องมารอแล้ว
ขันทีลู่เพิ่งจะเอ่ยจบ นอกห้องก็มีคนเดินเข้ามาคนหนึ่ง
ครอบกวานทองบนศีรษะ สวมชุดหม่างเผา [1]สีหน้าอึมครึม
นั่นคือเจิ้นหนานอ๋อง
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี”
“น้องเราไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้น”
วันนี้ฮ่องเต้มีท่าทีสงบมาก ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา
ชี้ไปทางสองคนที่อยู่ในห้องโถง แล้วแนะนำให้กับเจิ้นหนานอ๋อง “นี่คือ แม่ทัพชังมู่ บุตรชายคนโตของหัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่จากชายแดนตะวันตก นี่คือสายเลือดเพียงหนึ่งเดือนของเจิ้นกั๋วกงเทียนฟ่าง”
กวาดตามองผู้มาเยือน มั่วเชียนเสวี่ยกับชังมู่สบตากันแวบหนึ่ง ล้วนสามารถมองเห็นความเกลียดชังจากดวงตาของอีกฝ่ายได้
มั่วเชียนเสวี่ยทำความเคารพด้วยท่าวั่นฝูหลี่ [2]“ถวายบังคมเจิ้นหนานอ๋องเพคะ”
เดิมชังมู่ก็โกรธแค้น เจิ้นหนานอ๋องเพราะเรื่องของมั่วกั๋วกงอยู่แล้ว เมื่อได้ยินว่าเรื่องในครั้งนี่เกี่ยวข้องกับเจิ้นหนานอ๋อง ก็อยากจะลงมือสังหารเจิ้นหนานอ๋อง เพียงแต่บนบ่ามีภาระรับผิดชอบมากเกินไป ไม่อาจลงมือซึ่งๆ หน้าได้ ตอนนี้กำลังมีเพลิงโทสะสุมทรวง
เขาแค่กำหมัดวางไว้ตรงหน้าอก ก้มศีรษะเล็กน้อยแสดงท่าทางทำความเคารพ
ไม่ว่าอย่างไร ก่อนที่เจิ้นหนานอ๋องไม่ได้ตัดสินโทษ ก็ไม่อาจละทิ้งมารยาทที่ควรกระทำได้
ไม่สามารถล้ำเส้น เพียงเพราะโทสะเพียงชั่วครู่ได้
“ทูลถามเจิ้นหนานอ๋อง ท่านมีคำอธิบายอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้”
หากว่าเป็นยามปกติ มีคนกล้าถามเจิ้นหนานอ๋องด้วยวาจาดูหมิ่นเช่นนี้ คงตายภายใต้คมกระบี่ไปนานแล้ว แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน
แม้ว่าเจิ้นหนานอ๋องจะรู้ว่าเรื่องนี้มีคนจัดฉากอย่างเห็นได้ชัด ทว่าชายแดนตะวันตกต้องการหาเรื่องเขา ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำนี้เท่านั้น
เจิ้นหนานอ๋องสุขุมมาก ตอบคำถามชังมู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เมื่อวานตอนข้ามาถึง ทูตทั้งสามท่านจากชายแดนตะวันตกก็เสียชีวิตไปแล้ว ข้าเข้าไปในห้องก็พบว่ามีคนตาย ถึงศาลาพักม้า มีคนมาตรวจสอบก็เป็นแค่เวลาชั่วครู่ ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ ข้าจะสังหารแม่ทัพจางที่มีวรยุทธ์เยี่ยมยอด และทูตอีกสองท่านได้อย่างไร
ชังมู่โมโหเล็กน้อย “ท่านสังหารไม่ได้ แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเล่า้”
เจิ้นหนานอ๋องยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า มีคนโยนความผิดให้ข้า ไม่เชื่อ พวกเจ้าก็สามารถไปถามแม่ทัพซู แม่ทัพเก้าประตูที่รับผิดชอบสืบสวนเรื่องนี้ได้”
“ฝ่าบาทโปรดมีรับสั่งเรียกตัวแม่ทัพซูมาสอบถาม…”
“ไม่ต้องหรอกเพคะ” เจิ้นหนานอ๋องยังเอ่ยไม่จบ มั่วเชียนเสวี่ยก็ออกปากห้ามแล้ว
ชังมู่ก็เข้าใจขึ้นมาเช่นกัน
ในเมื่อฮ่องเต้กับเจิ้นหนานอ๋องสุขุมใจเย็น ทั้งตอบคำถาม ทั้งมีรับสั่งให้สอบถาม เช่นนั้นก็มีการเตรียมการแต่แรกแล้วว่าจะให้ชายแดนตะวันตกหุบปากแล้วยอมจำนน
[1] ชุดหม่างเผา คือเสื้อชุดพิธีของขุนนางชั้นสูงของราชวงศ์หมิง หรือชิง ปักลายงูเหลือม
[2] ท่าวั่นฝูหลี่ เป็นการทักทายของหญิงสาว โดยใช้มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันที่ด้านขวาแล้วย่อตัวลง เป็นท่าสัญลักษณ์ที่อวยพรให้มีความสุขและโชคดี