ตอนที่ 532 อิจฉาริษยาอยู่ในใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายก็เดินจับมือกันไปส่งสองพี่น้องตระกูลเคอและหลิวหย่งเจียงขึ้นรถไฟ จากนั้นกลับไปที่วิลล่า และขับรถกลับไปที่ชนบทพร้อมกับคุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้ว
หลังจากที่ส่งสองสามีภรรยาชราและโต้วโต้วที่บ้านแล้ว ฟางจั๋วหรานก็ขับรถพาหลินม่ายตรงไปยังหมู่บ้านที่พ่อแม่ของหลี่หมิงเฉิงอาศัยอยู่
ถนนบนภูเขาเป็นหลุมเป็นบ่อ แถมยังแคบมาก
ถ้าเจอชายหนุ่มรูปร่างผอมบาง ต้องรอให้เขาเอาแผ่นหลังแนบไปกับเนินเขาด้านข้างก่อน แถมยังต้องแขม่วหน้าท้อง พร้อมกับกลั้นหายใจ รถจี๊ปถึงจะขับผ่านไปได้
ถ้าเจอผู้หญิงรูปร่างอ้วน ต้องขอให้ผู้หญิงอ้วนคนนั้นเดินขึ้นเขาไปก่อน จนอีกฝ่ายหาที่หลบมุมได้แล้ว รถจี๊ปถึงจะแล่นผ่านไปได้
การมีรถทำให้การสัญจรสะดวกขึ้นมาก หลินม่ายและฟางจั๋วหรานมาถึงหมู่บ้านของหลี่หมิงเฉิงในเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง
หลี่หมิงเฉิง พ่อ แม่ ญาติ ๆ และเพื่อนของเขายืนรออยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เก้าโมงตรง
ทันทีที่รถจี๊ปของฟางจั๋วหรานปรากฏขึ้นจากตรงหัวโค้งถนนไกล ๆ อันเป็นเส้นทางที่ใช้สัญจรเข้ามาในหมู่บ้าน ญาติ ๆ และเพื่อนของเขาหลายคนก็เห็นเข้าพอดี
พวกเขาชี้ไปทางรถจี๊ปที่เป็นจุดสีเขียวเล็ก ๆ ตรงนั้น แล้วถามหลี่หมิงเฉิงว่า “นั่นใช่รถของม่ายจื่อหรือเปล่า?”
ตอนที่เข้าร่วมงานฉลองหมั้นของหลินม่ายเมื่อวานนี้ หลี่หมิงเฉิงเคยเห็นรถจี๊ปคันใหม่ของฟางจั๋วหรานแล้วครั้งหนึ่ง จึงพยักหน้า “น่าจะใช่แล้วล่ะ”
สำหรับพื้นที่ห่างไกลนี้ แม้แต่รถแทรกเตอร์ยังขับเข้ามาได้ยากลำบาก นับประสาอะไรกับรถจี๊ป?
ถ้าคนที่อยู่ในรถคันนั้นไม่ใช่ฟางจั๋วหรานกับหลินม่าย แล้วใครกันจะขับรถจี๊ปเข้ามาถึงที่นี่?
เมื่อพ่อหลี่ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำด้วยความตื่นเต้น รีบหันไปสั่งหลี่หมิงเฉิง “จุดประทัดต้อนรับแขกคนสำคัญของเราเร็วเข้า!”
หลี่หมิงเฉิงหยิบประทัดที่แขวนอยู่ขึ้นมาแล้วจุดไฟทันที
รถจี๊ปสีเขียวขับตรงไปยังทางเข้าหมู่บ้านท่ามกลางเสียงประทัด หลินม่ายโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถเพื่อทักทายหลี่หมิงเฉิงและครอบครัวของเขา
คนกลุ่มใหญ่ช่วยนำทางรถจี๊ปไปที่งาน ในไม่ช้า ทั้งกลุ่มคนและรถก็มาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลหลี่
พอหลินม่ายและฟางจั๋วหรานก้าวลงจากรถ พวกเขาก็ถูกพ่อหลี่ แม่หลี่ และบรรดาญาติ ๆ ของเขากรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง
ทำให้ชาวบ้านซึ่งมาจากหมู่บ้านเดียวกันไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปหาพวกเขาได้เลย
ทุกคนห้อมล้อมหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานไว้ เชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปในบ้านพร้อมกับถามไถ่สารทุกข์สุกดิบไปด้วย
การมาถึงของพวกเขาแย่งความโดดเด่นของเจ้าสาวอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นตัวเอกของงานผู้ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ
ถึงอย่างนั้นเจ้าสาวกลับไม่โกรธเลย ตรงกันข้ามกลับมีความสุขมากกว่าเดิมเสียอีก
มีแขกคนสำคัญอย่างพวกเขามาร่วมงาน หล่อนจึงพลอยได้หน้าไปด้วย
เหลือเวลาอีกหลายสิบนาทีกว่าจะถึงฤกษ์มงคล ทุกคนต่างนั่งลงรอบ ๆ หลินม่ายและฟางจั๋วหรานแล้วพูดคุยกัน
ใครคนหนึ่งถามฟางจั๋วหรานว่าเขาทำงานอะไร เมื่อรู้ว่าเขาเป็นถึงศัลยแพทย์ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
ในสายตาของคนชนบท ผู้ที่มีการศึกษาสมควรแก่การเคารพยกย่อง ยิ่งระดับการศึกษาสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าเคารพนับถือมากเท่านั้น
ทุกคนต่างชมว่าหลินม่ายเปลี่ยนไปจากเดิมมาก สาวน้อยผิวพรรณดำคล้ำหยาบกระด้าง สามารถพัฒนาตัวเองให้สวยขึ้นได้ภายในปีเดียวเท่านั้น
หมู่บ้านที่พ่อแม่ของหลี่หมิงเฉิงอาศัยอยู่ อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสกุลหวังที่ซุนกุ้ยเซียงกับคนอื่น ๆ อาศัยอยู่มากนัก
หลินม่ายคนสวยพาคู่หมั้นของเธอซึ่งเป็นถึงศาสตราจารย์กลับมาที่ชนบทเพื่อร่วมงานแต่งพี่สาวคนรองของหลี่หมิงเฉิง ในไม่ช้าข่าวก็แพร่สะพัดไปถึงหมู่บ้านสกุลหวัง
ชาวบ้านหลายคนจากหมู่บ้านสกุลหวังวิ่งไปดูด้วยความตื่นเต้น
เมื่อชาวบ้านคนหนึ่งเดินผ่านหน้าบ้านของซุนกุ้ยเซียงไป หล่อนก็จงใจพูดเหน็บแนมว่า “ฉันว่านะย่าต้าโก่ว คุณชอบพูดว่าลูกสาวคนเล็กของตัวเองเป็นหมาป่าตาขาว หล่อนดูเหมือนหมาป่าตาขาวตรงไหนกัน? สมัยที่หล่อนกับหมิงเฉิงเรียนหนังสือด้วยกัน หล่อนได้รับความช่วยเหลือจากพี่สาวคนรองของหมิงเฉิงตั้งมากมาย ตอนนี้พี่สาวคนรองของหมิงเฉิงแต่งงานแล้ว หล่อนก็รีบกลับมาตอบแทนครอบครัวพวกเขาทันที หล่อนเป็นเด็กดีที่รู้คุณคนไม่น้อยเลยนะ ฉันจำได้ว่าตอนที่ลูกสาวคนโตของคุณแต่งงาน ลูกสาวคนเล็กกลับไม่ได้กลับมาร่วมแต่งของหล่อนด้วยซ้ำ ตอนนี้ลูกสาวคนเล็กของคุณอุตส่าห์กลับมาเยือนบ้านเกิดทั้งที ทำไมคุณไม่วิ่งแจ้นไปหาหล่อนดูล่ะ” หลังจากพูดจบแล้วก็เดินจากไป
ขณะนั้นหลินเพ่ยกำลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่กับซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อน เพื่อระบายว่าชีวิตหลังการแต่งงานของตัวเองเลวร้ายอย่างไรบ้าง
พอได้ยินแบบนั้น หล่อนก็เงยหน้ามองพ่อแม่ของตัวเองทันที สามพ่อแม่ลูกผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจ
จากนั้นพวกเขารีบไปยังหมู่บ้านที่หลี่หมิงเฉิงอาศัยอยู่โดยไม่รอช้า ระหว่างทาง พวกเขาก็บังเอิญเจอกับเติ้งซิ่วจือ สามีของหล่อน และลูกชายทั้งสอง
พวกเขาแยกบ้านกันอยู่ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เติ้งซิ่วจือและซุนกุ้ยเซียงจะอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่พวกเขาก็แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลย
โดยเฉพาะเติ้งซิ่วจื้อ หล่อนไม่ชอบเสวนากับพ่อและแม่สามีของตัวเองมากนัก บางครั้งถ้าหล่อนอยากพูดอะไรบางอย่าง ก็จะมอบหมายให้สามีเป็นคนไปคุยกับพ่อแม่ตัวเองแทน
อย่าคิดว่าซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อนรักลูกชายมากกว่าลูกสาว พวกเขาต่างก็เป็นคนเห็นแก่ตัว ยามที่พวกเขามีเงิน พวกเขาไม่แม้แต่จะแบ่งปันเศษสตางค์ให้ลูกชายตัวเองง่าย ๆ
จนกระทั่งตัวเองแก่ตัวลง ถึงได้รักลูกชายขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม พวกเขาคิดว่าคนอื่นไม่มีวันไว้ใจได้มากไปกว่าตัวเอง ทำให้พวกเขาไม่ยอมยกทรัพย์สินให้ลูกชายในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับเอาทรัพย์สินที่มีอยู่น้อยนิดมาล่อให้ครอบครัวของลูกชายแสดงความกตัญญูต่อตัวเอง
เพราะเรื่องเงิน ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวถึงได้ย่ำแย่ ต่อให้ทั้งสองครอบครัวจะเดินสวนกันบนท้องถนน พวกเขากลับทำราวกับอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้า ทำเมินเฉยต่อกัน แถมยังไม่เสแสร้งทำเป็นรักใคร่กลมเกลียวกันให้คนนอกเห็น
สมัยที่หลินม่ายยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลหวัง ชาวบ้านล้วนปฏิบัติต่อเธออย่างดี
ครั้งนี้เธอมีโอกาสได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด หลินม่ายตั้งใจว่าจะแวะไปที่หมู่บ้านสกุลหวังสักหน่อย หลังจากงานแต่งงานพี่สาวคนรองของหลี่หมิงเฉิงเสร็จสิ้นลงแล้ว
เธอกลับมาที่ชนบทรอบนี้ ไม่ใช่เพื่อเข้าร่วมงานแต่งพี่สาวคนรองของหลี่หมิงเฉิงแค่อย่างเดียว มีงานสำคัญกว่ารออยู่ นั่นคือสอนให้ชาวบ้านปลูกผักในเรือนกระจก
อาชีพนี้ไม่เพียงช่วยให้ชาวบ้านร่ำรวยขึ้น แต่ยังทำให้ตลาดสดฝูตัวตัวมีผักหลากหลายชนิดไว้ขายตลอดทั้งปีแม้แต่ช่วงฤดูหนาว ทั้งสองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน
ไม่คาดคิดเลยว่าชาวบ้านจากหมู่บ้านสกุลหวังจะเป็นฝ่ายมาหาเธอถึงที่นี่
หลินม่ายต้อนรับด้วยรอยยิ้ม แจกขนมให้กับชาวบ้านจากทั้งสองหมู่บ้าน โดยเฉพาะเด็กน้อยทุกคนต่างก็ได้ลูกอมกระต่ายขาวกลับไปคนละหนึ่งกำมือใหญ่ ๆ ทำให้กระเป๋าเสื้อของพวกเขาแทบปริ
ชาวบ้านกระซิบกระซาบกันว่า ครั้งนี้หลินม่ายพาคู่หมั้นกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดทั้งที ยังซื้อลูกอมกระต่ายขาวจำนวนมากมาแจกจ่ายให้พวกเขาอีก เห็นทีชาวบ้านทุกคนคงเจริญรุ่งเรืองกันคราวนี้แล้ว
เติ้งซิ่วจือก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ พยายามผลักลูกชายทั้งสองไปอยู่ตรงหน้าหลินม่าย แล้วสั่งให้พวกเขาเรียกหลินม่ายว่าอาเล็ก
ก่อนที่หลินม่ายจะแต่งงาน เติ้งซิ่วจือไม่เคยปฏิบัติต่อเธอดีเลยสักครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าซุนกุ้ยเซียงและสามีของหล่อนที่เอาแต่ดุด่าและทุบตีเธออยู่บ่อยครั้ง
ทุกครั้งที่เห็นว่าเธอโดนทุบตี แถมยังต้องแขวนท้องด้วยความหิวโหย อีกฝ่ายได้แต่ยืนมองจากด้านข้าง ไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
แต่เติ้งซิ่วจือกลับแสดงออกชัดเจนต่อหน้าคนอื่นว่าตัวเองโปรดปรานน้องสามีคนนี้แค่ไหน หวังให้หลินม่ายให้ความร่วมมือในการแสดงของตัวเอง
พอต้าโก่วและเอ้อร์โก่วเรียกเธอว่าอาเล็ก ถึงเธอจะไม่อินกับคำเรียกนั้นเลยก็ตาม แต่เธอก็ยอมแบ่งลูกอมกระต่ายขาวให้หลานชายทั้งสอง
เติ้งซิ่วจือมีความสุขมากเมื่อเห็นว่าหลินม่ายแจกลูกอมกระต่ายขาวให้ลูก ๆ ของหล่อนมากกว่าเด็กคนอื่น ในขณะเดียวกันก็แอบบ่นในใจว่าอีกฝ่ายตาบอดหรืออย่างไรกัน
ถ้าเธอจะไม่ชอบหน้าพี่สะใภ้ตัวเองก็ไม่เป็นไรหรอก บางทีฉันเองก็เคยเข้าข้างครอบครัวสามีในการทำร้ายเธอเหมือนกัน แต่ฉันจำไม่เห็นได้ว่าตัวเองเคยบาดหมางกับเธอตอนไหน ฉันออกจะสงสารเธอด้วยซ้ำ
เติ้งซิ่วจือสาบานอย่างลับ ๆ ว่าจากนี้ไปหล่อนจะกอดต้นขาทองคำของน้องสาวสามีไว้ และจะปฏิบัติต่อเธออย่างดี
เมื่อน้องสาวสามีได้กินเนื้อ สมาชิกครอบครัวหล่อนก็จะพลอยได้ซดน้ำซุปไปด้วย
หลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงยืนดูอยู่นอกกลุ่มฝูงชน พอเห็นว่าหลินม่ายดูมีท่าทางเป็นมิตรกับต้าโก่วและเอ้อร์โก่ว พวกหล่อนจึงคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รังเกียจตัวเองแน่ ๆ
ซุนกุ้ยเซียงแอบดีใจ พยายามเบียดแทรกฝูงชนด้วยพละกำลังทั้งหมดเพื่อไปยืนอยู่ตรงหน้าหลินม่าย จิบปากจิบคอพูดว่า “ม่ายจื่อ เธอกลับทั้งที ไม่คิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านตัวเองหน่อยเหรอ?”
ว่าแล้วก็ชำเลืองมองฟางจั๋วหราน “นี่คงเป็นแฟนของเธอสินะ?”
หลินม่ายไม่คิดจะปิดบังความรังเกียจแต่อย่างใด “อย่าพยายามจะสานสัมพันธ์ครอบครัวกับฉันเลย ระหว่างเรายังเหลือความสัมพันธ์ทางครอบครัวให้สานต่ออีกหรือไง” หลังจากนั้นเธอก็ไม่สนใจหล่อนอีก ยังคงแจกจ่ายลูกอมให้ชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่อไป
ทันใดนั้นซุนกุ้ยเซียงก็เปลี่ยนท่าทางเป็นโกรธเคือง “แกพูดแบบนี้ได้ยังไง? นังลูกเนรคุณ พอร่ำรวยขึ้นมาก็จำพ่อแม่ตัวเองไม่ได้แล้วรึ?”
หลินม่ายแค่นเสียงตอบกลับอย่างเย็นชา “ต่อให้ฉันยากจนก็ไม่มีวันนับพวกคุณเป็นพ่อแม่ หยุดทวงบุญคุณที่นี่ได้แล้ว!”
ซุนกุ้ยเซียงคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น หลินม่ายอาจจะยับยั้งตัวเองบ้าง ไม่คาดคิดว่านอกจากเธอจะไม่ยับยั้งความรังเกียจแล้ว ยังไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจใด ๆ
หลินสงเองก็แทรกตัวผ่านฝูงชนเข้ามาดูความตื่นเต้นเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลินม่ายก็รู้สึกไม่พอใจ ตั้งท่าจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อสั่งสอน
ก่อนที่หลินม่ายจะออกเรือนไป เขาเคยลงมือทุบตีเธอหลายครั้ง
พอเติ้งซิ่วจือเห็นแบบนั้น ก็รีบห้ามปรามสามีตัวเองไว้ทันที ตำหนิด้วยเสียงกระซิบต่ำ “ม่ายจื่อไม่เคยทำให้ฉันหรือคุณขุ่นเคืองด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปหาเรื่องหล่อนด้วย?”
หลินสงตอบกลับด้วยความไม่สบอารมณ์ “แต่เธอทำให้แม่ฉันขุ่นเคือง!”
เติ้งซิ่วจือตะคอกทันที “บิดาไร้เมตตา บุตรย่อมไม่กตัญญู คุณไม่เคยได้ยินประโยคนี้หรือไง? พ่อแม่คุณทำอะไรร้าย ๆ กับม่ายจื่อไว้ตั้งมากมาย ทำไมคุณไม่คิดถึงตรงนี้บ้าง? ตอนที่พวกเขาขายหลินม่ายแลกค่าสินสอด ครอบครัวเราได้เงินสักเฟินหรือเปล่า? เราไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยซ้ำ แต่กลับออกหน้าปกป้อง โง่หรือยังไงกัน?”
หลินสงเชื่อฟังภรรยาของเขาเป็นที่สุด
เขาคิดเสมอว่าภรรยาไม่เคยรังเกียจที่เขามีฐานะยากจน ทั้งยังยอมใช้ชีวิตร่วมกับเขา ดังนั้นเขาต้องปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี
ในเมื่อเติ้งซิ่วจือไม่ต้องการให้เขาจัดการกับหลินม่าย ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะไม่ทำ
หลินเจี้ยนกั๋วซึ่งแทรกตัวเข้ามาทีหลังพูดกับหลินม่ายอย่างจริงจัง “ม่ายจื่อ พ่อรู้ว่าแกแค้นที่พวกเราขายแกไปเพื่อแลกกับเงินค่าสินสอด แต่แกจะโทษฉันกับแม่ของแกเรื่องนี้ไม่ได้ ถ้าอยากโทษใครสักคน ก็ไปโทษพี่สาวของแกโน่น หล่อนเป็นคนโกหกแม่ของแกว่าแกกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนรักกัน พวกเราทำแบบนั้นลงไปก็เพราะอยากสนองความตั้งใจของแก”
หลินม่ายโบกมือด้วยความรังเกียจ “ช่างเถอะ อย่ามาทำเป็นเปลี่ยนหน้างิ้วแถวนี้เลย ฉันไม่ถือโทษโกรธใครทั้งนั้น วันนี้เป็นวันมงคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพี่รองหลี่ พวกคุณช่วยหยุดสร้างปัญหาเมื่ออยู่หน้าประตูบ้านของคนอื่นได้ไหม?”
ญาติ ๆ และมิตรสหายของครอบครัวหลี่หมิงเฉิงไม่พอใจกับการที่หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดในวันมงคลของพี่รองหลี่มาสักระยะแล้ว ถึงอย่างนั้นก็พยายามอดทนเพราะเห็นแก่หน้าหลินม่าย
เพราะถึงอย่างไรหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงต่างก็เป็นพ่อแม่แท้ ๆ ของหลินม่าย จะตีสุนัขต้องดูเจ้าของเสียก่อน
ทันทีที่ได้ยินหลินม่ายพูดทำนองว่าอย่ามาสร้างปัญหา ญาติ ๆ และมิตรสหายของครอบครัวหลี่หมิงเฉิงจึงไม่อดทนอีกต่อไป
พ่อหลี่ตะโกนลั่นด้วยความโกรธ สั่งให้หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาของเขาออกไปจากที่นี่เสีย ไม่อย่างนั้นคงต้องประเคนไม้หน้าสาม
หลินเจี้ยนกั๋วและภรรยารู้ว่าตัวเองมาหาเรื่องผิดจังหวะ อีกทั้งพวกเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับพ่อหลี่ จึงวิ่งหางจุกตูดหลบหนีออกมา แล้วเฝ้าดูจากระยะไกล
หลินเพ่ยซึ่งยืนหลบอยู่ในมุมอับสายตาที่ห่างออกไปห้าถึงหกเมตรยังคงแอบดูหลินม่าย
นี่ใช่หลินม่ายคนเดียวกันกับที่หล่อนเคยมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนโง่เง่าหรือเปล่า?
ไม่ต้องพูดถึงหน้าตาของเธอที่ดูดีกว่าเดิม แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ยังสวยกว่าเสื้อผ้าของดาราฮ่องกงและไต้หวันเสียอีก หนำซ้ำราศียังจับขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเธอจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมาก
โดยเฉพาะแหวนทองบนนิ้วกลางข้างซ้ายของหลินม่าย มันสะท้อนแสงวาววับจนทำให้ตาหล่อนเกือบบอด
นั่นเป็นชีวิตที่หล่อนโหยหามาโดยตลอดไม่ใช่หรือ?
เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ได้สวมเสื้อผ้าหรูหรา กินแต่อาหารรสเลิศ หล่อนทุ่มเทแรงกายและแรงใจ วางแผนทุกวิถีทางให้ครอบครัวของตัวเองสุขสบาย
แต่สุดท้าย พ่อแม่ก็ไม่ชอบที่หล่อนไม่รู้จักทำไร่ไถนา รู้แค่วิธีตักข้าวเข้าปากเท่านั้น
พวกเขาบังคับให้หล่อนแต่งงานกับชายชาวเขาที่มีหุ่นเหมือนฟักเขียวเตี้ย(1) เพียงเพราะนายฟักเขียวเตี้ยคนนี้เต็มใจจ่ายค่าสินสอดหนึ่งร้อยหยวน
หลังจากหล่อนแต่งงาน นอกจากหล่อนจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างร่ำรวย แค่อ้าปากก็มีอาหารมาป้อนจ่อปาก แค่ยื่นมือออกไปก็เจอเสื้อผ้าแล้ว หล่อนยังต้องทำงานบ้านแทบทุกอย่าง อีกทั้งพ่อแม่สามียังเอาแต่ทุบตีและดุด่าถ้าหล่อนไม่ยอมทำงาน
ทำไมชีวิตหล่อนถึงได้บัดซบแบบนี้ ในขณะที่ชีวิตของนังตัวแสบกลับดีขึ้นเรื่อย ๆ!
ยิ่งหลินเพ่ยคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเท่านั้น พร้อมกันนั้นสายตาหล่อนก็เหลือบมองไปยังฟางจั๋วหราน
ผู้ชายที่หล่อเหลาและโดดเด่นขนาดนี้ควรตกเป็นของหล่อน เขากลายเป็นแฟนหนุ่มของนังสารเลวนั่นไปได้อย่างไรกัน!
…………………………………………………………………………………………………………………………
ฟักเขียวเตี้ย เป็นคำอุปมา แปลว่ารูปร่างอ้วนเตี้ย
สารจากผู้แปล
มาหาเรื่องไม่ดูกาลเทศะกับสภาพตัวเองเลยน้อครอบครัวนี้ ดักดานอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นจริงๆ
ไหหม่า(海馬)