หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1314 ภายใต้หน้ากาก

บทที่ 1314 ภายใต้หน้ากาก
“แยกร่าง?”ดวงตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ หรี่แคบลง แต่ไม่นานก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่การแยกร่าง เพราะหากเป็นการแยกร่างจริง เช่นนั้นวิญญาณจักรพรรดิสองคนที่ปรากฏตัวออกมา ในร่องรอยพลังงานไม่ควรเป็นสุดยอดขั้นที่สี่เหมือนกับก่อนหน้า
ค่อนข้างเหมือน…เสียงเพรียกมากกว่า
หากตายไปหนึ่งก็จะเพรียกหาออกมาสอง ลองคิดดูหากสองคนนี้ตายลงก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะออกมาเป็นสี่ วนซ้ำไปมาเช่นนี้จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นอมตะไม่ดับ
“แต่ก็แตกต่างจากสุดยอดขั้นที่สี่แบบปกติอยู่บ้าง” หวังเป่าเล่อมองวิญญาณจักรพรรดิที่ผสานรวมออกมาสองคนนั้นอย่างครุ่นคิดระหว่างที่เด็กหนุ่มเต๋าฝ่ายสุขข้างกายกำลังตัวสั่นกระวนกระวาย
ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดนแห่งเซียนหรือเทียบกับตัวเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับขั้นที่สี่ ดังนั้นเขาจึงสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าวิญญาณจักรพรรดิตรงหน้านี้มีจุดบกพร่อง
พวกเขาดูเหมือนขั้นที่สี่ ทว่าแท้จริงแล้วก็เหมือนคัดลอกวางออกมา ขาดจิตวิญญาณ เป็นเหมือนหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมาเสียมากกว่า และขั้นที่สี่แบบนี้ ถึงแม้จะมีพลังแต่ก็ห่างชั้นกันไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ต้องกล่าวถึงหวังเป่าเล่อ ต่อให้ดินแดนแห่งเซียนขั้นที่สี่มาสักคนหนึ่งก็สามารถขยี้วิญญาณจักรพรรดิไปได้หนึ่งคนแล้ว
“ยิ่งไปกว่านั้น…เสียงเพรียกเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีจุดสิ้นสุด” แม้ในใจจะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ในโลกมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดแบบนี้ ก่อนที่จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนของที่นี่ หวังเป่าเล่อไม่คิดจะเผยฐานะของตัวเองให้มากไป
เขารู้ดีว่าตนใช้เต๋าแห่งฝันเข้ามาในจักรวาลแห่งนี้ ในบางมุมก็คือการลักลอบเข้ามา จุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้มหาเทพรู้ตัว จากนั้นก็ลุล่วงแผนการที่จะตัดเหตุต้นผลกรรมของตน
และการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ มหาเทพในตอนนี้เป็นไปได้สูงว่าอยู่ในช่วงหลับลึก ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เขาจะทำสำเร็จก็นับว่าสูงมากทีเดียว
เดิมทีแผนการนี้ก็คือก่อนที่มหาเทพจะรู้ตัว เดินไปข้างหน้าเขา ผสานเข้าไปในตะปูไม้ดำและโจมจีเขาให้ถึงแก่ชีวิต
ดูเหมือนง่ายดาย แต่เมื่อจะทำจริงแล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามโอกาส
แต่ว่าไปว่ามา สุดท้ายแล้วความจำเป็นที่จะปกปิดก็ยังต้องทำต่อไป และการลองหยั่งเชิงก็ยังคงต้องมี ดังนั้นเมื่อความคิดเหล่านี้ลอยเข้ามาในหัว พริบตาที่วิญญาณจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าและพุ่งมาทางหวังเป่าเล่อด้วยความรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็ถอยหลังอย่างฉับพลัน
ด้วยความรวดเร็วและหลบหลีกออกจากอณาเขตนี้ไปก่อน จึงชนเข้ากับตาข่ายสีทองที่ปรากฏขึ้นในหมอกสีโลหิตด้านหลังเขา
ตอนนั้นเองที่ชนเข้ากับตาข่ายทอง หวังเป่าเล่อก็เดินพลังเต็มที่ แต่กลับไม่ปล่อยออกมาทั้งหมด และเก็บกลับมาทันทีที่เมื่อโดนตาข่ายทองด้านหลัง
จากการสัมผัสในชั่วอึดใจนี้ หวังเป่าเล่อก็หยั่งเชิงขีดทนรับของตาข่ายทองนี้ได้ทันที เขามั่นใจ เมื่อรวบรวมพลังของตนเป็นจุดเดียว ด้วยเต๋าแปดปรมัตถ์ก็สามารถทำลายมันได้ฉับพลันแล้วหนีออกไป
เมื่อหยั่งเชิงจุดนี้ได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาแคบลง แต่กลับไม่รีบร้อน นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบวาบผ่าน ก่อนพุ่งเข้าหาวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองคนที่ไล่ตามมา
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจะพุ่งไปเองทำไมเล่า ทำไมไม่หนีล่ะ” เด็กหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อจับไว้อยู่ในมือขวาร้องโหยหวนออกมา
ด้วยความรู้ความเข้าใจของเขา วิญญาณจักรพรรดิก็เหมือนกับวิญญาณเทพที่ไม่สามารถต่อกรและไม่อาจสบประมาทได้ เป็นตัวแทนของเต๋าสวรรค์แห่งโลกทั้งใบ แต่คนบ้าที่จับตนมาทั้งเป็นกลับลงมือแล้วยังเลือกจะลงมืออีกรอบ
ทำให้ขณะที่เขาร้องโหยหวน ความหวาดกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วสัมผัสสวรรค์
บางทีเป็นเพราะรู้สึกว่าเสียงโหยหวนของเขาไม่น่าฟัง ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งออกไปก็เก็บวิชาพลังเทพของเด็กหนุ่มผู้นี้ลงในกระบอกแขนเสื้อ ความเร็วไม่ตก พริบตาก็ปะทะเข้ากับวิญญาณจักรพรรดิทั้งสอง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กฎเต๋าธาตุน้ำใกล้บังเกิดขึ้นปกคลุมไปทั่วสารทิศ วิญญาณจักรพรรดิทั้งสองคนร่างพลันแข็งค้างคล้ายกับวิถีเต๋าและโลหิตในร่างกายกำลังไหลย้อนกลับ ร่างพลันหยุดชะงัก
ตอนนี้ก็คือคนตาย
หวังเป่าเล่อสาวเท้าเข้ามาใกล้ นิ้วชี้ขวากลายเป็นเงา แตะลงหว่างคิ้วบนหน้ากากของวิญญาณจักรพรรดิทั้งสอง เสียงดังสนั่น หน้ากากรวมทั้งกะโหลกของพวกเขาพังทลายลงไปพร้อมๆ กัน
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เดิมทีเขาคิดจะทำลายแค่หน้ากากก่อน ดูว่าอีกฝ่ายหน้าตาอย่างไร แต่หน้ากากนี้ราวกับว่าผลึกติดอยู่กับใบหน้าของพวกเขา ไม่สามารถแยกจากกันได้
“ไม่ดูก็ได้” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็น ขณะที่โบกมือ พลังกดต้านปะทุขี้นอีกครั้งทั่วบริเวณ ก่อนบดร่างวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองจนแหลกละเอียด
พริบตาต่อมา เลือดเนื้อที่ถูกหวังเป่าเล่อบดละเอียดเหล่านั้นก็รวมตัวเข้ากันใหม่ ก่อนปรากฏออกมาเป็นวิญญาณจักรพรรดิสี่คน ยังคงใส่หน้ากากเช่นเดิม เงียบกริบไม่พูดจาเช่นเดิม แววตาว่างเปล่า พุ่งมายังหวังเป่าเล่อ
ในเวลาอันสั้น จากสี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก จากนั้นสามสิบสอง…
หวังเป่าเล่อยังคงสู้ต่อ ลงมือลื่นไหลเป็นธรรมชาติ สังหารอย่างต่อเนื่อง ทว่าหัวคิ้วเขายิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จวบจนในตอนที่วิญญาณจักรพรรดิปรากฏขึ้นจนถึงหกสิบสี่คน…ลมหายใจหวังเป่าเล่อก็เริ่มถี่กระชั้นขึ้นบ้างแล้ว
แม้วิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้จะห่างชั้นกับขั้นที่สี่แท้จริงอยู่มาก ไร้จิตวิญญาณ เป็นดั่งเทพวัตถุ แต่ข้อดีเรื่องจำนวน สำหรับภายนอกโลกถือว่าน่ากลัวเทียมฟ้าเลยทีเดียว
พอที่จะทำลายล้างกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายได้เลย
ถึงขนาดสามารถกล่าวได้ว่า มองไปทั่วทั้งจักรวาลผืนใหญ่แห่งนี้ รวมทั้งทุกเขตแดนดินแดนแห่งเซียน เกรงว่าจำนวนขั้นที่สี่แท้จริงก็คงไม่ถึงหลายสิบ
ดังนั้นถึงแม้พลังของหวังเป่าเล่อจะถึงขั้นที่ห้า แต่ตอนนี้ความรู้สึกอันตรายก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ โดยเฉพาะ…วิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีทางสังหารได้หมด
และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอันตรายยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่จำนวนวิญญาณจักรพรรดิออกมาถึงหกสิบสี่ตัว เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีร่องรอยพลังงานขุมหนึ่งที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่ในสถานที่อันห่างไกลที่ไม่รู้จัก เหมือนคนที่กำลังนอนหลับลึกเปลือกตาขยับน้อยๆ คล้ายใกล้จะตื่น
และความรู้สึกที่ร่องรอยพลังงานนี้ให้แก่เขาก็คือ…มหาเทพที่เขากำลังตามหา!
“ทำต่อไม่ได้อีกแล้ว!”
เมื่อลองทดสอบระดับการแบ่งตัวของวิญญาณจักรพรรดิแล้ว เกรงว่าหนึ่งร้อยกว่าตัวก็คงไม่ใช่ปัญหา และในเวลาเดียวกันก็ได้หยั่งเชิงออกมาแล้วว่าการแบ่งตัวที่มากเกินของวิญญาณจักรพรรดิสามารถเป็นตัวกระตุ้นในการปลุกมหาเทพให้ตื่นขึ้นได้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกที่จะถอยทันที
ร่างกายส่งเสียงดังโครมทีหนึ่ง ชนเข้ากับตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ ทำให้ตาข่ายขนาดใหญ่นี้พังทลายในพริบตา ขณะเดียวกัน วิญญาณจักรพรรดินับสิบก็ไล่ตามมา ผู้ที่อยู่หน้าสุด พริบตาที่ตาข่ายใหญ่พังทลายลงก็มาถึงเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อและกำลังจะลงมือ
หวังเป่าเล่อนัยน์ตาวาววับ มือขวาพลันยกสูง ตอนนี้เองปลายนิ้วของเขากลับปรากฏแสงสีขาวสว่างดุจกระดาษสะท้อนแสง ก่อนแตะลงบนหว่างคิ้วของวิญญาณจักรพรรดิที่เข้ามา
เป็นกฎแห่งกระดาษ
นี่ก็คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดได้ วิธีที่จะสามารถถอดหน้ากากวิญญาณจักรพรรดิออกมาได้ก็คือทำให้หน้ากากกลายเป็นกระดาษ!
เมื่อปลายนิ้วแตะลง กฎแห่งกระดาษพลันปรากฏ พริบตาวิญญาณจักรพรรดิที่ไล่ตามมาผู้นั้น หน้ากากบนหน้าก็บางลงและกลายเป็นกระดาษในทันที ก่อนปลิวร่วงลงมาจากใบหน้าคล้ายกับไม่สามารถติดอยู่ได้ พร้อมปรากฏใบหน้า…ที่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเข้าก็เกิดสายฟ้านับแสนฟาดใส่ลงบนหัว
ใบหน้านั้น…แม้จะไร้ความรู้สึก แม้จะเฉยชา แม้จะซีดขาวผิดปกติ แต่เมื่อเทียบกับใบหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว…
มันเหมือนกันอย่างกับแกะ!!
……………………………………….
หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท