คำพูดของฮูหยินห้าตรงกับความต้องการของชีเหนียง ชีเหนียงน่าจะยอมฟัง!
สืออีเหนียงได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพี่หญิงเจ็ดว่าอย่างไรบ้าง”
“ชีเหนียงเห็นด้วยกับคำพูดของข้า” ฮูหยินห้ายิ้ม “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้มีวิธีจัดการสองวิธี หนึ่งคือรับอนุภรรยา สองคือรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง แต่ข้าคิดว่า หากชีเหนียงตอบตกลงให้รับอนุภรรยาตอนนี้ สำหรับหน้าคนนอก พวกเขาอาจจะมองว่าจูอานผิงไม่โปรดปรานชีเหนียงเหมือนเมื่อก่อน และทำให้นางเสียจุดยืนของตัวเองไป ดังนั้นตอนนี้จะรับอนุภรรยาไม่ได้เด็ดขาด”
พูดแทงใจดำชีเหนียงเข้าเต็มเปา
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
รอยยิ้มของฮูหยินห้าเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม “นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูจะรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงให้ได้เลยหรืออย่างไร เช่นนั้นเราก็คงต้องรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และนายหญิงผู้เฒ่าอยากจะรับใครมาเลี้ยง เราก็รับคนนั้นมาเลี้ยง ถึงตอนนั้น เราก็ต้องเลี้ยงดูเด็กคนนั้นให้ดี ในเมื่ออยากให้บุตรของตัวเองไปเป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น ข้าไม่เชื่อว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็กคนนั้นจะไม่คิดอะไรเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่คิดอะไร แต่ความคิดเห็นของพวกเราก็ไม่ตรงกับพวกเขา ถึงตอนนั้นก็ให้นายหญิงผู้เฒ่าทำให้ตัวเองลำบากอีกทั้งยังพูดออกมาไม่ได้สักหน่อย! หาโอกาสบอกว่าทายาทคนนั้นไม่กตัญญู เรามีคนอยู่ที่ส่วนราชการ มีเรื่องอันใดก็จัดการได้ คอยดูว่านายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูจะเย่อหยิ่งได้อยู่หรือไม่ จัดการนายหญิงผู้เฒ่าได้แล้ว จูอานผิงก็จะรู้สึกผิดต่อชีเหนียงเพราะเรื่องนี้ ถึงตอนนั้นสกุลจูจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับชีเหนียง ตอนนี้สู้กันไปสู้กันมากับจูอานผิงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะจูอานผิงนั้นถือเป็นที่พึ่งของนางตลอดชีวิต”
สืออีเหนียงเหงื่อตก สมแล้วที่ฮูหยินห้าเป็นคนที่เข้าออกพระราชวังมานาน
นึกถึงคำพูดของชีเหนียงตอนที่พวกนางออกมา…ชีเหนียงน่าจะยอมฟังความคิดเห็นของฮูหยินห้าแล้ว
หยินห้าเห็นว่าสืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางก็พูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมหรือ พี่สะใภ้สี่คิดว่าความคิดของข้าไม่ดีหรือเจ้าคะ”
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นความคิดที่ดี ที่สำคัญก็คือชีเหนียงยอมฟังความคิดนี้ รับบุตรของซื่อเหนียงไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ถึงแม้จะบอกว่าคำพูดของนายท่านสองเป็นกุญแจสำคัญ แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับชีเหนียง หากชีเหนียงเห็นด้วย เกรงว่าเชิญนายท่านใหญ่สกุลหลัวออกหน้าพูดให้ก็ได้ แต่หากชีเหนียงไม่เห็นด้วย นายท่านสองมาหาอวี๋อี๋ชิงที่เยี่ยนจิงด้วยตัวเองก็คงไม่มีประโยชน์
ฮูหยินห้าแก้ไขต้นตอของเรื่องนี้ให้นาง
“เป็นความคิดที่ดี!” สืออีเหนียงพูด “เช่นนี้ ท่านอาสองก็คงจะไม่กล้าพูดอะไรแล้ว”
ตบมือข้างเดียวไม่ดัง แต่นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูและชีเหนียงล้วนแต่มีความผิด แต่ว่าพวกนางรู้จักแค่ชีเหนียง ฟังคำพูดของชีเหนียงข้างเดียว แล้วก็ปกป้องแค่ผลประโยชน์ของชีเหนียง
นางขอบคุณฮูหยินห้าอย่างจริงใจ “เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยพูด ไม่เช่นนั้นเราคงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี!”
“คนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ” ฮูหยินห้าปิดปากยิ้ม “พี่สะใภ้สี่แค่เป็นห่วงนาง จึงสับสนจนคิดอะไรไม่ออกเท่านั้นเอง”
พวกนางพูดคุยกันจนกระทั่งรถม้าหยุดแล่น แสดงว่าถึงจวนแล้ว
ฮูหยินห้าพูดขึ้น “พรุ่งนี้พี่สะใภ้สี่ไปที่ตรอกกงเสียนดีกว่า ถึงแม้ว่าชีเหนียงจะตัดสินใจแล้ว แต่ว่านายท่านสองคือบิดาของนาง เกรงว่าตอนนี้เขายังคิดไม่ได้ แล้วยังมีซื่อเหนียง มีคนช่วยออกหน้าพูดให้ นางจะได้ไม่รู้สึกผิด”
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงพูด ลงมาจากรถม้ากับฮูหยินห้า จากนั้นก็นั่งรถลากไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
“ยังคิดที่จะกลับมาอีก!” ไท่ฮูหยินหยอกล้อพวกนางสองคน “ชีเหนียงสบายดีหรือไม่”
พวกนางอธิบายให้ไท่ฮูหยินฟังว่าชีเหนียงมาหาหมอที่เยี่ยนจิง
“แค่รู้สึกไม่สบายใจเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้าเดินไปนั่งข้างไท่ฮูหยิน “บอกว่าจะมาคารวะท่านพรุ่งนี้เช้า ข้าจึงห้ามเอาไว้” นางช่วยพูดให้ชีเหนียง
“ทำถูกแล้ว” ไท่ฮูหยินพยักหน้า “นางคงจะไม่สบายใจ อย่างทำให้นางลำบากใจเลย รอให้นางหายดีแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยมาหาข้า ข้าเห็นเช่นนั้นก็จะได้ดีใจ” จากนั้นก็ถามพวกนาง “ทานข้าวแล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงกำลังจะตอบ ฮูหยินห้าก็ชิงพูดขึ้นว่า “ทานแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงอวี๋เชิญพวกข้าทานข้าวเย็นที่นั่น จึงกลับมาเย็นหน่อย”
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบกลับเรือนเถิด!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “เซินเกอและจิ่นเกอไม่ได้เจอมารดามาทั้งวันแล้ว!”
พวกนางย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงพูดด้วยความรู้สึกผิด “ให้น้องสะใภ้โกหกไท่ฮูหยินเพราะเรื่องของข้า…น้องสะใภ้ห้าไปทานข้าวที่เรือนของข้าดีหรือไม่ ข้าทำอาหารต้อนรับเจ้าสักสองสามอย่าง”
“พี่สะใภ้สี่คิดถึงจิ่นเกอ ข้าเองก็คิดถึงเซินเกอ ไว้ข้าค่อยไปรบกวนพี่สะใภ้สี่วันอื่นดีกว่า!” ฮูหยินห้าพูด กำลังจะแยกย้ายกับสืออีเหนียง ฮูหยินสามและฟังซื่อก็เดินเข้ามาพอดี
“มาคารวะท่านแม่หรือ” ฮูหยินห้าทักทายพวกนาง
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินสามยิ้ม “ได้ยินว่าพวกเจ้าไปเยี่ยมนายหญิงอวี๋มาอย่างนั้นหรือ”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า พี่สะใภ้สามคิดว่าคุณนายน้อยใหญ่ฉลาดและกตัญญู ไม่จำเป็นต้องให้พี่สะใภ้สามสอนกฎเกณฑ์แล้วเช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นพี่สะใภ้สามก็จะกลับซานหยางแล้วหรือเจ้าคะ หากพี่สะใภ้สามกลับซานหยาง คุณนายน้อยใหญ่กลับไปด้วยหรือไม่”
ฮูหยินสามตกใจ นางพูดอย่างคลุมเครือ “ขึ้นอยู่กับท่านแม่”
ฮูหยินห้าอุทาน “ไอ๊หยา” จากนั้นก็พูดกึ่งเยาะเย้ยกึ่งจริงจัง “ข้าไม่สนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ว่า ของขวัญวันเกิดของจิ่นเกอ คุณนายน้อยใหญ่มอบหนังสือโบราณที่มีราคาให้จิ่นเกอเป็นของขวัญ เมื่อถึงงานวันเกิดของเซินเกอ คุณนายน้อยใหญ่ก็ต้องมอบหนังสือโบราณให้เซินเกอด้วยเล่า ไม่เช่นนั้น ระวังข้าจะตามไปขอที่ซานหยาง!”
ฮูหยินสาม ฟังซื่อและสืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนไป
“หนังสือโบราณที่มีราคา?” ฮูหยินสามพูดแล้วมองไปที่ฟังซื่อ
สีหน้าของฟังซื่อไม่เป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด นางพูดเบาๆ “สินเดิมที่ท่านปั๋วให้มา มีโอกาสได้ใช้พอดีเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว นางดึงแขนเสื้อฮูหยินห้า “ไม่ได้กลับเรือนทั้งวัน พี่สะใภ้สามยังต้องไปคารวะท่านแม่!” จากนั้นก็เร่งฮูหยินสาม “สาวใช้เข้าไปรายงานแล้วเจ้าค่ะ หากพวกท่านยังไม่เข้าไป ประเดี๋ยวไท่ฮูหยินจะส่งคนออกมาถาม!” จากนั้นก็จับมือฮูหยินห้าเดินออกไป
ฮูหยินสามมองดูแผ่นหลังของสืออีเหนียงและฮูหยินห้า จากนั้นก็หันมามองฟังซื่อแล้วหันหน้าเดินเข้าไปในห้องโถง
สายตาของฟังซื่อหม่นหมองลง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินตามไปเงียบๆ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะต่อว่าฮูหยินห้า “ผู้ใหญ่อย่างเราไม่ควรทำให้เด็กลำบากใจ!”
“คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้ให้คนรุ่นหลังมีร่มเงา” ฮูหยินห้าไม่พอใจ “ใครบอกให้พี่สะใภ้สามเข้มงวดกับฟังซื่อเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่หยอกล้อนาง” นางพูดต่ออีกว่า “ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อคุณนายน้อยใหญ่ พี่สะใภ้สามชื่นชมคุณนายน้อยใหญ่ต่อหน้าคนอื่น แต่กลับเข้มงวดกับคุณนายน้อยใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ต้องคารวะเช้าเย็น แม้แต่ทานข้าววันละสามมื้อก็ยังตั้งกฎเกณฑ์ให้คุณนายน้อยใหญ่ เราก็เป็นลูกสะใภ้เหมือนกัน แต่ท่านแม่ยังไม่เคยทำเช่นนั้นกับพวกเราเลย นางคงอยากเป็นแม่สามีจนเป็นบ้าไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ท่านแม่คงจะไม่กดนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้กระมัง
ข้าพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ด้วยนิสัยของพี่สะใภ้สาม หากเป็นวันธรรมดานางคงจะลงโทษคุณนายน้อยใหญ่แน่นอน แต่ว่าตอนนี้นางอยากกลับซานหยาง จึงต้องยอมอดทนเท่านั้น ไม่เพียงแต่ต้องอดทน แล้วยังต้องชื่นชมคุณนายน้อยใหญ่ต่อหน้าไท่ฮูหยินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ของขวัญชิ้นนั้นเป็นสินเดิมของลูกสะใภ้ เกี่ยวอะไรกับแม่สามีอย่างนางด้วยเล่า เช่นนี้ฟังซื่อจะได้รู้ว่าต้องจัดการนางเช่นไร ต่อไปจะได้ไม่ต้องทำอะไรตามสีหน้าของแม่สามี แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าวันนี้คุณนายน้อยใหญ่เผลอทำผิดขึ้นมา แต่พี่สะใภ้สามชื่นชมลูกสะใภ้ของตัวเองขนาดนี้ ต่อไปนางก็คงไม่กล้าทำอะไรฟังซื่ออย่างเปิดเผย” นางพูดต่ออีกว่า “สกุลฟังเป็นสกุลใหญ่สกุลโตในหูโจว แล้วยังมีชื่อเสียงในสำนักศึกษาซื่อหลิน หากมีเรื่องกดขี่ข่มเหงลูกสะใภ้แพร่กระจายออกไป ผู้ใหญ่อย่างเราก็จะเสียหน้า พี่สะใภ้สี่อย่าลืมล่ะว่าซินเจี่ยเอ๋อร์ เซินเกอ แล้วยังมีบุตรของพี่สะใภ้สี่…” นางหยุดชะงักไป “เซินเกอและจิ่นเกอยังไม่ได้แต่งงานเลยนะเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเอือมระอา
ทั้งๆ ที่นางอยากทำสงครามเย็นกับฮูหยินสาม แต่ยังคิดว่าตัวเองมีเหตุผล
แล้วนางก็พูดออกไปแล้ว ตำหนิไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อไปคงต้องหาโอกาสช่วยฮูหยินสามและฟังซื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทีหลัง
*****
กลับมาถึงเรือน สวีลิ่งอี๋เอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้อง จิ่นเกอนอนอยู่บนตัวของเขา
“จิ่นเกอไม่ร้องไห้หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงนั่งลงบนเตียงเตาเบาๆ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปหอมแก้มจิ่นเกอ
สวีลิ่งอี๋วางหนังสือลง เขาลูบหัวของจิ่นเกอด้วยความรักและเอ็นดู ก่อนจะพูดเบาๆ “ตอนเย็นร้องอยู่ครู่หนึ่ง ข้าเล่นกับเขาตลอด เล่นจนเหนื่อยเขาจึงหลับไป”
สืออีเหนียงรู้สึกผิด นางหอมแก้มจิ่นเกออีกครั้ง “ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ “เขาเป็นผู้ชาย จะผูกติดกับเอวของเจ้าไปตลอดชีวิตไม่ได้ เมื่อถึงเวลาปล่อยก็ควรจะปล่อย!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็โศกเศร้า นางนั่งจับมือจิ่นเกออยู่ตรงนั้นตั้งนาน
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูด “ดึกแล้ว เจ้าอยู่ข้างนอกมาทั้งวัน รีบพักผ่อนเถิด!”
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทานข้าวเย็น แต่สืออีเหนียงกลับไม่หิว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็บอกให้สาวใช้ทำข้าวต้มมาให้ กลัวสวีลิ่งอี๋จะสงสัยจึงอธิบายว่า “อยู่ที่จวนของพี่หญิงสี่ทานไม่อิ่มเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ทำน้ำแกงรังนกเถิด” สวีลิ่งอี๋บอกสาวใช้ “ยามดึกทานเยอะระวังจะท้องอืด”
ก็จริง อีกทั้งจากมุมมองของโภชนาการ น้ำแกงรังนกมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปในห้องชำระ
ตกกลางคืน นางหิวจนสะดุ้งตื่น
นางลังเลว่าจะหยิบของว่างในชามกระเบื้องลายครามข้างเตียงมารองท้องสักสองชิ้นดีหรือไม่ แต่สวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นมาว่า “เป็นอะไรไปหรือ นอนไม่หลับอย่างนั้นหรือ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่งัวเงีย เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเพราะนางพลิกตัว
“ไม่มีอะไร” สืออีเหนียงรีบพูด “จู่ๆ ก็ตื่นเจ้าค่ะ ท่านโหวรีบนอนเถิด ไม่ต้องสนใจข้า!” นางตัดสินใจรอให้สวีลิ่งอี๋นอนหลับไปก่อนแล้วค่อยลุกขึ้น
ท่ามกลางความมืดมิด นางค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปหาเขา
ร่างกายที่อ่อนนุ่มอรชรราวกับต้นหลิวขยับเข้ามาใกล้เขา ทันใดนั้นเขาก็ไร้สิ้นความง่วงใดๆ
“คิดถึงข้าหรือ!” พูดพร้อมกับยื่นมือออกมา
“อะไรนะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงตื่นตระหนก
สองสามวันก่อนระดูนางมา พึ่งจะหมดไปเมื่อวาน
สวีลิ่งอี๋จับไม่โดนสิ่งที่อยากจับ เขาหัวเราะเบาๆ
จากนั้นก็จับมือนางแล้วพลิกตัว
“แต่ข้าคิดถึงเจ้า ควรทำอย่างไรดี” เขากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของนาง
ตัวของสืออีเหนียงร้อนผ่าว นางหยิกเขา “ถ้าอย่างนั้นก็คิดถึงต่อไปเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ขบใบหูของนางแล้วยิ้มพราย จากนั้นก็กดตัวนางลง…