บทที่ 517 ให้โอกาสพวกเจ้าสักครา ให้พวกเจ้าได้โอบกอดความพิศวง!
ฟิ้ว!
ศรขนนกพุ่งทะยาน แทงเข้าบุรุษวัยกลางคนขนขาวอีกครั้งในพริบตา บุรุษวัยกลางคนขนขาวกระเด็นออกไป โลหิตสีขาวพิศวงสาดกระเซ็นไปทั่วอวกาศ
หลิงอินมิได้พูดจา แต่แสดงจุดยืนด้วยการกระทำ
นางไม่รู้ว่าสิ่งที่บุรุษวัยกลางคนชุดขาวกล่าวมานั้นคือความจริงหรือไม่ ทว่าทั้งหมดนั้นมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือต้องช่วยพี่ชายเสี่ยวหยาออกมา!
คุณชายถ่ายทอดบทเพลง ‘คะนึงหา’ แก่เสี่ยวหยา ก็เพื่อให้เสี่ยวหยาได้ไปช่วยพี่ชาย คุณชายนั้นเก่งกาจปานใด ไฉนเลยจะไม่ทราบสถานการณ์ของที่นี่
เป็นไปมิได้เลย!
บทเพลงของคุณชายเชื่อมตรงไปถึงยุคโบราณ คืนชีพเสี่ยวหยาซึ่งตายไปในยุคโบราณขึ้นมาใหม่ในยุคนี้ ท่านต้องมีฝีมือสะท้านโลกันตร์เพียงใดเชียว ความลึกล้ำของขอบเขตพลังคุณชายเกินหยั่งอย่างแท้จริง!
เกรงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชาย เซียนยังไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง ห่างชั้นกันไกลโข!
และคุณชายอาจเป็นถึงจักรพรรดิแห่งเซียน การดำรงอยู่ระดับบูรพาจารย์ในหมู่เซียน!
แม้พื้นที่แห่งนี้พิศวงน่ากลัว กระนั้นก็หนีไม่พ้นจิตของคุณชาย
ไม่มีทางที่คุณชายไม่ทราบถึงสถานการณ์ในแดนดินนี้
ในเมื่อคุณชายล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแดนดินนี้ แต่ยังส่งพวกนางมาช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา บ่งบอกว่าคุณชายมิได้ยี่หระนครพิศวงแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มิฉะนั้น คงไม่ปล่อยให้พวกนางมาโดยปราศจากคำกำชับ
หากคุณชายยี่หระนครพิศวงแห่งนี้จริง ก่อนพวกนางเดินทาง คุณชายย่อมต้องจัดแจงบางอย่างไว้ให้ ในเรื่องนี้ หลิงอินซึ่งติดตามคุณชายมานานรู้ดี
คุณชายมิได้เตรียมการอย่างอื่นสำหรับพวกนาง บ่งบอกว่านครพิศวงนี้แค่ดาด ๆ คุณชายมิได้เก็บไปใส่ใจ
ถึงอย่างไร นครพิศวงก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงอย่างแท้จริง หากแม้แต่คุณชายยังยำเกรง คงไม่ส่งพวกนางมาช่วยพี่ชายเสี่ยวหยา
ถ้าแม้แต่คุณชายยังยำเกรง พวกนางจะช่วยได้อย่างไร เดินทางมานี่มิเท่ากับรนหาที่ตายหรือ?
แล้วคุณชายไฉนเลยจะปล่อยให้พวกนางรนหาที่ตาย
เป็นไปไม่ได้!
หลิงอินตระหนักถึงข้อนี้ดี ด้วยเหตุนี้ นางจึงมิได้เก็บคำกล่าวของบุรุษวัยกลางคนขนขาวมาใส่ใจนัก แต่ยิงศรใส่ทันที
“เจ้า!”
บุรุษวัยกลางคนขนขาวพิโรธ โลหิตหลั่งรินเป็นสายไปทั้งตัว เขาบาดเจ็บหนักเกินไป และไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือเด็กสาวสองคนเช่นนี้!
อนิจจา ต่อให้เขาโมโหเพียงใดก็มิกล้าเข้าไปห้ำหั่น
เขาถูกลดทอนพลังมากเกินไป มิใช่คู่ต่อสู้ของหลิงอิน เข้าไปห้ำหั่นก็รั้งแต่จะนำความอัปยศสู่ตนเองเท่านั้น!
“ท่านเจ้าหลวง!”
เขามิได้ลังเล เรียกหาเจ้าหลวงทันที หมายจะให้เจ้าหลวงฟื้นขึ้น สังหารหลิงอินและเสี่ยวหยา
ไม่นานนัก พลังปราณอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงมากมายซัดสาดออกจากส่วนลึก พลังปราณเช่นนี้ แม้แต่หลิงอินยังรู้สึกหนักอึ้งในใจ กดดันเป็นอย่างมาก!
ทว่าภายใต้เพลงฉินที่เสี่ยวหยาบรรเลง ความกดดันหนักอึ้งนี้สลายไปจากใจหลิงอินอย่างรวดเร็ว
สิ่งมีชีวิตบางอย่างก้าวออกจากส่วนลึก
มันคือสิ่งมีชีวิตพิศวงที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยขนเขียว รูปลักษณ์ประหลาดเป็นที่สุด ราวกับเป็นผีร้ายตัวจริง พลังปราณคนตายชวนขนลุกอบอวลอยู่รอบกาย
ดวงตาของมันมโหฬารยิ่งกว่าดวงดาวเสียอีก เปลวเพลิงสีเขียวลุกโชติอยู่ภายใน มันเป็นสิ่งมีชีวิตขอบเขตไหนนั้น หลิงอินไม่ทราบ แต่นางแน่ใจได้ว่า สิ่งมีชีวิตตนนี้อยู่เหนือขั้นเทียนตี้แน่นอน!
สิ่งมีชีวิตระดับเซียน…อย่างนั้นหรือ!?
นัยน์ตาหลิงอินหรี่ลง ดูท่าบุรุษวัยกลางคนขนขาวมิได้อวดเบ่งไปอย่างนั้น สายน้ำในนครพิศวงลึกล้ำอย่างแท้จริง
“แปลกจริง ข้ามองไม่ออกว่าสิ่งใดอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า…”
เจ้าหลวงซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนเขียวหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
มันอยู่ในขอบเขตใดอย่างนั้นหรือ?
ขาข้างหนึ่งก้าวสู่ระดับเซียน ได้แตะขอบเขตแห่งเซียน เรียกว่าครึ่งก้าวเซียนได้อย่างแน่นอน แต่กลับไม่อาจพยากรณ์ได้ว่าบนตัวหลิงอินและเสี่ยวหยามีพลังกรรมใดดำรงอยู่ เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของมันจริง ๆ
“เพราะบันทึกเพลงฉินเล่มนั้นหรือ”
มันจ้องมองบันทึกเพลงฉินที่ลอยอยู่ในอวกาศ ท่าทางครุ่นคิด มองว่าบันทึกเพลงฉินเล่มนี้บดบังการพยากรณ์ของมัน จนมันไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าบนตัวหลิงอินและเสี่ยวหยามีพลังกรรมใดดำรงอยู่
“มันเป็นเซียนตนหนึ่งหรือ”
เสี่ยวหยาอดมิได้ ถามกับหลิงอิน
นางสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตขนเขียวตนนี้น่ากลัวปานใดผ่านเพลงฉิน อยู่เหนือกว่าบุรุษวัยกลางคนขนขาวมากโข นางนึกถึงเซียนอย่างอดมิได้!
“น่าจะใช่ ทว่าน่าจะมิใช่เช่นกัน!”
หลิงอินขมวดคิ้วมุ่น “พลังน่าพรั่นพรึงในตัวมันทำให้ข้าคิดว่ามันเป็นเซียน แต่ข้าสัมผัสถึงความเป็นนิรันดรของเซียนจากตัวมันไม่ได้เลย มันคงมิใช่เซียนอย่างแท้จริง!
“ความเป็นนิรันดรหรือ”
เจ้าหลวงเอ่ยเสียงราบเรียบ “ต่อให้ข้ามิใช่เซียน ข้าก็ดำรงอยู่เป็นนิรันดรได้ ในโลกนี้ยังมีสสารนิรันดร์อื่นดำรงอยู่ สูงส่งอัศจรรย์ยิ่งกว่าสสารนิรันดร์ที่เซียนมีในครอบครองเสียอีก!”
สำหรับมัน ความเป็นนิรันดรมิใช่ปัญหา แม้กระทั่งกับบุรุษวัยกลางคนขนขาวยังมิใช่ปัญหา พวกมันล้วนสามารถดำรงอยู่เป็นนิรันดร ไม่ถูกกาลเวลารบกวน
รวมถึงสมาชิกตนอื่นในสถานที่แห่งนี้ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่พวกมันกำลังดัดแปลงก็เป็นเช่นนี้ ล้วนไม่ถูกกาลเวลารบกวน
แน่นอนว่า ความเป็นนิรันดรนี้มิใช่ว่าไม่มีวันดับสูญ เพียงแต่พวกมันสามารถเพิกเฉยต่อกาลเวลา มิใช่ไม่ดับไม่สูญ
“สสารพิศวงอย่างที่พวกเจ้ามีหรือ!?”
หลิงอินเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง สังเกตเห็นนานแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยสสารพิศวง หากสิ่งที่เจ้าหลวงกล่าวมาเป็นความจริง สสารนิรันดร์อีกชนิดที่เจ้าหลวงเอ่ยถึงคงเป็นสสารพิศวงนี้
“ถูกต้อง! นี่คือแหล่งกำเนิดพลังสูงสุดอย่างแท้จริง คือสสารสูงส่งอย่างแท้จริง แม้กระทั่งสสารโกลาหลวิวัฒน์จนเกิดเป็นสรรพสิ่งยังห่างชั้นไกลโข!”
ยามเจ้าหลวงเอ่ยวาจานี้ สายตาเปี่ยมไปด้วยความเคารพยำเกรง
“อนิจจา สสารในที่แห่งนี้มิสู้จะบริสุทธิ์เท่าใด มิฉะนั้น พวกเจ้าคงได้เรียนรู้ว่าสสารชนิดนี้สูงส่งเพียงใด!” มันเอ่ยต่อ
เก่งกาจปานนั้นเชียว
หลิงอินคิดไม่ถึงนิดหน่อย ลอบตะลึงในใจ สสารไม่บริสุทธิ์เช่นนี้ยังช่วยให้สิ่งมีชีวิตอย่างพวกเจ้าหลวงเพิกเฉยต่อกาลเวลาได้อย่างนั้นหรือ
รากฐานที่แม้แต่เซียนยังต้องเกรงกลัว!
ดูท่าเมื่อครู่บุรุษวัยกลางคนขนขาวมิได้พูดจาเหลวไหล…
ครืดคราด!
เวลานั้น เสียงสั่นสะเทือนของโซ่ดังออกมาจากส่วนลึก พร้อมกับเสียงคำรามกึกก้อง
“เสี่ยวหยา เจ้ามาแล้วหรือ”
เสียงคำรามนั้นเจือแววสะอื้น ราวกับเขารู้สึกถึงการมาเยือนของเสี่ยวหยา
“พี่ชาย!”
เสี่ยวหยาอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในบัดดล นี่คือเสียงของพี่ชายนาง!
“หืม สติสัมปชัญญะของเขายังอยู่อีกหรือ”
เจ้าหลวงหันกลับไปมอง คิดไม่ถึงเล็กน้อย มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของเสียง
มันเห็นความมีอนาคตของคนผู้นี้ และมันนั่นเอง ที่ตั้งใจพาเขากลับมา มันคิดไม่ถึงว่าผ่านไปอย่างยาวนานปานนี้แล้ว สติสัมปชัญญะของคนผู้นี้กลับยังอยู่ มิได้ผสานเป็นหนึ่งกับความพิศวง
“หลีกไป อย่าได้ขวางทาง!”
หลิงอินยกคันศรใหญ่ในมือ เล็งไปที่เจ้าหลวง
นางไม่สนว่าเบื้องหลังเจ้าหลวงสยดสยองเพียงใด วันนี้นางต้องช่วยพี่ชายของเสี่ยวหยาออกไปให้ได้ ต่อให้ต้องจ่ายด้วยราคาแพงเท่าใดนางก็ไม่นึกเสียดาย!
“อย่าได้เล็งศรมั่วซั่วเช่นนี้ การดำรงอยู่บางประการมิใช่ตัวตนที่เจ้าจะสุ่มสี่สุ่มห้าเล็งได้”
เจ้าหลวงมีสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าสองคนไม่เลว ข้าเห็นอนาคตในตัวพวกเจ้า ข้าจักให้โอกาสพวกเจ้าสักครา ให้พวกเจ้าได้โอบกอดความพิศวง!”