สองวันต่อมา วันที่ 25 สิงหาคม ซุนเย่าหั่วก็เข้าไปในสตูดิโอเพื่ออัดเพลง ‘สิบปี’ อย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าใช้สตูดิโออัดเสียงของบริษัท
สตาร์ไลท์เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทเพลง ถึงแม้ปัจจุบันนี้จะผลิตภาพยนตร์ด้วย แต่อุปกรณ์ด้านดนตรีนับว่าอยู่ระดับไฮเอนด์
คนนอกอาจรู้สึกว่า สตูดิโออัดเสียงทุกแห่งคล้ายกันหมด แต่ในความจริงแล้วมีความแตกต่างกันมาก
ตัวอย่างเช่น การตั้งค่าความก้องของเสียงในห้อง การตั้งค่าฉนวนกันเสียงของห้อง รวมไปถึงการตั้งค่าการดูดซับเสียงของห้อง เป็นต้น
ยิ่งเป็นสตูดิโอบันทึกเสียงที่ดีเท่าไร ยิ่งใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้มากขึ้น และแม้แต่ขนาดของห้องก็มีการวางแผนอย่างเคร่งครัด
คนธรรมดาอย่างเราเปิดแอปพลิเคชันบันทึกเสียงเพื่ออัดเพลง และมักคิดว่าระดับของตนกับนักร้องนั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน
เมื่อเปิดแอปพลิเคชันจำพวกวีซิง ก็มักรู้สึกว่าพี่ชายพี่สาวในนั้นทั้งหน้าตาดี ทั้งร้องเพลงได้ดีมาก…
เรื่องนี้ไม่ได้เกินจริงเลย
เพลงที่นักร้องปล่อยออกมานั้นล้วนมาจากสตูดิโออัดเสียง
มีนักร้องในวงการบางคนโดยพื้นฐานแล้วเป็นคนเสียงเพี้ยน เมื่อร้องสดแล้วดีกว่าบรรดานักยึดไมโครโฟนในคาราโอเกะอยู่เพียงเล็กน้อย
เมื่อใดก็ตามที่คนธรรมดาซึ่งร้องเพลงได้ดีเข้ามาในสตูดิโออัดเสียง หลังจากผ่านการปรับแต่งนิดหน่อยโดยซาวด์เอนจิเนียร์มืออาชีพ ก็ย่อมบังเกิดผลที่ดีได้
ถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งเสียง
สตูดิโออัดเสียง เป็นสถานที่ซึ่งเปลี่ยนความเน่าเฟะให้กลายเป็นความมหัศจรรย์
แน่นอน ประเด็นถกเถียงข้างบนคือนักร้องฝีมือปานกลาง
นักร้องฝีมือดี เมื่อเทียบกับคนธรรมดาแล้ว ย่อมมีความแตกต่างจริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นคนนั้นหรือคนนี้ ทุกคนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างอิสระ
แต่ต่อให้สตูดิโออัดเสียงจะดีแค่ไหน หากฝีมือของนักร้องไม่มากพอ ก็ไม่มีทางถูกหลินเยวียนเลือก
ซุนเย่าหั่วได้รับความไว้วางใจจากหลินเยวียนมาโดยตลอด ก็เพราะซุนเย่าหั่วมีความสามารถระดับมืออาชีพที่ผ่านเกณฑ์
ทว่าการอัดเสียงในวันนี้ ทันทีที่ซุนเย่าหั่วเปล่งเสียง ก็ทำให้หลินเยวียนประหลาดใจ
“หากไม่หวาดกลัวที่จะเอ่ยสองคำนั้น ฉันคงไม่รู้ว่าฉันก็เสียใจ จะให้พูดอย่างไร สุดท้ายก็แยกจากกัน”
ลมหายใจ น้ำเสียง อารมณ์ และความรู้สึก ล้วนเป็นเกณฑ์ในการประเมินทักษะการร้องเพลง
หากมีการให้คะแนนทักษะการร้องเพลง คะแนนเต็ม 100 คะแนน หลินเยวียนจะให้ซุนเย่าหั่วเมื่อก่อนสัก 75 คะแนน
เมื่อเทียบกันแล้ว เจียงขุยต้องได้อย่างน้อย 80 คะแนน
ทว่าทักษะการร้องเพลงที่ซุนเย่าหั่วแสดงออกมาในวันนี้ กลับแตะถึงเกินกว่า 80 คะแนน
มีการพัฒนาแล้ว!
หลินเยวียนมั่นใจเต็มร้อย ว่าในช่วงเวลานานที่พวกเขาไม่ได้ร่วมงานกัน ซุนเย่าหั่วจะต้องซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนัก ไม่เช่นนั้นซุนเย่าหั่วคงไม่มีทางพัฒนาไปมากถึงขนาดนี้
หากไม่ทุ่มเท ย่อมไม่มีการพัฒนาได้มากเช่นนี้หรอก
ถ้าหากทุกคนปราศจากแนวคิดอันจำเพาะเจาะจงเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการร้องเพลง ก็สามารถไปฟังระดับของจางเจี๋ยหลังจากที่เพิ่งเดบิวต์ได้ไม่นาน แล้วเปรียบเทียบกับฝีมือการร้องสดในช่วงหลัง
หลังจากอัดเพลงอยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าค่อนข้างราบรื่นทีเดียว
ซาวด์เอนจิเนียร์กล่าว “เพลงนี้ไม่ต้องใช้ช่องเสียงกับเทคนิคการร้องที่สูง ประโยคที่ว่า ‘ทำไมตอนจากกันเราถึงไม่’ คำว่าจากกันสองคำนี้เป็นขั้นคู่หกเมเจอร์ ต้องเปลี่ยนเรโซแนนซ์ เมื่อกี้ที่คุณยังทำเรียบเกินไป”
ซุนเย่าหั่วพยักหน้า
จุดที่ยากของเพลงนี้คือความรู้สึก การจัดการรายละเอียด รวมไปถึงการควบคุมการเปลี่ยนอารมณ์ โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาฝึกสองสามวันก็เชี่ยวชาญ
เขามองไปทางหลินเยวียน “รุ่นน้องมีความเห็นอะไรไหม”
โดยปกติแล้วหลินเยวียนชอบเสนอความคิดเห็น แต่ในวันนี้หลินเยวียนคล้ายกับว่าจะไม่ได้เอ่ยขัดการร้องของตนเลย
หลินเยวียนครุ่นคิด “ความจริงใจ”
เรื่องทางเทคนิคนั้นมีเจ้าหน้าที่ในสตูดิโออัดเสียงคอยเตือน ตัวซุนเย่าหั่วเองเป็นมืออาชีพมากพอ แต่ของอย่างความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่นักร้องต้องเข้าใจด้วยตนเอง
ความจริงใจ…
ซุนเย่าหั่วชะงักไปเล็กน้อย หลังจากเงียบไป ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ฉันจะลองดู”
ไม่นาน การอัดเสียงรอบใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น
ซุนเย่าหั่วหลับตาลง มือขวาของเขาปิดหูฟัง น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “หากไม่หวาดกลัวที่จะเอ่ยสองคำนั้น ฉันคงไม่รู้ว่าฉันก็เสียใจ…”
ซาวด์เอนจิเนียร์อึ้งไปชั่วขณะ สัมผัสได้ว่าบรรยากาศเศร้าโศกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แววตาของหลินเยวียน กลับเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“หากพรุ่งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ จับมือกันเหมือนออกเดินทาง…”
เสียงของซุนเย่าหั่วแฝงความขื่นขมขึ้นมา
บทเพลงนี้เป็นเพลงบัลลาดสุดคลาสสิก แต่เขากลับนึกถึงบทสนทนาที่ตนคุยกับรุ่นน้องเมื่อไม่กี่วันก่อนได้
ตนคิดอยากยอมแพ้กับดนตรีแล้ว ทว่ารุ่นน้องกลับโน้มน้าวให้เขาพยายามต่อไป
ถ้าหากไม่มีคำยืนกรานของรุ่นน้อง ตนจะยังมายืนร้องเพลงอยู่ตรงนี้ต่อหรือเปล่า?
ซุนเย่าหั่วไม่รู้
เขาเพียงแต่รู้สึกเศร้าและไม่เต็มใจ
ผู้หญิงคนที่เนื้อเพลงกล่าวถึง เหมือนกับตนและดนตรีเหลือเกิน
“ในเมื่ออ้อมกอดไม่อาจรั้งไว้ ทำไมตอนจากกันเราถึงไม่ ตักตวงความสุข ร้องไห้ด้วยกัน”
ความรู้สึกทั้งหมด คล้ายกับซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง
เสียงของซุุนเย่าหั่วไม่สูง แต่ชั่วขณะนั้นกลับมีพลังกินใจผู้ชม
“สิบปีที่ผ่าน ฉันไม่รู้จักเธอ เธอไม่ใช่ของฉัน เราสองคนไม่ต่างกัน เคียงข้างคนแปลกหน้าเฉกเช่นทุกวัน ค่อยๆ เดินผ่านมุมถนนที่คุ้นเคย สิบปีที่ผ่าน เราเป็นแค่เพื่อนกัน…”
ซุนเย่าหั่วขอบตาแดงระเรื่อ
เขาไม่รู้ว่าตนรู้สึกประทับใจกับเรื่องราวความรักในเนื้อเพลง หรือเขากำลังจินตนาการว่าตนจะเป็นอย่างไรในอีกสิบปีข้างหน้าเมื่อเขาเลิกร้องเพลงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ฉะนั้นจึงรู้สึกอ่อนไหวเหลือเกิน
“ตราบจนเป็นเพื่อนกับเธอมานานหลายปี ถึงเข้าใจว่าน้ำตาที่รินไหลไม่ใช่เพื่อเธอ ไม่ใช่เพื่อเธอคนเดียว”
ตอนจบของเนื้อเพลง
ทั้งสองพลาดพลั้งไป
ซุนเย่าหั่วร้องเพลงมาจนถึงจุดที่ความรู้สึกแตกสลาย หยดน้ำตาเอ่อท้นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ยามที่เขาตั้งสติได้ ทันใดนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่ในสตูดิโอยกนิ้วโป้งให้
ใช้ได้แล้ว
หลินเยวียนยิ้มพลางพยักหน้าให้เขา
ซุนเย่าหั่วค่อยๆ คลายกำปั้นที่เค้นแน่น มุมปากพยายามยกยิ้ม
นี่คือความจริงใจใช่ไหมนะ
ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องราวความรักตลอดช่วงเวลาสิบปีเพียงเพื่อร้องเพลง ไม่มีนักร้องคนไหนทำได้ถึงระดับนั้นหรอก
ถ้าทำจริงๆ ธรรมชาติของเพลงจะเปลี่ยนไป
สิ่งที่เรียกว่าความจริงใจ เป็นเพียงการส่งความรู้สึกของตนผ่านบทเพลง
ณ อีกฝั่งหนึ่งของอารมณ์ แท้จริงแล้วผู้หญิงเป็นเพียงสัญลักษณ์ สัญลักษณ์นี้เป็นได้ทั้งผู้หญิง หรือจะเป็นอย่างอื่นก็ได้
ตราบใดที่เราไม่ยินยอมพร้อมใจจะละทิ้งหรือยอมแพ้
สิ่งที่ซุนเย่าหั่วนึกถึงก็คือดนตรี เขาไม่รู้ว่าการส่งผ่านความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนกับการถ่ายโอนความรู้สึกในการแสดง
ตัวอย่างเช่น ยามที่นักแสดงอยากร้องไห้ขณะเข้าฉาก ถ้าหากร้องไห้ไม่ออก ก็สามารถนึกถึงเรื่องราวอันเจ็บปวดมาถ่ายทอดความรู้สึกได้
และความตั้งใจของหลินเยวียน ก็คือการทำให้ซุนเย่าหั่วหาพลังของความรู้สึกเจอ
ทว่าหลินเยวียนไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน
หากให้เขาพูดให้ชัด การทำให้ซุนเย่าหั่วนึกถึงเรื่องเศร้าสักเรื่องหนึ่ง ย่อมยากที่จะฝืน
การชี้นำทางความรู้สึก เป็นธรรมชาติสักหน่อยย่อมดีกว่า
ความจริงเป็นประจักษ์ ว่าซุนเย่าหัวมีความรู้สึก และมีความรู้สึกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะในทัศนะของนักร้อง นักแสดง หรือแม้แต่ศิลปินในแขนงต่างๆ อันที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดี
หลินเยวียนสามารถวิจารณ์อย่างยุติธรรมได้ว่า
เขาร่วมงานกับซุนเย่าหั่วมานาน เพลงสิบปีเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของซุนเย่าหั่วตลอดสองปีที่ผ่านมา
ขอเพียงทำให้ตนซาบซึ้งได้ ก็ย่อมทำให้สาธารณชนซาบซึ้งได้เช่นกัน
……………………………………………………….