หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็บอกให้ชิวอวี่ที่เฝ้ายามไปบอกให้โรงครัวต้มบะหมี่น้ำแกงไก่เข้ามา
“ไม่เป็นไรเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบพูด “ต้องตั้งเตาใหม่ ในกล่องอาหารข้างนอกมีขนมอยู่ ข้าทานรองท้องสักสองชิ้นก็ได้ อีกอย่าง ประเดี๋ยวฟ้าก็สว่างแล้ว”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจนาง เขาบอกชิวอวี่ “รีบไปรีบมา”
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สวีลิ่งอี๋ตำหนินางด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ในจวนมีบ่าวรับใช้ตั้งมากมาย แต่เจ้ากลับตื่นเพราะหิวยามดึก!” เห็นท่าทีเกียจคร้านของนาง ท่าทางดูเหนื่อยล้า เขาก็รู้สึกสงสาร ดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “พึ่งจะอ้วนขึ้นนิดหน่อย เจ้าไม่รักตัวเองเกินไปแล้ว”
สืออีเหนียงหน้าแดงก่ำ นางเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา
สวีลิ่งอี๋เห็นท่าทีของนางที่ราวกับเด็กน้อย ก็อดหัวเราะไม่ได้
สืออีเหนียงหน้าแดงจนร้อนผ่าว เพื่อทำให้ตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์ตอนนี้ นางจึงพูดเรื่องทั่วไปกับเขา “ยามเย็นไปคารวะท่านแม่ บังเอิญเจอกับพี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ ท่านโหวเล่าเจตนาของคุณชายสามให้ท่านแม่ฟังแล้วหรือยัง”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางเขินอาย เขายิ้มแล้วห่มผ้าให้นาง ห่อตัวนางอย่างแน่นหนาแล้วพูดว่า “เล่าแล้ว ท่านแม่บอกว่าในเมื่อพวกเขาคิดเช่นนี้ เราบังคับพวกเขาก็คงจะทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาอยากย้ายก็ให้พวกเขาย้ายเถิด!”
เขาพูดอย่างเรียบเฉย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็คาดคิดไม่ถึง
สืออีเหนียงเสียใจที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ชิวอวี่ยกบะหมี่น้ำแกงไก่เข้ามาพอดี สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วลากสวีลิ่งอี๋ไปทานบะหมี่ด้วยกัน
“ข้าไม่ทาน!” สวีลิ่งอี๋ช่วยสวมเสื้อคลุมให้นาง “เจ้าทานเถิด!” จากนั้นก็ลุกขึ้นยกบะหมี่เข้ามานั่งข้างๆ มองดูสืออีเหนียงทานบะหมี่
ภายใต้แสงไฟ สืออีเหนียงยิ้มแล้วทานบะหมี่ทีละคำด้วยสีหน้าที่อิ่มเอิบใจ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข
ตนชอบสืออีเหนียงที่เป็นเช่นนี้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถทำให้นางมีความสุขได้
เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับผมที่อยู่ข้างหลังใบหูของนาง “ค่อยๆ ทาน ระวังร้อน”
*****
ทานบะหมี่เสร็จ ล้างปากล้างมือแล้วนอนลงอีกครั้ง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
สวีลิ่งอี๋ไปฝึกดาบที่สวนดอกไม้หลังจวน ส่วนสืออีเหนียงนอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้น
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินขอรับ คุณชายใหญ่ตรอกกงเสียนมาขอรับ!”
สืออีเหนียงไม่สบายใจ
มาเช้าขนาดนี้ หรือว่าเรื่องของชีเหนียงมีอะไรเปลี่ยนแปลง?
นางบอกบ่าวรับใช้คนนั้น “เชิญคุณชายใหญ่ไปนั่งที่ห้องหนังสือ” แล้วเร่งให้ชิวอวี่หวีผมให้นางเร็วๆ จากนั้นก็รีบไปที่ห้องหนังสือ
หลัวเจิ้นซิ่งเอามือไขว้หลังเดินวนอยู่ในห้องหนังสือด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ทันทีที่เห็นสืออีเหนียง เขาก็รีบเดินเข้ามา “ข้าเขียนจดหมายให้ท่านพ่อ เจ้ารีบส่งคนนำไปส่งที่อวี๋หังเถิด” พูดจบก็หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ
นายท่านใหญ่ยังไม่ได้เขียนจดหมายตอบกลับมา เหตุใดหลัวเจิ้นซิ่งถึงต้องส่งจดหมายไปที่อวี๋หังอีกครั้งด้วยเล่า
“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเชิญหลัวเจิ้นซิ่งนั่งลงพูดคุยกัน
หลัวเจิ้นซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดช้าๆ ว่า “ข้าได้รับจดหมายจากท่านอาสองแล้ว ฟังจากน้ำเสียงของท่านอาสองแล้ว เขาเห็นด้วยที่จะให้ชีเหนียงรับบุตรของซื่อเหนียงไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม แล้วยังบอกให้ข้าไปช่วยชีเหนียงพูดกับสกุลจู ข้าคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูล กฎเกณฑ์บางอย่างข้าก็ไม่รู้ดี จึงต้องให้ท่านพ่อออกหน้าดูแลสถานการณ์โดยรวม”
เช่นนี้ก็หมายความว่าหลัวเจิ้นซิ่งรู้เจตนาของท่านอาสองแล้ว
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากฮูหยินห้าให้หลัวเจิ้นซิ่งฟัง
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่น เอ่ยตำหนิสืออีเหนียง “น้องหญิงเจ็ดไม่รู้ความ เหตุใดเจ้าก็ไม่รู้ความเหมือนนาง ท่านอาสองแค่คิดว่าสกุลจูไม่เห็นหัวสกุลหลัว ไม่พูดอะไรสักคำก็กลับเปิดศาลบรรพชน เขาก็แค่โมโห ลูกๆ อย่างเราจะวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใหญ่ได้เช่นไร”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขายังอยากจะรักษาศักดิ์ศรีความเป็นญาติผู้ใหญ่ของนายท่านสองอีก
นางตอบกลับ “เจ้าค่ะ” เบาๆ จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปเชิญพ่อบ้านไป๋มา
สีหน้าของหลัวเจิ้นซิ่งผ่อนคลายลง พูดขึ้นว่า “สองสามวันนี้เจ้ามีเรื่องสำคัญอะไรหรือไม่ หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร ก็ไปเกลี้ยกล่อมชีเหนียงเถิด อย่าให้นางเอาแต่ใจตัวเอง เรื่องทายาท ข้าจะช่วยออกหน้าพูดให้นางเอง อย่าให้นางพูดอะไรกับน้องเขยเจ็ด แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรกับคนสกุลจู หากคนสกุลจูมาหานาง หรือว่าจูอานผิงพูดเรื่องทายาทกับนาง ก็บอกให้เขามาหาข้า! “
กลัวว่าหากชีเหนียงดื้อดึงเช่นนี้ต่อไป มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ตัวเองเชิญฮูหยินห้าไปเกลี้ยกล่อมชีเหนียงให้หลัวเจิ้นซิ่งฟัง
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามีเวลาก็พาฮูหยินห้าไปหาชีเหนียงเถิด”
ถือว่ายอมรับความคิดเห็นของตานหยางแล้ว
สวีลิ่งอี๋กลับมาพอดี
“มีเรื่องด่วนอะไร เหตุใดถึงมาเช้าขนาดนี้” เขายิ้มแล้วบอกให้สาวใช้จัดอาหารเช้า
“อยากยืมคนของท่านโหวส่งจดหมายไปที่อวี๋หังขอรับ” พวกเขาสองพี่น้องเลือกข้ออ้างเหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมาย “สองสามวันนี้มีรายงานจากแม่ทัพเจี่ยงที่ฝูเจี้ยน โต้วเก๋อเหล่าบอกให้เราเขียนรายงานให้หกกรมส่งไปแต่ละมณฑล ข้าต้องรีบไปสำนักศึกษาฮั่นหลิน วันอื่นค่อยมาดื่มชากับท่านโหวขอรับ” เขาปฏิเสธสวีลิ่งอี๋อ้อมๆ จากนั้นก็ขอตัวลา
สวีลิ่งอี๋ได้ยินว่าเขามีธุระจึงไม่รั้งเขาไว้ เขาถามเรื่องสงครามที่ฝูเจี้ยนพร้อมกับเดินออกไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งหน้าประตู จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับพ่อบ้านไป๋ “สองสามวันนี้คุณชายใหญ่ให้เจ้าส่งจดหมายให้เขาบ่อยครั้งหรือ”
เรื่องบางเรื่อง ไม่ถามก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่เมื่อถามแล้วก็ปิดบังไม่ได้
“ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองขอรับ” พ่อบ้านไป๋พูด “ครั้งแรกฮูหยินเป็นคนบอให้นำจดหมายไปส่งขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วกลับไปที่เรือนหลัก ส่วนสืออีเหนียงคารวะไท่ฮูหยินเสร็จแล้วก็พาจิ่นเกอไปที่เรือนของฮูหยินห้า
“พี่หญิงเจ็ดให้ผู้ดูแลหญิงนำจดหมายมา บอกว่าอีกสองวันพี่เขยเจ็ดก็จะมาถึงเยี่ยนจิงแล้วอย่างนั้นหรือ”
จิ่นเกอที่พึ่งจะเดินเป็นไม่ยอมให้ใครอุ้ม เขาจะเดินเองให้ได้ เดินอยู่ในห้องโถงที่กว้างขวางของเรือนฮูหยินห้า ไม่ยอมให้ใครประคอง สืออีเหนียงกางแขนประคองจิ่นเกออยู่ข้างหลังราวกับแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ก็ไม่ปาน คอยกันไม่ให้เขาล้ม แล้วยังเงยหน้ามองฮูหยินห้าที่นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างเป็นครั้งคราว
“ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าคิดว่าสืออีเหนียงเป็นห่วงจิ่นเกอเกินไป “ให้แม่นมช่วยดูเขาก็ได้กระมัง พี่สะใภ้สี่มานั่งเถิด!” จากนั้นก็พูดว่า “นางถามข้าว่าควรทำอย่างไรดี”
“เมื่อคืนข้ากลับมาเย็น เขานอนหลับไปก็ไม่เห็นข้า วันนี้ตื่นขึ้นมาก็จะให้ข้าอุ้ม แม้แต่ท่านโหวก็ไม่สนใจ” สืออีเหนียงอธิบาย “ข้าดูเขาเองดีกว่า ประเดี๋ยวเขาจะร้องไห้ เจ้าไม่รู้อะไรว่าเขาร้องไห้ขึ้นมาแล้วน่ากลัวแค่ไหน”
ฮูหยินห้าได้ฟังแล้วก็หัวเราะ “มีเด็กคนไหนร้องไห้ไม่น่ากลัวเล่า”
“ข้าเห็นซินเจี่ยเอ๋อร์แม้แต่ร้องไห้ก็ยังสง่างาม” สืออีเหนียงพูด เหลือบไปเห็นจิ่นเกอจับผ้าปูโต๊ะ นางก็รีบเดินเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้จิ่นเกอปล่อยมือ หลังจากจิ่นเกอยอมปล่อยมือแล้ว นางจึงพูดกับฮูหยินห้าต่อ “ต้องมีคนไปพูดกับพี่เขยเจ็ด” แต่ฮูหยินห้าไม่ใช่คนที่เหมาะสม หนึ่งคือนางเป็นคนนอก สมัยโบราณมีคำพูดที่ว่า ‘เรื่องฉาวโฉ่ในครอบครัวไม่ควรให้คนนอกรู้’ หากจูอานผิงรู้ว่าแม้แต่ฮูหยินห้าก็ยังรู้ เขาจะเสียหน้าได้ สองคือตนเป็นคนที่มีแม่สามีและมีลูก จะลำบากเพราะเรื่องของชีเหนียงไม่ได้ “เจ้าคิดว่า ให้พี่หญิงสี่ของข้าพูดดีหรือไม่”
ที่ฮูหยินห้าเชิญสืออีเหนียงมาก็เพราะเรื่องนี้
เกลี้ยกล่อมชีเหนียง นางเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมได้ แต่หากเป็นจูอานผิง ไม่ว่าจะเป็นสถานะ ตำแหน่งหรือว่าจุดยืน นางล้วนแต่ไม่เหมาะสม แต่หากตัวเองปฏิเสธ ก็กลัวว่าสืออีเหนียงและชีเหนียงจะคิดว่านางไม่อยากช่วย ได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พี่หญิงสี่คือตัวเลือกที่ดีที่สุด” ฮูหยินห้ายิ้ม “ในฐานะพี่หญิง มีอะไรก็พูดได้ หากไม่ไหวก็ยังมีพี่เขยสี่ช่วยพูด “
“เช่นนั้นข้าไปบอกพี่หญิงสี่” สืออีเหนียงเห็นจิ่นเกอถือเก้าอี้ไท่ซือไม่ขยับไปไหน นางคิดว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว จึงอุ้มเขาแล้วพูดว่า “น้องสะใภ้ห้าไปบอกชีเหนียงเถิด”
ฮูหยินห้าออกความคิดเห็นที่ตรงกับความต้องการของชีเหนียงแล้วยังทำให้ชีเหนียงยอมรับในคำพูดของฮูหยินห้า สำหรับชีเหนียงแล้วคงราวกับเสียงของสวรรค์ ส่วนคำพูดของคนอื่น ตอนนี้ชีเหนียงคงจะไม่ยอมฟัง
“ได้เลย!” ฮูหยินห้าคิดว่าตอนนี้ชีเหนียงมีปมในใจกับพี่น้องของตัวเอง ไม่สู้ตนไปพูดกับนางดีกว่า “ประเดี๋ยวข้าเขียนจดหมายให้นางดีกว่า หากจูอานผิงไม่ยอมฟังนายหญิงอวี๋ ข้าค่อยให้คุณชายห้าไปพูดกับจูอานผิง เช่นนี้จะได้ทำให้ชีเหนียงสบายใจ”
สืออีเหนียงพยักหน้า พวกนางสองคนปรึกษากันเรื่องรายละเอียด คนหนึ่งเขียนจดหมายให้ชีเหนียง ส่วนอีกคนหนึ่งเขียนจดหมายให้ซื่อเหนียง
ป้าสือชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก นางยกของว่างและผลไม้เข้ามาไม่หยุด เห็นพวกนางพูดเรื่องชีเหนียงด้วยกัน นางก็ไล่สาวใช้ออกไปแล้วตัวเองคอยอยู่รับใช้เอง
ใกล้ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้ว สืออีเหนียงและฮูหยินห้าต่างก็อุ้มลูกไปคารวะไท่ฮูหยิน
อวี้ป่านขยิบตาให้พวกนาง “ฮูหยินสามอยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
พวกนางทั้งสองคนหยุดเดิน จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่แผ่วเบาดังออกมา
สายตาของฮูหยินห้ามีรอยยิ้ม
นางกระซิบถามอวี้ป่าน “เกิดอะไรขึ้น”
อวี้ป่านเหลือบมองสืออีเหนียง เห็นสืออีเหนียงทำท่าทีเอียงหูฟัง นางจึงพูดเบาๆ “เมื่อคืน ฮูหยินสามและสาวใช้เล่นไพ่กันทั้งคืน คุณนายน้อยใหญ่คอยดูแลอยู่ข้างๆ ตลอด อาจจะเป็นเพราะว่ายืนนานเกินไป นางเลยเท้าชา เดินออกมาข้างนอกจึงหกล้มข้อมือพลิกเจ้าค่ะ แล้วยังเป็นลูกสะใภ้ที่พึ่งจะแต่งเข้ามา ไม่กล้าเอะอะโวยวาย ตื่นขึ้นมายามเช้า ข้อมือจึงบวมเบ่งราวกับซาลาเปา ไท่ฮูหยินเลยโมโห กำลังตำหนิฮูหยินสามอยู่เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าเหลือบมองสืออีเหนียงแล้วพูดเสียงเบา “เป็นเช่นไรเล่า ข้าบอกแล้วว่าคนใจแคบอย่างนาง ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดเรื่องแน่นอน!” พูดจบนางก็เม้มปากยิ้ม “ข้อมือคุณนายน้อยใหญ่ของเราช่างพลิกได้ถูกเวลาเสียจริง”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าฮูหยินสามทำเกินไป นางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามอวี้ป่าน “แล้วคุณชายน้อยใหญ่ว่าอย่างไรบ้าง”
อวี้ป่านแปลกใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยใหญ่ไปบอกฮูหยินสาม ฮูหยินสามถึงได้เชิญท่านหมอมาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็พาลูกไปเล่นที่ใต้ชายคาแล้วพูดคุยเรื่องฟังซื่อกับฮูหยินห้า
“แน่นอนเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้าพูดด้วยสายตาที่เป็นประกาย “นางพึ่งจะแต่งเข้ามาก็ข้อมือพลิก เราจะเพิกเฉยได้อย่างไรเล่า”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดระแวง
*****
จิ่นเกอเดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมามองสืออีเหนียง เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินตามตัวเองมาเขาก็เดินไปอีกสองก้าว จากนั้นก็หันหน้ามามองสืออีเหนียงด้วยท่าทีที่อยากเดินแต่ก็กลัว น่ารักน่าชังเป็นอย่างมาก ทำเอาสาวใช้และป้ารับใช้ในเรือนของไท่ฮูหยินกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้ มีสาวใช้คนหนึ่งเผลอหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ทำเอาคนในห้องตกใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไท่ฮูหยินก็บอกให้อวี้ป่านมาเชิญพวกนางเข้าไป
ฮูหยินสามตาแดง นางยืนทำหน้าเศร้าอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นสืออีเหนียงและฮูหยินห้าเดินเข้ามา สายตาของนางก็มีความขุ่นเคือง