ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ นางยิ่งยิ้มแย้มมากกว่าเดิม
นางเดินเข้าไปนั่งลงข้างไท่ฮูหยินแล้วดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อครูท่านไม่เห็น จิ่นเกอน่ารักน่าชังอย่างมาก เดินไปสองก้าวก็หันหน้ามามองพี่สะใภ้สี่ จะอุ้มเขา เขาก็ไม่ยอม ปล่อยมือให้เขาเดินเขาก็กลัวเจ้าค่ะ”
“เด็กพึ่งจะหัดเดินก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้” ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วกวักมือเรียกจิ่นเกอ “มา จิ่นเกอ มาหาย่าเร็ว” จากนั้นก็บอกให้คนเอาโต๊ะบนเตียงเตาออกไป แล้วอุ้มจิ่นเกอวางบนเตียงเตา
ตอนแรกจิ่นเกอยืนนิ่งไม่กล้าขยับปไหน หันหน้ามองหาสืออีเหนียง เห็นสืออีเหนียงยืนยิ้มอยู่ข้างเตียงเตา เขาก็พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง สืออีเหนียงอุ้มเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วชี้ไปที่ไท่ฮูหยิน “ไปหาท่านย่าเร็วเข้า”
แต่จิ่นเกอเกาะมารดาไม่ยอมปล่อย
ไท่ฮูหยินมองไปรอบๆ จากนั้นก็หยิบกล่องกระจกสีฟ้าใต้โต๊ะเตียงเตาออกมาล่อจิ่นเกอ “มาเร็ว มาหาย่าเร็ว”
จิ่นเกอมองดูกล่องกระจกนั้นแล้วค่อยๆ ก้าวขาเดินเข้าไป
ไท่ฮูหยินไม่รอให้เขาเดินเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเอง นางก็ยื่นมือออกไปกอดจิ่นเกอแล้วหอมแก้มเด็กน้อยสองครั้ง แต่จิ่นเกอกลับคว้ากล่องกระจกที่อยู่ในมือของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินจึงชี้ไปที่สืออีเหนียง “ไปหาท่านแม่ของเจ้าเร็ว”
จิ่นเกอไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง ถือกล่องกระจกในมือแล้วร้องแอ๊ๆ ราวกับกำลังบอกมารดาว่า ‘ข้ามีของดีขอรับ’
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่ไท่ฮูหยิน “นำกล่องกระจกไปให้ท่านย่าเร็ว”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็ถือกล่องกระจกแน่น จ้องมองสืออีเหนียงแต่กลับไม่ยอมเดินไปหาไท่ฮูหยิน
“ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าใครเก่งที่สุด” ฮูหยินห้าหัวเราะอยู่ข้างๆ “ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็แค่อยากจับกากระเบื้องเคลือบของท่าน แต่จิ่นเกอได้ของแล้วกลับไม่ยอมปล่อย” นางพูด “ต่อไปท่านจะบอกว่าซินเจียเอ๋อร์ห้ามแตะต้องของของท่านไม่ได้แล้วนะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ไม่พูดอีกแล้ว ไม่พูดอีกแล้ว” นางเดินเข้าไปอุ้มจิ่นเกอ “ขี้งกเสียจริง’“
จิ่นเกอนั่งเล่นกล่องกระจกอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยินอย่างตั้งอกตั้งใจ
ทุกคนต่างพากันหัวเราะ ไม่มีใครมองฮูหยินสามเลยสักคน ฮูหยินสามยืนอยู่คนเดียวข้างๆ ด้วยท่าทีที่อยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออก นางดูมีสีหน้าที่ผิดหวัง
ในเมื่อไท่ฮูหยินตอบตกลงแล้ว ไม่ช้าก็เร็วครอบครัวคุณชายสามก็ต้องย้ายออกไป อดทนมาตั้งนาน ไม่จำเป็นต้องสร้างความขุ่นเคืองใจกับฮูหยินสามตอนนี้ แต่ตอนนี้ฮูหยินห้ากำลังทำสงครามเย็นกับฮูหยินสาม หากสืออีเหนียงพูดกับฮูหยินสามตอนนี้ เช่นนั้นก็หมายความว่านางหักหน้าฮูหยินห้า
นางจึงขยิบตาให้ฮูหยินห้า บอกให้นางทักทายฮูหยินสาม
แต่ฮูหยินห้ากลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น นางหยอกล้อไท่ฮูหยินต่อ “หากท่านแม่จะโทษก็ต้องโทษที่สิ่งของของท่านแม่สวยงามจนเกินไป ไม่ต้องพูดถึงหลานสาวหลานชายที่สายตาเป็นประกาย แม้แต่พวกข้า ก็ยังแอบอยากได้อยู่ในใจเจ้าค่ะ ทำเอาพวกข้าราวกับคนชนบทที่ไม่เคยเห็นอะไรมาก่อน” จากนั้นก็กอดแขนไท่ฮูหยินอย่างสนิทสนม “ท่านแม่เจ้าคะ อีกสองสามวันก็จะฤดูหนาวแล้ว ต้องสวมหมวกคลุมหู ท่านแม่เปิดห้องเก็บของ นำหมวกคลุมหูมามอบให้พวกข้าสักสองสามใบเถิด”
“เห็นหรือยัง” ไท่ฮูหยินแสร้งทำท่าทีเอือมระอาแล้วพูดกับป้าตู้ที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “ทำดีหวังสิ่งตอบแทน ไม่มีเรื่องดีแน่นอน”
ป้าตู้ปิดปากยิ้ม
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาถามว่าจะตั้งโต๊ะอาหารกลางวันที่ไหน
ทุกคนล้อมรอบไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ฮูหยินสามเดินตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อไท่ฮูหยินนั่งลงแล้ว ฮูหยินห้าก็แสร้งทำเป็นถาม “เหตุใดถึงไม่เห็นคุณนายน้อยใหญ่เล่า”
ฮูหยินสามไม่พูดไม่จา ก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าที่ย่ำแย่
ไท่ฮูหยินไม่มองฮูหยินสามเลยแม้แต่น้อย พูดขึ้นว่า “เมื่อวานนางข้อมือพลิก เชิญท่านหมอมาดูตอนเช้า ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่เรือน!”
“ไอ๊หยา!” ฮูหยินพูดด้วยความตกใจ “ทำไมข้อมือถึงพลิกได้ล่ะเจ้าคะ รักษากระดูกกว่าจะหายก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยวัน เช่นนั้นปีใหม่ก็ไม่สบายน่ะสิ นี่เป็นปีใหม่ปีแรกที่คุณนายน้อยใหญ่แต่งเข้ามาในจวนของเรานะเจ้าคะ” จากนั้นก็หันไปพูดกับฮูหยินสาม “พี่สะใภ้สาม ข้าได้ยินมาว่าสมุนไพรซานชีรักษาแผลได้ดี ไม่สู้ใช้ซานชีต้มน้ำแกงไก่ให้คุณนายน้อยใหญ่บำรุงร่างกายเถิด “แล้วก็หันไปพูดกับสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่ ประเดี๋ยวทานข้าวเสร็จเราไปหาคุณนายน้อยใหญ่กันดีกว่า”
ตอนเหนือมีโสม ตอนใต้มีซานชี สองอย่างนี้ล้วนแต่เป็นสมุนไพรที่มีราคา เยี่ยนจิงอยู่ทางตอนเหนือ สกุลร่ำรวยมีโสมเป็นเรื่องปกติ แต่กลับไม่ค่อยมีซานชี ฮูหยินห้าพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางตั้งใจทำให้ฮูหยินสามลำบากใจ
ฮูหยินสามโมโหจนมองเห็นเส้นเลือดตรงขมับ “ก็แค่ข้อมือพลิก ไม่ได้หักเสียหน่อย หายบวมแล้ว รักษาสองสามวันก็หาย คงไม่ต้องใช้เวลากว่าร้อยวัน”
ฮูหยินห้าเลิกคิ้ว กำลังจะพูดอะไร ไท่ฮูหยินก็เหลือบมองฮูหยินห้า
นางตกใจ ไม่กล้าอ้าปากพูดต่อ จากนั้นก็รีบก้มหน้าลงช่วยไท่ฮูหยินจัดตะเกียบ
แต่สืออีเหนียงกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ได้เลย!” จากนั้นก็พูดต่ออีกว่า “ที่เรือนของข้ายังพอมีซานชีอยู่บ้าง แต่มีไม่มากนัก ประเดี๋ยวค่อยนำไปให้คุณนายน้อยใหญ่”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หยิบตะเกียบ
ทานอาหารต้องห้ามพูดคุย
ทุกคนทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ ไท่ฮูหยินบอกป้าตู้ “ไปนำโสมและซานชีในห้องเก็บของออกมา ข้าก็จะไปหาคุณนายน้อยใหญ่เหมือนกัน”
นางพูดอย่างนิ่งสงบ แต่กลับทำให้ฮูหยินสามอึดอัด นางพูดเสียงเบา “จะรบกวนท่านแม่ได้เช่นไรกันเจ้าคะ…”
ไท่ฮูหยินไม่รอให้นางพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปห้องปีกทางทิศตะวันตก
สาวใช้และป้ารับใช้รีบเดินเข้ามารับใช้ ฮูหยินห้าก็พาสาวใช้ของตัวเองไปด้วย สืออีเหนียงรู้สึกว่าฮูหยินสามนั้นทำเกินไป นางจึงไม่สนใจฮูหยินสาม อุ้มจิ่นเกอแล้วเดินตามไท่ฮูหยินไป
ฮูหยินสามพลันสีหน้าซีดขาว นางยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าแล้วเดินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
*****
ท่านหมอมาดูฟังซื่อแล้ว เขาใช้ผ้าสีขาวห้อยข้อมือที่พลิกของฟังซื่อไว้ตรงหน้าอก สาวใช้กำลังป้อนข้าวเที่ยงนาง
เมื่อรู้ว่าไท่ฮูหยินมาหา นางก็ตกใจ รีบบอกให้สาวใช้รับใช้นางสวมรองเท้า กำลังจะออกไปต้อนรับ แต่ใครจะรู้ว่าไท่ฮูหยินนั้นเดินเข้ามาแล้ว นางจึงรีบย่อเข่าคำนับ
ไท่ฮูหยินจับมือข้างที่ไม่พลิกของนาง “เหตุใดถึงไม่ระวังตัวเช่นนี้”
น้ำเสียงที่รักใคร่และเอ็นดูทำเอาฟังซื่อน้ำตาคลอเบ้า
“ล้วนแต่เป็นความผิดของหลานเองเจ้าค่ะ” นางพาไท่ฮูหยินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง สาวใช้ก็เดินไปเก็บโต๊ะเตียงเตา
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ไท่ฮูหยินพูด “เจ้าทานข้าวเถิด ข้าแค่มาดูเจ้า” จากนั้นก็มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “สีหน้าไม่แย่ ข้าก็สบายใจแล้ว” พูดจบก็บอกให้ป้าตู้นำสมุนไพรให้ฟังซื่อ “ข้านำโสมและซานชีมาให้เจ้า เจ้ามีท่านป้าที่รู้เรื่องยาหรือไม่ หากไม่มี ก็ไปถามป้าตู้ว่าทานอย่างไร!”
ฟังซื่อเอ่ยขอบพระคุณซ้ำๆ
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า นางตบมือฟังซื่อเบาๆ อย่างสนิทสนม “อีกสองวันแม่สามีของเจ้าก็จะกลับซานหยางแล้ว หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็ถามท่านอาสะใภ้สี่ของเจ้า อย่าเก็บไว้คนเดียวเพียงเพราะเป็นสะใภ้ที่พึ่งแต่งเข้ามาเหมือนครั้งนี้อีก เช่นนั้นเจ้าจะลำบาก!”
เมื่อวานไท่ฮูหยินแสร้งทำเป็นฟังคำพูดของฮูหยินสามที่บอกว่าจะกลับซานหยางไม่เข้าใจ แต่วันนี้กลับบอกว่าฮูหยินสามจะกลับซานหยาง…
ฮูหยินสามแอบร้องตะโกนอยู่ในใจ
เมื่อวานตนพึ่งจะชักสีหน้าให้ฟังซื่อดู วันนี้ก็ถูกไท่ฮูหยินส่งกลับซานหยาง เช่นนี้สาวใช้และป้ารับใช้เหล่านั้นคงจะคิดว่าไท่ฮูหยินกำลังเข้าข้างฟังซื่อ แต่หากตัวเองไม่กลับตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกหรือไม่
สืออีเหนียงประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าไท่ฮูหยินจะให้ความสำคัญกับฟังซื่อขนาดนี้
ส่วนฮูหยินห้ากลับโล่งใจ
เมื่อครู่ที่ตัวเองหาเรื่องฮูหยินสาม ไท่ฮูหยินดูไม่พอใจ นางกำลังคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะหยอกล้อไท่ฮูหยินอย่างไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ไท่ฮูหยินก็ไม่พอใจฮูหยินสามเช่นกัน แต่แค่ไม่อยากให้ลูกสะใภ้อย่างพวกนางเกิดความขัดแย้งกันซึ่งๆ หน้าแค่นั้น ต่อไปหากตนรู้ว่าควรทำอย่างไร คิดว่าไท่ฮูหยินคงจะมีความสุขที่ได้เห็นฮูหยินสามกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกระมัง
คิดได้เช่นนี้ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่สีหน้าของฟังซื่อกลับซับซ้อน
เมื่อวานตนข้อมือพลิก แต่คำพูดของแม่สามีราวกับบอกว่าตนนั้นตั้งใจทำให้ข้อมือของตัวเองพลิก ตนน้อยใจเป็นอย่างมาก ยามเช้าฝืนทานข้าวต้มไปครึ่งชาม แล้วก็เตรียมตัวไปคารวะไท่ฮูหยินกับแม่สามีเหมือนปกติ แต่นางกลับพูดแปลกๆ ว่า ‘บวมขนาดนี้แล้ว ยังจะไปหาไท่ฮูหยิน อยากทำให้ไท่ฮูหยินเศร้าใจอย่างนั้นหรือ!’
ตนอธิบายอยู่ตั้งนาน แต่แม่สามีกลับยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไป ตนโมโหจนหายใจไม่ออก
ตอนที่แต่งงานเข้ามาท่านแม่เคยบอกว่า แม่สามีคนนี้ถึงแม้ว่าจะทำอะไรไม่มีระเบียบ แต่นางเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่ง ดีกว่าคนที่หน้าเนื้อใจเสือ แล้วอีกอย่างแม่สามีคนนี้ก็มีแม่สามี อีกทั้งยังมีบรรดาลูกสะใภ้ด้วยกัน นางเป็นคนใจแคบ บรรดาลูกสะใภ้ก็คงจะไม่ชอบนาง บอกให้ตนรับใช้ไท่ฮูหยิน หย่งผิงโหวฮูหยินและตานหยางเซี่ยนจู่ให้ดี หากเจอเรื่องที่น่ายินดีของท่านอาสะใภ้สองคนก็ต้องใจกว้าง ปีใหม่ก็ต้องทำรองเท้าถุงเท้าประจบประแจงพวกนาง หาทางเอาใจท่านอาสะใภ้สองคนนี้ ถ้าเกิดเรื่องอันใด คนอื่นจะนึกถึงความดีของตนแล้วจะเอาแต่พูดว่าแม่สามีไม่ดีแทน ถึงตอนนั้นก็ให้ตนแสร้งทำเป็นอ่อนแอ สกุลหย่งผิงโหวเป็นสกุลญาติของเชื้อพระวงศ์ แล้วยังเป็นสกุลขุนนาง ไม่ใช้สกุลต่ำต้อย ถึงแม่ว่าแม่สามีของตนจะไม่พอใจ แต่นางก็ทำได้แค่ลงโทษในกรอบกฎเกณฑ์เท่านั้น ตราบใดที่ตนทำตามกฎเกณฑ์ แม่สามีของตนก็ทำอะไรไม่ได้
แต่เมื่อแต่งงานเข้ามาแล้ว สามีของนางอ่อนโยนกับนาง ถึงแม้ว่าแม่สามีจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่เคยขอสินเดิมของนาง ของขวัญวันรับลูกสะใภ้ก็ให้นางเป็นคนเก็บเอาไว้ทั้งหมด…จึงคิดว่าท่านแม่ของตัวเองคิดมากเกินไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป็นตนต่างหากที่คิดน้อยเกินไป
ตอนที่แม่สามีได้ยินคำพูดของท่านอาสะใภ้ห้า ก็ไม่ถามตนสักคำ กลับมาถึงเรือนก็สะบัดหน้าใส่ต่อหน้าสาวใช้ ต่อไปหากตนนำสินเดิมของตัวเองออกมาเป็นของขวัญให้คนอื่นอีก เกรงว่าแม่สามีคงจะไม่ใช่แค่สะบัดหน้าใส่นางอย่างแน่นอน
แม่สามีโมโหจึงไปที่เรือนของไท่ฮูหยินไม่ยอมกลับมาตั้งนาน ไม่รู้ว่านางพูดอะไรกับไท่ฮูหยิน หากไท่ฮูหยินเข้าใจผิด ต่อไปนางจะทำเช่นไร
คิดเช่นนี้ ตนก็รู้สึกหวาดกลัว จะทานข้าวลงที่ไหนกัน
สาวใช้ก็เกลี้ยกล่อมตน แต่ตนกลัวว่าหากแม่สามีรู้ว่าตนไม่ได้ทานข้าวเที่ยงแล้วจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอีก จึงฝืนทานไปครึ่งชาม
แต่คิดไม่ถึงว่า สิ่งที่ตนได้รับคือคำพูดเช่นนี้จากไท่ฮูหยิน
“ไท่ฮูหยินเจ้าคะ…” ฟังซื่อมองไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ นางไม่รู้จะพูดอย่างไร
แม่สามีเป็นห่วงพ่อสามีที่อยู่ซานหยางคนเดียว เอาแต่คิดว่าจะทำเช่นไรให้ไท่ฮูหยินตอบตกลงให้นางกลับไปซานหยาง ตอนนี้ไท่ฮูหยินตอบตกลงแล้ว หากตนรั้ง แม่สามีคงจะคิดว่านางวุ่นวาย แต่หากตนไม่รั้ง การที่ไท่ฮูหยินส่งแม่สามีกลับซานหยางก็จะกลายเป็นความผิดของตน หากท่านพี่รู้เขาจะคิดอย่างไร
นางกำลังลำบากใจ จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือออกไปให้ฮูหยินห้าช่วยประคองแล้วพูดว่า “เจ้าทานข้าวเถิด! ข้าแก่แล้ว ต้องกลับไปนอนกลางวันแล้ว”
จากนั้นก็เดินออกไป