ฟังซื่อและฮูหยินสามไม่กล้ารอช้า พวกนางรีบส่งไท่ฮูหยินออกไปด้วยความเคารพ
กลับเข้ามาที่เรือน ไท่ฮูหยินให้สืออีเหนียงอยู่คุยเป็นเพื่อน
“คนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ถึงแม้ว่าจะไม่มีของนอกกาย แต่ก็มีความสุข” ไท่ฮูหยินเอนตัวลงบนหมอนพิงบนเตียงเตาข้างหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน “พี่สะใภ้สามของเจ้าเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่มีทางยอมรับนางเป็นลูกสะใภ้ แต่คนเรามักจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บางครั้งเปลี่ยนแปลงกันบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้ง ไม่สู้เหมือนเดิมยังจะดีเสียกว่า” พูดจบ นางก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วมองดูสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เฉียบแหลม “พี่สะใภ้สามของเจ้าไม่รู้ความ แต่ฟังซื่อกลับเป็นคนฉลาด หากครอบครัวคุณชายสามอยากจะสงบสุข เรื่องบางเรื่อง จะให้พี่สะใภ้สามของเจ้าทำตามใจตัวเองไม่ได้ ในเมื่อเจ้าคือหย่งผิงโหวฮูหยิน เจ้าต้องมีแผนการบ้าง” จากนั้นก็นั่งตัวตรง “เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”
ได้ยินไท่ฮูหยินพูดเช่นนี้ บวกกับการกระทำก่อนหน้านี้ของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็พอจะเข้าใจ
ฮูหยินสามเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกับทุกเรื่อง แต่กลับเป็นคนที่มองไม่ออกในเรื่องสำคัญ อยู่กับคนเช่นนี้ หากอ่อนแอกว่านาง นางจะฉวยโอกาสเหยียบย่ำและเอาเปรียบ แต่หากแข็งแกร่งกว่านาง นางก็จะอิจฉาริษยา และหากยอมนาง นางได้คืบก็จะเอาศอก หากไม่ยอมนาง นางก็จะก่อเรื่อง ไม่มีทางเลี่ยงการกระแทกกระทั้นกันได้
มีไท่ฮูหยินอยู่ ฮูหยินสามเป็นลูกสะใภ้ ดังนั้นนางจึงต้องฟังไท่ฮูหยิน แต่หากไท่ฮูหยินไม่อยู่แล้ว ในฐานะลูกสะใภ้ด้วยกัน แล้วตัวเองยังเป็นน้องสะใภ้ ทำอะไรนางไม่ได้ ดังนั้นไท่ฮูหยินอยากจะสนับสนุนฟังซื่อ ให้ฟังซื่อคอยควบคุมฮูหยินสาม แต่ก็เพราะว่าฮูหยินสามเป็นแม่สามี ฟังซื่อโต้ตอบนางไม่ได้ หากเอาแต่ควบคุมฮูหยินสาม ก็จะทำให้ฟังซื่อดูเป็นคนที่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา…
“ข้าเข้าใจความหมายของท่านแม่เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะคอยระวังให้ดี”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ไปพักผ่อนเถิด! ข้าเหนื่อยแล้ว”
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับเเล้วขอตัวออกไป
กลับมาถึงที่เรือนก็กำชับให้ชิวอวี่นำรังนกและสมุนไพรซานชีไปให้ฟังซื่อ กล่อมจิ่นเกอนอนหลับ นางก็นอนกลางวันกับเขาไปด้วย เมื่อตื่นขึ้นมา ชิวอวี่ก็กลับมารายงาน “คุณนายน้อยใหญ่ฝากขอบพระคุณสมุนไพรของฮูหยินเจ้าค่ะ รอให้ฮูหยินนอนกลางวันตื่นแล้ว นางจะมาขอบคุณฮูหยินด้วยตัวเอง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอไปเล่นบนเตียงเตา
ชิวอวี่ลังเลที่จะพูด
สืออีเหนียงถามว่า “มีเรื่องอันใดอีกหรือ”
ชิวอวีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนที่บ่าวออกไปลานฮูหยินสาม ได้ยินฮูหยินสามตะโกนเสียงดังอยู่ในห้อง ท่าทางโมโหอย่างมาก สาวใช้และป้ารับใช้ในลานล้วนแต่หวาดกลัวจนตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ได้ยินว่าบ่าวมาหาคุณนายน้อยใหญ่ สาวใช้คนหนึ่งก็ขยิบตาให้บ่าว ต่อมาคุณนายน้อยใหญ่ออกมาจากในห้องของฮูหยินสาม คุณนายน้อยใหญ่ตาแดงเหมือนพึ่งร้องไห้มา บ่าวเห็นว่ามันผิดปกติ จึงไม่ได้ไปคารวะฮูหยินสามเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่า หลังจากที่ไท่ฮูหยินออกมาแล้วฮูหยินสามก็อาละวาดใส่ฟังซื่อ
นางไม่รู้ความเกินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะเข้าข้างฟังซื่อ แต่ก็นับเป็นการเปิดโอกาสให้ฮูหยินสาม นางพูดกับฟังซื่อว่า ‘เจ้าดูสิไท่ฮูหยินรักและเอ็นดูเจ้าแค่ไหน หากข้าย้ายออกไปแล้ว เจ้าต้องช่วยข้าดูแลไท่ฮูหยินให้ดี’ พูดเช่นนี้ให้คนอื่นเห็น ใครยังจะกล้าพูดว่าไท่ฮูหยินมาข่มนาง! แต่ตอนนี้นางกลับอาละวาดแบบนี้ ราวกับบอกว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง คนในจวนล้วนแต่รอดูความสนุกอยู่แน่นอน
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ชิวอวี่เองก็ตื่นตระหนก
เหตุผลที่ตนเล่าเรื่องนี้ให้สืออีเหนียงฟัง ก็เพราะว่าฮูหยินสามเป็นพิธีรีตองมากที่สุด นางเข้าไปที่ลานแต่กลับไม่ไปคารวะฮูหยินสาม คิดดูแล้วฮูหยินสามคงจะต้องตำหนิตน
ชิวอวี่รีบพูด “ฮูหยินเจ้าคะ หรือว่า บ่าวกลับไปคารวะฮูหยินสามดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนั้นบ่าวกลัวว่าหากบ่าวเข้าไปแล้วคุณนายน้อยใหญ่จะอับอาย…”
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงปลอบใจนาง “สถานการณ์เช่นนั้นเจ้าไม่ควรเข้าไปอยู่แล้ว” จากนั้นก็บอกให้นางออกไป
ความโมโหของฮูหยินสามตอนนี้พุ่งไปที่ฟังซื่อ เกรงว่านางคงจะไม่มีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับสาวใช้อย่างชิวอวี่!
คิดเช่นนี้ นางก็อุ้มจิ่นเกอแล้วบอกฟังซีว่า “เราไปเรือนของฮูหยินสามกันเถิด”
*****
“พี่สะใภ้สามกลับมาเยี่ยนจิงได้แปดเก้าเดือนแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงและฮูหยินสามที่บนใบหน้ายังมีความโมโหหลงเหลืออยู่นั่งอยู่บนเตียงเตา ส่วนคุณนายน้อยใหญ่พาจิ่นเกอและบรรดาสาวใช้ไปเล่นที่โถงบุปผา “คุณชายสามอยู่ที่ซานหยางคนเดียว น่าเป็นห่วงจริงๆ”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ นางรีบพูด “ใช่แล้ว ข้าเองก็เป็นห่วงเขาจนนอนไม่หลับ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “โชคดีที่คุณนายน้อยใหญ่เป็นคนรู้ความและมีความสามารถ ไม่เช่นนั้น พี่สะใภ้สามคงจะไม่ยอมปล่อยนางอยู่ที่นี่คนเดียว”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็กระอึกกระอัก จากนั้นก็พูดว่า “นางยังเด็ก ต่อไปคงต้องให้ท่านอาหญิงอย่างพวกเจ้าคอยดูแล” นางพูดอย่างไม่เต็มใจ
“พี่สะใภ้สามไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ล้วนแต่เป็นคนในครอบครัว พี่สะใภ้สามก็เคยดูแลข้าและน้องสะใภ้ห้ามาก่อน เห็นแก่พี่สะใภ้สาม เราไม่มีทางเห็นคุณนายน้อยใหญ่เป็นคนนอกแน่นอนเจ้าค่ะ”
สีหน้าของฮูหยินสามผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงจึงถือโอกาสลุกขึ้นขอตัวลา “อีกสองสามวันพี่สะใภ้สามก็จะกลับซานหยางแล้ว เกรงว่าพี่สะใภ้สามคงจะยุ่ง ข้าไม่รบกวนพี่สะใภ้สามแล้วดีกว่า เมื่อพี่สะใภ้สามกำหนดวันกลับแล้ว ข้าค่อยไปส่งพี่สะใภ้สาม”
ฮูหยินสามพยักหน้า เดินไปส่งสืออีเหนียงและจิ่นเกอออกไป กลับมาที่ห้องก็พูดแค่ว่าเป็นห่วงคุณชายสาม บอกให้คนเก็บข้าวของ ฟังซื่อไปคารวะก็บอกให้นางรีบกลับไปพักผ่อน ไม่พูดถึงเรื่องที่หากนางย้ายออกไปแล้วควรทำเช่นไรเลยแม้แต่ประโยคเดียว
ฟังซื่อไม่สบายใจ
ท่านพี่บอกว่าถึงแม้ว่าจะยังเด็ก แต่ก็เป็นคนที่แต่งงานแล้ว จะทำตัวเหมือนน้องสามที่เอาแต่อยู่กับอาจารย์จ้าวไม่ได้ ไม่เรียนรู้การจัดการเรื่องทั่วไป ก็ต้องเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเพื่อหาความรู้ที่เรือน
แต่หากทำเช่นนี้ ลูกสะใภ้ที่พึ่งแต่งเข้ามาอย่างนางจะกล้าพูดได้อย่างไร นางจึงถามสวีซื่อฉินอ้อมๆ ว่า “เรื่องที่ท่านแม่จะกลับซานหยาง เราต้องส่งจดหมายไปรายงานท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ”
หากพ่อสามีได้รับจดหมาย เขาต้องบอกท่านพี่ว่าควรทำเช่นไรแน่นอน
ท่านแม่เป็นห่วงท่านพ่อ นางอยากกลับไปซานหยางตลอด เรื่องนี้สวีซื่อฉินรู้ดี แต่ช่วงนี้ ในจวนมีข่าวลือ เขากลัวว่าฟังซื่อจะเข้าใจผิด คิดว่าการที่ฮูหยินสามกลับซานหยางเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางข้อมือพลิก เขาจึงพูดว่า “ท่านพ่อรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว สองสามวันก่อนท่านพ่อยังเขียนจดหมายมาถามว่าท่านแม่จะกลับไปเมื่อไรอยู่เลย!”
ฟังซื่อได้ยินเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่าเขาพูดเป็นนัย
ไท่ฮูหยินพึ่งจะบอกให้แม่สามีกลับซานหยางเมื่อสองสามวันก่อน เหตุใดสองสามวันก่อนพ่อสามีถึงเขียนจดหมายมาถามว่าแม่สามีจะกลับมณฑลซานหยางเมื่อไร หรือว่าพ่อสามีและแม่สามีปรึกษากันก่อนหน้านี้แล้ว?
จากนั้นนางก็นึกถึงตอนที่ตัวเองไปคารวะไท่ฮูหยินกับแม่สามี
แม่สามีเอาแต่พูดเป็นนัยว่าเป็นห่วงพ่อสามีที่อยู่ที่ซานหยางคนเดียว แต่ไท่ฮูหยินกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ทันทีที่นางข้อมือพลิก ไท่ฮูหยินก็เปลี่ยนคำพูดทันที…หรือว่า นางกลายเป็นแพะรับบาปอย่างนั้นหรือ
คิดเช่นนี้ นางก็ไม่มีอารมณ์จะถามอะไรอีกต่อไป
ออกมาจากห้องหนังสือของสวีซื่อฉิน สาวใช้ก็ยกน้ำแกงไก่ที่ต้มด้วยสมุนไพรซานชีเข้ามา “คุณนายน้อยใหญ่รีบทานตอนร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ!”
ข้อมือของฟังซื่อเริ่มหายบวมแล้ว
นางมองดูน้ำแกงไก่แล้วก็ประหลาดใจ จากนั้นก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกำลังคุยอยู่กับฮูหยินห้า
“จูอานผิงคุกเข่าให้ชีเหนียงต่อหน้านายหญิงอวี๋จริงหรือเจ้าคะ” ฮูหยินห้าเอียงตัวถามสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นประกาย ท่าทีราวกับกำลังดูความสนุก
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อดคิดไม่ได้ว่าฮูหยินห้านิสัยราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
“จะคุกเข่าจริงๆ ได้อย่างไรเล่า” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่เขยสี่ที่อยู่ข้างๆ ช่วยพยุงพี่เขยเจ็ดลุกขึ้นมาก่อน”
“ข้าบอกแล้ว ชีเหนียงจะเอาแต่สู้กันไปสู้กันมากับจูอานผิงแบบนี้ไม่ได้” นางพูดด้วยท่าทีที่พอใจ “เช่นนั้นชีเหนียงว่าอย่างไรบ้าง” นางพูดต่ออีกว่า “ข้าบอกให้นางร้องไห้ จากนั้นก็กลับไปเกาชิงกับจูอานผิงด้วยความน้อยใจ นางร้องไห้หรือไม่”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ร้องแล้ว! ไม่เพียงแต่ร้องไห้แล้วยังร้องไห้หนักเสียจนจูอานผิงก็ยังร้องไห้ตาม จูอานผิงจึงตัดสินใจอยู่ที่เยี่ยนจิงต่ออีกสักสองสามวัน พาชีเหนียงออกไปเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ บอกว่าไม่ได้ร่วมงานวันเกิดของจิ่นเกอ เขาไม่สบายใจ ครั้งนี้จึงจะมาร่วมพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจินเจี่ยเอ๋อร์ก่อนแล้วค่อยกลับไป ตอนนี้พวกเขาไปที่วัดฉือหยวน พี่หญิงสี่กลัวว่าเราจะเป็นห่วง จึงส่งผู้ดูแลหญิงมารายงาน”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็เบะปาก “ข้ารู้อยู่แล้ว นางกับจูอานผิงคืนดีกันแล้วก็ลืมข้า!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ไม่ลืม ไม่ลืม” พูดจบ นางก็ลุกขึ้นไปหยิบกล่องสีแดงมาจากชั้นวางข้างๆ “นี่คือของที่ชีเหนียงนำมาให้เจ้า แล้วยังบอกว่า จูอานผิงอยู่กับนาง นางไม่สะดวกมาเจอเจ้า รอให้ถึงพิธีขึ้นปิ่นปักผมของเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วค่อยมาพูดคุยกับเจ้า”
“ถือว่านางยังนึกถึงข้า!” สายตาของฮูหยินห้ามีรอยยิ้ม “พี่สะใภ้สี่บอกว่านางไม่ต้องรู้สึกผิด เราสนิทสนมกันอยู่แล้ว หากทำตัวห่างเหินกันเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นจูอานผิงจะสงสัยเอาได้ บอกให้นางทำตัวปกติก็พอแล้ว” จากนั้นนางก็ถอนหายใจ “นิสัยของนางเหมือนใครกัน หรือว่าแม้แต่แม่สามีที่เป็นอนุภรรยานางก็สู้ไม่ได้เช่นนั้นหรือ” ขณะที่นางพูด นางก็เปิดกล่องออก ข้างในคือปิ่นปักผมมรกต “ไอ๊หยา ช่างสวยงามเสียจริง” นางหยิบออกมามองดูด้วยรอยยิ้มกว้าง “หากจูอานผิงรู้ว่าข้าเป็นคนแนะนำให้ชีเหนียงทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจจนนอนไม่หลับหรือไม่”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!” สืออีเหนียงพูดอย่างเอือมระอา “พี่หญิงสี่บอกแล้วว่าครั้งนี้ที่ชีเหนียงคิดได้ก็เพราะเจ้าเกลี้ยกล่อมนาง ฟังจากน้ำเสียงของพี่เขยเจ็ดแล้ว อีกสองวันเขาคงจะมาขอบคุณที่จวนด้วยตัวเอง”
ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน
สาวใช้เข้ามารายงาน บอกว่าฟังซื่อมาขอพบ
“นางไม่ช่วยแม่สามีเก็บข้าวของ มาหาพี่สะใภ้สี่ทำไมกัน” ฮูหยินห้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ประเดี๋ยวก็รู้” สืออีเหนียงบอกสาวใช้ “รีบเชิญคุณนายน้อยใหญ่เข้ามา”
เห็นสืออีเหนียงและฮูหยินห้าอยู่ด้วยกัน อีกทั้งบรรยากาศก็ยังดูผ่อนคลายและมีกลิ่นอายของความสุข ฟังซื่อรู้สึกแปลกใจ
นางยิ้มแล้วคำนับท่านอาสะใภ้ทั้งสอง จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตา
“ขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ วันก่อนยังส่งยาสมุนไพรไปให้ข้า” นางพูดอย่างอ่อนโยน “เพราะว่าแม่สามีกำลังจะกลับซานหยาง ที่เรือนมีเรื่องที่ต้องจัดการ จึงไม่ได้มาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ ถือโอกาสวันนี้ไม่มีอะไรทำ คิดไม่ถึงว่าท่านอาสะใภ้ห้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“ข้าแค่มานั่งเล่น!” ฮูหยินห้าเหลือบมองสืออีเหนียง จากนั้นก็หยิบกล่องสีแดงขึ้นมา “พวกเจ้าพูดคุยกันเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน!”
ฟังซื่อรีบรั้งฮูหยินห้าเอาไว้ “ข้าแค่มาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้สี่ ท่านอาสะใภ้ห้าอยู่ที่นี่ด้วย ข้าก็จะได้อยู่คุยเป็นเพื่อนท่านอาสะใภ้ทั้งสองเจ้าค่ะ”